บทที่ 117 พาเธอกลับบ้าน
บทที่ 117 พาเธอกลับบ้าน
ในตอนท้ายของช่วงตอบคำถามของนักข่าว หญิงสาวที่มีผมสีทองยืนขึ้นและมองอย่างประหม่าไปที่เวที “คุณลู่ ไม่ว่าคุณซูโย่วอี๋จะมีพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณตามที่ระบุไว้ในข่าวหรือไม่ แต่คุณจะรังเกียจไหมถ้าศิลปินในสังกัดเคยผ่านการแต่งงานมาก่อน?”
แม้ใบหน้าของลู่เฉินจะยังคงเย็นชา แต่ดวงตาสีเข้มของเขาซึ่งเคยสงบนิ่ง กลับฉายแววความโกรธออกมาเล็กน้อย และก็เหมือนกับหายใจไม่ออก
ทันใดนั้นเขาก็ยกยิ้ม
และมองไปที่หญิงสาวผมทองที่อยู่ไม่ไกล “คุณสังกัดสำนักหนังสือพิมพ์ไหน?”
หญิงสาวจับไมโครโฟนแน่นและพูดว่า “เฟิงหยุนแมกาซีนค่ะ”
ลู่เฉินจับนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “การแต่งงานมีผลกระทบหรือไม่?”
“การเป็นไอดอลต้องห้ามเป็นภรรยาหรือไม่?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดถามคำถามระดับต่ำและต่อต้านธรรมชาติของมนุษย์จากมุมมองไหน”
“แต่ผมสามารถบอกคุณได้อย่างชัดเจนว่าเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ไม่เลือกปฏิบัติกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว และการแต่งงานไม่ควรเป็นมาตรฐานในการวัดว่าใครจะเป็นศิลปินได้”
ภายใต้คำพูดอันทรงพลังของลู่เฉิน หญิงสาวที่มีผมสีทองรู้สึกหายใจลำบาก แต่นี่เป็นคำถามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้ากองบรรณาธิการที่จะต้องได้รับคำตอบ ทำให้ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนแหนกลางสายฝน ที่ล่องลอยและทำอะไรไม่ถูก
“ฉันไม่ได้ถามเกี่ยวกับทัศนคติของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ แต่ถามถึงความคิดของคุณเอง ประธานลู่ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับคุณและคุณซูโย่วอี๋… ”
ก่อนที่คำพูดจะจบลง หญิงสาวผมทองก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
เธออยากจะลาออกซะตอนนี้ งานนี้มันยากเกินไปสำหรับเธอ ทำไมพวกเขาถึงได้ส่งพนักงานใหม่อย่างเธอมาสัมภาษณ์อะไรแบบนี้ด้วย
นักข่าวคนอื่นสูดหายใจเข้าลึก ๆ ถึงแม้ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือก็จริง น้องสาวคนนี้กล้าเกินไปแล้ว
“ก่อนหน้านี้ การเป็นผู้หญิงเก่งและเป็นผู้หญิงสวยอาจถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หลังจากที่ซูโย่วอี๋ถูกเปิดโปงว่ามีความสัมพันธ์และเคยผ่านการหย่าร้าง ทั้งสองคนก็ดูไม่เหมาะสมกันสักนิดในสายตาของชาวโลก”
ในขณะที่ทุกคนคาดเดาอย่างลับ ๆ สายตาเย็นชาของลู่เฉินหันไปยังดวงตาที่รู้สึกผิดและกระสับกระส่ายของซูโย่วอี๋
จู่ ๆ ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นในใจของเขา
“ไม่มีความเห็นครับ”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินลงไปจากเวทีด้วยใบหน้าเย็นชา และงานแถลงข่าวก็จบลงอย่างไม่มีคำบอกกล่าว
ฝ่ายตรวจสอบความคิดเห็นสาธารณะที่รออยู่ด้านข้างต้องการออกมารายงานเกี่ยวกับงานของเขา แต่ลู่เฉินปฏิเสธอย่างไม่เต็มใจและพูดกับผู้ช่วยข้าง ๆ ว่า “ให้ซูโย่วอี๋มาที่สำนักงานของฉัน”
อีกฝ่ายอึ้งไป ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเรียกประชุมหน่วยงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงมาตรการรับมือในทันที?
ห้องทำงานของประธาน ที่ชั้น 47
ลู่เฉินนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ และยกมือมากุมที่ใบหน้าอย่างหมดแรง
จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เป็นซูโย่วอี๋ที่เดินเข้ามา ระหว่างทางเธอได้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าลู่เฉินจะตัดสินใจอย่างไร เธอก็จะยอมรับมัน
เธอจึงเพียงกล่าวทักทายเขาแล้วนั่งเงียบ ๆ บนโซฟา จ้องมองไปยังชุดน้ำชาตรงหน้าโดยไม่ขยับเขยื้อน
ราวกับรอคอยการพิพากษาครั้งสุดท้ายอย่างเงียบงัน
ราวกับกำลังรอคำตัดสินใจของเขา
“ประธานลู่ ฉันเซ็นสัญญาไปเพียงฉบับเดียว และอีกสัญญาหนึ่งยังไม่ได้เซ็น หากคุณไม่ต้องการให้ฉันเป็นศิลปินในสังกัดอีก ฉันเข้าใจ”
ลู่เฉินรู้สึกขบขันกับท่าทีของเธอและพูดว่า “ผมบอกตอนไหนว่าจะไม่ยอมรับคุณ”
ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดและไม่พูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดอย่างนั้น
การที่ลู่เฉินปกป้องซูโย่วอี๋ในงานแถลงข่าวนั้นดูไม่น่าเชื่อเลย
“หากคุณมีคำถามอะไรก็ถามฉันได้เลยค่ะ ฉันจะบอกคุณทุกอย่าง”
ลู่เฉินยืนขึ้นและเดินไปข้างหน้า ขาเรียวของเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นหอมจาง ๆ โชยเข้าจมูกของเธอ และดวงตาของซูโย่วอี๋ก็ไม่รู้ว่าควรจะวางไว้ที่ไหน
“มองผมสิ!” เสียงของลู่เฉินแหบแห้ง
ซูโย่วอี๋กำมือแน่นและบังคับตัวเองให้เงยหน้าขึ้นสบตาเขา แต่เพียงชั่วครู่ก็ถอยห่างออกไป
ลู่เฉินเอนตัวลงเล็กน้อยแล้วถามว่า “ซูโย่วอี๋ คุณเคยแต่งงานจริงหรือเปล่า?””
“ใช่”
“เป็นคุณหรือเปล่าที่อยู่ในรูปนั้น?”
“ใช่”
“แล้วทำไมคุณถึงหย่า?”
“เขานอกใจฉัน”
ในแต่ละคำถาม ลมหายใจของลู่เฉินติดขัดขึ้นเล็กน้อย
จนในที่สุดก็ไม่มีคำถามมาจากอีกฝ่าย
เป็นเวลานาน ก่อนที่ซูโย่วอี๋จะพูดขึ้นว่า “ประธานลู่ ทุกอย่างในข่าวนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ยกเว้นการหย่าร้าง”
“ในกรณีนั้น ทำไมคุณไม่อธิบายทันทีที่คุณเดินเข้าประตูมา” ลู่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา
ซูโย่วอี๋อ้าปากจะพูดแต่กลับพูดไม่ออกราวกับว่ามีอะไรติดอยู่ในลำคอ
ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ทุกอย่างที่เธอทำมันก็คือการเสแสร้ง และหัวใจของเธอก็ยุ่งเหยิงไปหมด
เธอควรจะพูดอะไร? เธอกลัวที่จะเห็นแววตาเกลียดชังในดวงตาของลู่เฉิน
เธอควรจะพูดอะไร? ทั้งที่ในตอนนี้เธออ่อนแอและอ่อนไหวมาก แทนที่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นเยาะเย้ยเธอ เป็นการดีกว่าที่จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
ดังนั้นเธอจึงไม่เต็มใจที่จะอธิบาย เพราะกลัวว่าถ้าอธิบายไปแล้วจะแสดงความอ่อนแอออกไป
ลู่เฉินมองไปที่น้ำตาในดวงตาของซูโย่วอี๋ และอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเตือนเบา ๆ ว่า “อย่ากลัว”
เหตุการณ์ที่งานแถลงข่าว ความอยากรู้อยากเห็น ความผิดหวัง ความโกรธ ความสะใจ ความสมเพช ความรังเกียจในสายตาของทุกคนไม่ได้เลวร้ายเท่ากับคำพูดของลู่เฉินเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่กลัวที่จะไม่มีใครเชื่อ แต่กลัวความอ่อนโยนและตวามห่วงใยในช่วงเวลาที่เปราะบาง
ในพริบตาเดียว กำแพงด่านสุดท้ายที่เธอสร้างขึ้นก็พังทลายลงในที่สุด
น้ำตาของซูโย่วอี๋ร่วงหล่นออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองลู่เฉินอย่างดื้อรั้น “ฉันไม่ได้อ้อนวอนขอความเมตตาจากคุณ และฉันไม่ได้พยายามทำให้ใจคุณอ่อนด้วยวิธีนี้””
“ฉันแค่ร้องไห้เพราะฉันทนมันไม่ไหวแล้ว”
ตากับจมูกของเธอแดงก่ำ
อารมณ์ที่ค่อนข้างเดือดพล่านของลู่เฉินค่อย ๆ จางหายไป เขายกมือขึ้นลูบไหล่เธอเบา ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยว่า “ไม่เป็นไร”
มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความห่วงใย
ซูโย่วอี๋หยุดชะงักไปเหมือนกับลืมวิธีการร้องไห้
หลังจากที่อารมณ์ของเธอสงบ ลู่เฉินก็พูดว่า “สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการชี้แจงข้อเท็จจริงและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณ คุณต้องหาหลักฐานและส่งมายังบริษัทโดยเร็วที่สุด”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ตกลง”
เธอสูดลมหายใจแล้วพูดว่า “ลู่เฉิน ขอบคุณมากค่ะ””
หลังจากพูดจบ เธอกำลังลุกขึ้นและจะจากไป แต่ลู่เฉินหยุดเธอไว้แล้วพูดว่า “ผมจะไปกับคุณ””
……
ด้านเหอชิ่นที่อยู่ในห้องทำงานของสุ่ยเวย วันนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจนเธอไม่เข้าใจในท่าทีของบริษัทเลยสักนิด เธอจึงอยากมาที่นี่เพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง
“พี่เวย การเซ็นสัญญาควรจะเป็นไปด้วยดี แต่กลับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พี่คิดว่าซูโย่วอี๋จะทำยังไง?”
ความหมายคือเธอไม่ต้องการจัดการเรื่องนี้อีกต่อไป
ใบหน้าของสุ่ยเวยฉายแววไม่พอใจ “ทำงานของคุณให้ดี บริษัทไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไรกับซูโย่วอี๋ ผู้หญิงคนนั้นเป็นศิลปินที่เธอต้องดูแล และก็เป็นคนคนหนึ่ง เธอจะเปลี่ยนหน้าเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
เหอชิ่นตัวแข็งและหน้าแดง “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“แล้วหมายความว่ายังไง? ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะมีความคิดอะไรล่วงหน้าแล้วนี่ ถ้าเธอไม่ต้องการเป็นผู้ช่วยของซูโย่วอี๋อีกต่อไป ฉันก็จะไม่บังคับ”
เหอชิ่นยังคงต้องการอธิบาย แต่ก็พูดไม่ออก หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในความคิดของเธอ ซูโย่วอี๋จบแล้ว การติดตามศิลปินที่ไม่มีอนาคตเช่นนี้ คงไม่มีประโยชน์อะไรอีก
ดังนั้นเธอจึงกล้าพูดว่า “โอเค พี่เวย ฉันจะกลับไปก่อน”
สุ่ยเวยมองไปที่ด้านหลังของเหอชิ่นที่จากไปด้วยความรังเกียจ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาเลขาฯ ของท่านประธาน
“ซูโย่วอี๋ออกไปแล้วหรือยัง”
“กำลังรอลิฟต์อยู่ค่ะ”
สุ่ยเวยลุกขึ้นพร้อมกุญแจรถ
“พี่เวยคุณมีอะไรกับเธอหรือเปล่า?”
“คุณบอกให้เธอรอฉันที่โรงรถแล้วฉันจะพาเธอกลับบ้าน”
น้ำเสียงอีกด้านของโทรศัพท์กระซิบบอก “ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นนะ ประธานลู่จะพาเธอกลับบ้านเอง”