บทที่ 123 เก็บตัว
บทที่ 123 เก็บตัว
ด้วยการตบอย่างแรงทำให้เหอมี่มี่ไม่กล้ายืนขึ้น “เฉินเฉิน คุณกล้าตบฉันเหรอ?”
เสียงของเฉินเฉินอัดอั้นออกมาจากลำคอ “ทำไมผมจะไม่กล้า? ทีคุณยังกล้าขโมยรูปส่วนตัวของผมไปให้นักข่าว และยังกล้าสร้างเรื่องไร้สาระในอินเทอร์เน็ตอีก ตอนที่คุณทำเรื่องพวกนี้ก็ไม่คิดว่าจะโดนตบเลยใช่ไหม?”
“ผมคิดว่าคุณไร้เดียงสาและจิตใจดี ไม่คิดว่าคุณจะกลายเป็นผู้หญิงชั่วร้ายแบบนี้!”
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเหอมี่มี่บวมขึ้น ที่มุมปากมีรอยเลือดเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าแรงตบนั้นของเฉินเฉินจะรุนแรงมากแค่ไหน
เธอไม่คิดที่จะเชื่อฟังหรือทำตามคำสั่งใคร ทั้งชีวิตได้ผ่านการทำผิดพลาดทั้งเล็กและใหญ่ แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยตีเธอมาก่อน
เหอมี่มี่กลั้นลมหายใจเอาไว้ เธอทั้งร้องไห้ ทั้งตะโกน “เฉินเฉิน คุณกล้าทำกับฉันแบบนี้เหรอ? คุณลืมไปแล้วเหรอว่า วันหมั้นของเราคุณสัญญาอะไรกับพ่อแม่ฉันไว้? คุณบอกว่าจะรักฉันไปตลอดชีวิตนี้ นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันคุณก็กล้าตีฉันแล้ว!”
เฉินเฉินยังคงยืนนิ่ง เขาใช้สายตาเย็นชามองไปยังผู้หญิงที่ดูคล้ายกับซูโย่วอี๋ซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา
การร้องไห้แบบนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสารเลยสักนิด กลับทำให้รู้สึกเพียงเบื่อหน่าย
“งั้นคุณรู้บ้างไหมว่าตอนนี้คนที่บริษัทมองผมยังไง? หุ้นส่วนของผมมองผมยังไง? ต่อหน้าเพื่อน ๆ ของผม ผมควรต้องทำตัวยังไง? ผมมืดมนหนทางแล้ว ที่ผมหย่ากับโย่วอี๋ก็เพราะว่ามัวแต่หมกมุ่นว่าอยากจะอยู่กับคุณ!”
เหอมี่มี่รู้สึกเหมือนถูกฉีกหน้า ซึ่งมันเจ็บมากกว่าที่เธอถูกเฉินเฉินตบเสียอีก ทันใดนั้นในใจของเธอก็รู้สึกจุกขึ้นมาราวกับว่ามันทำให้เธอหายใจไม่ค่อยสะดวก
ดวงตาของเธอแดงก่ำ “เฉินเฉิน ตอนแรกที่คุณยอมคบกับฉัน เป็นเพราะว่าฉันดูคล้ายกับผู้หญิงเลว ๆ อย่างซูโย่วอี๋งั้นเหรอ!”
“ใช่ ผมจะบอกคุณให้นะ คืนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะดื่มเหล้า ถ้าไม่ได้มองคุณว่าเป็นโย่วอี๋ ผมไม่มีวันแตะต้องคุณเด็ดขาด”
แม้ว่าในตอนนั้นซูโย่วอี๋จะอ้วนถึงร้อยแปดสิบกิโลกรัม เขาก็ไม่เคยคิดรังเกียจเธอแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถปฏิเสธผู้หญิงที่เสนอตัวให้ได้หรอก ไม่ว่าเธอคนนั้นจะสวยหรือขี้เหร่ก็ตาม
เฉินเฉินไม่คาดคิดว่าเรื่องที่เขามีคนอื่นจะถูกซูโย่วอี๋พบเข้า และยิ่งไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะขอหย่าในทันทีหลังจากนั้น จากมุมมองของเฉินเฉินเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไว้เลยสักนิด
เหอมี่มี่กรีดร้องขึ้นก่อนที่จะโยนข้าวของบนโต๊ะลงที่พื้น เศษแก้วปลิวว่อนไปทั่ว “คุณโกหก! คุณเคยบอกว่าชอบฉันนะ”
เฉินเฉินถอยหลังไปสองก้าวด้วยความรังเกียจและหมดความอดทน “คุณลองดูตัวคุณตอนนี้สิ ว่าเป็นยังไง?”
เขาถอดแหวนที่มือซ้ายออกแล้วโยนทิ้งไป “พวกเราเลิกกัน เรื่องการแต่งงานก็ให้จบลงตรงนี้ ผมจะย้ายออกตอนนี้เลย”
การหย่าร้างในครั้งแรก เฉินเฉินมอบห้องใจกลางเมืองให้กับซูโย่วอี๋ ตัวเขาไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ใด ๆ และในตอนที่หมั่นกับเหอมี่มี่ ด้วยความรักในลูกสาวของผู้อาวุโสทั้งสองคน พวกเขาจึงได้มอบห้องให้เป็นสินสอด แน่นอนว่ามีเพียงชื่อเหอมี่มี่เท่านั้นที่เป็นเจ้าของ
เมื่อเหอมี่มี่เห็นว่าเฉินเฉินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเธอเลย ดวงตาที่แดงก่ำอยู่แล้วทำให้เธอทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะด้วยความบ้าคลั่ง “ทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ เฉินเฉิน คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ ฉันไม่มีทางปล่อยคุณไปง่าย ๆ แบบนี้แน่”
ที่ร้านอาหาร
ซูโย่วอี๋มองเมนูอาหารในมือของสุ่ยเวย ก่อนที่จะเผลอจับกระเป๋าเงินของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
ช่างว่างเปล่า…
เมื่อเปิดดูแอปในโทรศัพท์ ยังดีที่มีเงินฝากอยู่ประมาณสามพันหยวน ซูโย่วอี๋เป็นแม่บ้านมาสองปี สองปีที่เธอไม่มีรายได้อะไรเลย เงินที่ใช้ในทุกวันขึ้นอยู่กับเงินเดือนไม่กี่พันหยวนของเฉินเฉิน
แต่เมนูแค่จานเดียวของร้านก็ 888 หยวนแล้ว เผลอแป๊บเดียวสุ่ยเวยก็สั่งอาหารไปถึงเจ็ดแปดอย่าง
พวกเขาแค่ห้าคน จำเป็นต้อง…สั่งเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่ใช่ว่าซูโย่วอี๋ไม่เต็มใจ แต่เธอกลัวว่าเงินจะไม่พอ ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารคงขายหน้าน่าดู
ช่างเถอะ หากเงินไม่พอจริง ๆ ค่อยให้หยินหยินช่วยเธอจ่ายไปก่อน รอให้ต่อไปที่เธอมีเงินเดือนก่อนแล้วค่อยคืน
ลู่เฉินและซูหยินทั้งสามคนมาด้วยกัน เมื่อมาถึงอาหารก็เสิร์ฟจนครบพอดี ซู่โย่วอี๋มองอาหารในจานอันน้อยนิดอย่างตกใจ นี่มันร้านอะไรกัน 888 หยวนแต่ได้แค่นี้เนี่ยนะ?
หลังจากนั่งลง สุ่ยเวยก็ถามขึ้น “อยากเปิดไวน์แดงหน่อยไหม?”
ลู่เฉินไม่ได้ปฏิเสธ สุ่ยเวยจึงเรียกบริกรมาก่อนที่จะพูดเบา ๆ ว่าขอไวน์
ซูโย่วอี๋ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินชื่อยี่ห้อ แต่เธอไม่รู้จักเลยไม่ได้สนใจ
แม้ว่าซูโย่วอี๋จะได้กินมื้อค่ำกับเฉินเฉินอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีประสบการณ์ในการสั่งอาหารเลยสักนิด ทั้งหมดเฉินเฉินเป็นคนจัดการ ส่วนเธอก็รับหน้าที่กินและดื่ม เหมือนกับตอนนี้ที่เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จึงถามขึ้นด้วยเสียงแห้ง ๆ
“พวกคุณยังมีอะไรที่ชอบกินอีกไหมคะ?”
ดูเหมือนว่าลู่เฉินจะมองเห็นความลำบากใจของเธอ ความเย็นชาในดวงตาจึงหายไปเล็กน้อย “คุณเลือกสถานที่กับอาหารได้ดีมาก อาหารร้านนี้ไม่เลวเลย”
บริกรรีบจดสิ่งที่ลู่เฉินพูดในทันที “ประธานลู่รบกวนรอสักครู่นะครับ อาหารใกล้จะมาแล้ว”
ประตูห้องอาหารส่วนตัวถูกผลักออก ผู้จัดการร้านถือไวน์แดงพร้อมกับเดินเข้ามา “ประธานลู่ทำไมวันนี้ถึงคิดมาร้านเล็ก ๆ ของผมได้ล่ะครับ”
คำพูดพวกนั้นดูคุ้นเคยกันมาก
ลู่เฉินยืนขึ้นพร้อมกับจับมือกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามา “ลุงเหวิน”
คนที่ลู่เฉินเรียกว่าลุงเหวินรินไวน์แดงให้กับทุกคนด้วยตัวเอง “วันนี้พวกคุณต้องมีความสุขมากแน่ ๆ เพราะนี่คือไวน์แดงที่ผมเก็บไว้มาหลายปี ถ้าเป็นคนทั่วไปผมไม่มีทางเอาออกมาแน่”
ดูเหมือนว่ากู่อวี๋เฉิงและสุ่ยเวยก็รู้จักกับเจ้าของร้านคนนี้ด้วยเหมือนกัน พวกเขาจึงทักทายกัน อย่างคุ้นเคย
ส่วนซู่โย่วอี๋ขยับเข้าไปชิดกับซูหยิน “เมื่อกี้นี้ประธานกู่เรียกเธอไปทำไมเหรอ?”
ซูหยินกลอกตาเบา ๆ “ไม่มีอะไร แค่คุยเกี่ยวกับงานในช่วงนี้”
ในหัวของเธอก็นึกถึงภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้
กู่อวี๋เฉิงถามเธอโดยตรง “ไปทำให้ใครไม่พอใจมา? ทำไมทั้งละครและภาพยนตร์จึงขอยกเลิกงานของคุณหมด?”
ซูหยินไม่ได้สนใจ “ใครจะไปรู้ล่ะ?”
“ไม่รู้? หรือผมควรไปถามฮัวจิง”
ซูหยินเงยหน้ามองไปยังกู่อวี๋เฉิง เสียงนี้ทำให้เธอเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “คุณตรวจสอบเรื่องของฉัน?”
กู่อวี๋เฉิงที่เย็นชามาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับยิ้มขึ้น “ตรวจสอบยังทันอยู่เหรอ? ซูหยิน วงการบันเทิงนี้ใหญ่มาก เบื้องหลังของคุณเป็นยังไง คนอื่นเขารู้กันหมด”
“ผมไม่สนว่าพวกคุณจะเป็นยังไง แต่สิ่งหนึ่งคืออย่าให้คนอื่นจับได้ เรื่องของซูโย่วอี๋ควรจะเป็นเรื่องที่เตือนใจคุณไว้”
ซูหยินกลับทำท่าทีไม่ได้สนใจอะไร “คุณดูสถานการณ์ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเราสองคนกำลังจะเลิกกัน ต่อไปก็จะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก”
ริมฝีปากบางของกู่อวี๋เฉิงเผยอขึ้นเบา ๆ “ซูหยิน ฮัวจิงเคยติดต่อผมมา เขาขอร้องให้บริษัทเก็บตัวคุณไว้”
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจจริง ๆ
หัวใจของซูหยินราวกับถูกแทงด้วยมีด ฮัวจิงเกลียดเธอมากเลยเหรอ?
“คุณตามน้ำไปก็ดีแล้ว อย่าให้งานอะไรกับฉัน ปล่อยให้ฉันค่อย ๆ จางหายไปจากสายตาของผู้คน ปล่อยให้อาชีพการแสดงของฉันตายไปแบบนั้นก็ดี”
นี่คืออำนาจของเงิน
กู่อวี๋เฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น”
ซูหยินเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพ เขาไม่ควรตัดสินใจที่จะไม่ให้งานเธอ ตรงกันข้ามเขาไม่อยากทำแบบนี้กับเธอเลยสักนิด
“ระหว่างผมและฮัวจิงจะต้องมีข้อสรุป บริษัทจะให้คุณพักผ่อนก่อน และรอให้คุณสะสางเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา”
……
ซูหยินวางตะเกียบลงแล้วมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า แต่ซูโย่วอี๋ก็สะกิดเธอ “หยินหยิน? คิดอะไรอยู่ กินข้าวเถอะ”
ซูหยินหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง แต่อาหารในปากก็ไม่ได้รสชาติเสียแล้ว
บนโต๊ะอาหารนั้นช่างเงียบสงบ มีแค่กู่อวี๋เฉิงและสุ่ยเวยที่กำลังพูดคุยอยู่กับลู่เฉิน ส่วนซูหยินและซูโย่วอี๋กินอาหารกันอย่างเงียบ ๆ