บทที่ 128 ถูกตัดสิทธิ์เพราะขาดคุณสมบัติ
บทที่ 128 ถูกตัดสิทธิ์เพราะขาดคุณสมบัติ
เมื่อคุยเรื่องงานเสร็จ สุ่ยเวยถึงได้มีน้ำเสียงที่อ่อนมากขึ้น [แล้วก็อย่าไปสนใจความคิดเห็นในเน็ตเลย มันไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอก]
ซูโย่วอี๋ยิ้มเจื่อน ๆ [พี่เวย นี่คุณกำลังปลอบฉันเหรอ?]
[วันสองวันนี้ก็ดูแลตัวเองดี ๆ ถ้ามีเรื่องอะไร บริษัทจะส่งรถไปรับเธอเอง]
หลังวางสายโทรศัพท์ ซูโย่วอี๋ก็ลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อไปกินข้าวเช้า จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำ ก็เลยดูละครของซูหยินที่ถ่ายไว้เมื่อก่อนกับสุนัขจิ้งจอก
และอยากเปิดโทรศัพท์เพื่อดูสถานการณ์ของเรื่องนี้
เมื่อสุนัขจิ้งจอกเห็นว่าซู่จู่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จึงพูดขึ้น [คุณต้องการเริ่มการทดสอบครั้งที่สองไหม?]
ห่างจาก [การตรวจสอบมวลร่างกาย] มาเป็นเวลาสองสัปดาห์แล้ว และก็ถึงเวลาทดสอบกันใหม่อีกรอบแล้วด้วย
ซูโย่วอี๋ที่มีเวลาว่าง ใจก็จะเอาแต่คิดถึงเรื่องความคิดเห็นของผู้คน คงดีกว่าถ้าหาเรื่องอื่น ๆ ให้ตัวเองได้ทำ
“ได้”
สุนัขจิ้งจอกโบกอุ้งเท้าหน้าขึ้น แผงข้อมูลส่วนบุคคลปรากฏอยู่เหนือห้องนั่งเล่น
[ผู้ใช้: ซูโย่วอี๋]
[ค่าเสน่ห์: 72]
[รูปลักษณ์: 100, อาชีพ: 48, ความรู้: 24, ทักษะ: 92]
เมื่อเทียบข้อมูลที่เชื่อมโยงไว้กับระบบ นอกจากความรู้ ค่าต่าง ๆ ก็พัฒนาเพิ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะรูปลักษณ์และทักษะที่เพิ่มขึ้นราวกับว่ามันคือคนละคนกัน
ซึ่งซูโย่วอี๋ก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย “ดูส่วนของการฝึกฝนสิ”
ส่วนที่หนึ่ง [ข้อจำกัดในการใช้ชีวิต] หน้าที่การฝึกฝนที่หนึ่ง [การตรวจสอบมวลร่างกาย] เปลี่ยนเป็นสีแดง แสดงถึงว่าเธอเคยใช้การทดสอบไปแล้ว
การฝึกฝนที่สอง [ความสง่างาม] เปล่งแสงออกมา แสดงให้เห็นว่าซูโย่วอี๋ในตอนนี้ได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนแล้ว
เธอยกมือขึ้นและสัมผัสเบา ๆ ไปที่ [ความสง่างาม]
[ความสง่างาม: ความงามอยู่ภายในไม่ใช่ภายนอก ความแข็งแกร่งของความงามจะมาจากภายในหรือภายนอกอยู่ที่การกระทำ การเคลื่อนไหวที่มีเสน่ห์และสง่างาม]
ท่วงท่าอันบริสุทธิ์สง่างามอย่างไร้ที่ติราวกับน้ำค้างในยามรุ่งอรุณ
[ท่วงท่าในปัจจุบัน: 55]
คะแนนเต็มคือ 100 คะแนน ดังนั้นท่วงท่าในปัจจุบันของเธอไม่ผ่านเกณฑ์?
ซูโย่วอี๋มองตัวเองในกระจกจากบนลงล่าง ก็ออกจะดูดี ไม่ได้แย่เหมือนที่ระบบตัดสินเสียหน่อย
สุนัขจิ้งจอกหัวเราะขึ้น [ซู่จู่ การให้คะแนนของระบบเป็นไปอย่างยุติธรรมและเที่ยงธรรม พวกเราลองมาเปลี่ยนวิธีมาดูท่าทางของคุณกัน]
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ ยังจะดูแบบไหนได้อีก?
สุนัขจิ้งจอกโบกอุ้งเท้าของตัวเอง ใบหน้าของซูโย่วอี๋ก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าธรรมดา ๆ
ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่ก็เป็นเพียงใบหน้าธรรมดา ๆ ที่เวลาเดินไปตามถนนคนอื่น ๆ ก็คงไม่ได้สนใจมอง
[คุณลองสังเกตท่าทางของคุณสิ]
ซูโย่วอี๋รู้สึกลังเล พอเปลี่ยนใบหน้าไปก็ราวกับเป็นแค่คนธรรมดา ๆ ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร “ก็ดูพอได้นะ?”
สุนัขจิ้งจอกไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่กลับแอบยิ้มนิดหน่อยและโบกอุ้งเท้าอีกครั้ง ซูโย่วอี๋จาก 50 กิโลกรัมเปลี่ยนเป็น 78 กิโลกรัม
[คุณลองดูอีกครั้งสิ?]
เห็นได้ชัดว่าในกระจกช่วงบนของซูโย่วอี๋เอนออกมาข้างหน้า หลังของเธอค่อมลงดูท่าทางไม่ดี จากมุมของเธอเองที่ไม่ได้เป็นมืออาชีพในด้านนี้ก็รู้สึกว่ามันดูไม่ดีเอาซะเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมันคืออะไร
ท่าทางของสุนัขจิ้งจอกที่มีการวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว [ตอนนี้คุณยังคิดว่าท่าทางของคุณไม่มีปัญหาอยู่อีกไหม?]
ซูโย่วอี๋อธิบายด้วยเสียงเบา ๆ “ถ้าอ้วนขึ้นก็ต้องมีผลกระทบบ้างสิ”
[ผิดแล้ว จากส่วนสูง 170 เซนติเมตร น้ำหนัก 58 กิโลกรัมของคุณ แน่นอนว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก ปัญหาก็ยังคงอยู่ที่ท่าทางของคุณ! ตอนแรกคุณคิดว่าไม่แย่อะไร เพียงเพราะว่าใบหน้าและรูปร่างของคุณปกปิดปัญหาเอาไว้ได้]
[เนื่องจากฉันเป็นผู้รับผิดชอบระบบเทพธิดา แน่นอนว่าจะต้องพัฒนาให้คุณบรรลุผลการฝึกฝนในทุกด้าน ไม่ใช่เพียงให้คุณผอมเท่านั้น!]
ซูโย่วอี๋รู้ดีว่าที่สุนัขจิ้งจอกพูดนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง “เข้าใจแล้ว”
เธอเข้าถึงพื้นที่การฝึกฝนโดยตรง
[หนึ่งร้อยแปดกระบวนท่า]
ทันทีที่เห็นเช่นนั้น ซูโย่วอี๋ก็ตกตะลึง!
เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
เมื่อดูต่อไป หลักสูตรการฝึกฝนครอบคลุมถึงสิ่งที่พบบ่อยที่สุดในการใช้ชีวิตประจำวัน ท่าทางธรรมดาทั่วไป4รวมถึงท่ายืน ท่านั่ง ท่านอน การเดิน การหันกลับมา…
แต่ละหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ยังแบ่งเป็นรายละเอียดย่อย ๆ อีกมากมาย เช่นท่านั่ง แบ่งเป็นท่านั่งในงานเลี้ยง (สบาย ๆ) ท่านั่งในที่ประชุม (ทางการ) ท่านั่งเก้าอี้บาร์ (ไม่เป็นทางการ) ท่านั่งแบบไม่มีพนักพิง ท่านั่งกับเก้าอี้ต่ำ…
มองคร่าว ๆ แล้วซูโย่วอี๋เริ่มสงสัยว่าหนึ่งร้อยแปดท่านี้จะสามารถฝึกฝนจนหมดได้จริงเหรอ
สุนัขจิ้งจอกอธิบายเพิ่ม [การฝึกฝนในครั้งนี้ไม่ต้องฝึกฝนตามลำดับ คุณสามารถใช้งานได้ตามสถานการณ์จริง และสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลยว่าจะฝึกฝนอันไหนก่อน]
ซูโย่วอี๋คลิกไปที่ [ท่ายืน] เพื่อฝึกฝน สภาพแวดล้อมรอบ ๆ เปลี่ยนไปในทันที ภาพฮอโลแกรมปรากฏอยู่รอบ ๆ
[เชิญซู่จู่ปล่อยร่างกายตามสบาย ทำท่าการยืนตามที่คุณคิดว่าดูดีมากที่สุด]
ซูโย่วอี๋เชิดหน้า ดันอกขึ้นและเก็บหน้าท้อง พยายามแสดงท่าทางการยืนที่มั่นใจที่สุด
[ระบบกำลังตัดสิน: ตรวจสอบพบว่าท่ายืนของซู่จู่มีปัญหาดังต่อไปนี้ ด้านข้างตัวโค้งเล็กน้อย คอเอียง ส่วนศีรษะไม่ตรง]
[กำลังแก้ไข]
ซูโย่วอี๋รู้สึกถึงพลังที่เคลื่อนผ่านร่างกายของเธอ เพื่อช่วยให้เธอขยับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
[ท่ายืนของซู่จู่ถูกต้อง: ให้ซู่จู่อดทนและไม่ขยับไปไหนยี่สิบนาที]
ซูโย่วอี๋ “…”
ยืนเฉย ๆ แบบไม่ขยับคือการฝึกฝนเหรอ?
ณ เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ ห้องทำงานของท่านประธาน
จากการที่ไปกินข้าวด้วยกันเมื่อคืน สุ่ยเวยแน่ใจแล้วว่าสถานะของเธอและซูโย่วอี๋ในหัวใจของลู่เฉินนั้นต่างกัน หลังจากเข้าใจในสถานการณ์การค้นหาที่ได้รับความนิยมเมื่อเช้านี้ เธอก็มาหาลู่เฉินในทันที
ไม่ใช่ว่าเธอไม่สามารถจัดการกับมันได้ แต่ต้องการจัดการตามความต้องการของประธานต่างหาก
หลังจากสุ่ยเวยรายงานสถานการณ์เสร็จก็รอให้ลู่เฉินสั่ง แต่เหมือนลู่เฉินกำลัง… เหม่อลอย
เขานั่งพิงเก้าอี้อย่างสบาย ๆ มือซ้ายเคาะโต๊ะทีแล้วทีเล่า คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรกวนใจประธานลู่อยู่หรือเปล่าคะ?”
ลู่เฉินเหลือบมองสุ่ยเวย “บอกมาสิว่า ชาวเน็ตพูดถึงเธอยังไงบ้าง?”
คนทั่วไปมาเห็นก็คงจะแค่ยิ้ม ๆ และปล่อยให้เรื่องผ่านไป แต่คำพูดของชาวเน็ตย่อมไม่ใช่คำพูดดี ๆ อยู่แล้ว แต่สุ่ยเวยเป็นคนเข้มงวดจริงจัง และไว้วางใจในความสามารถของลู่เฉิน จึงได้รีบเปิดโทรศัพท์และอ่านความคิดเห็นที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในทันที
[ก็คงจะไม่มีใครต้องการแล้วมั้ง แม้แต่ผู้ชายเลว ๆ อย่างเฉินเฉินก็ยังจะเอาอีก จะอ้วก]
[ขอบคุณคุณแม่ที่ให้ดวงตาอันเฉียบแหลมแก่ฉัน อย่างน้อยก็ไม่เคยไล่ตามสิ่งที่ทำลายตัวเองแบบเธอ]
[ทำลายตัวเองก็มากพอแล้ว ประเด็นคือผู้ชายเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ฉันหมดคำจะพูด]
[ทำชั่วได้ชั่ว]
สุ่ยเวยเงยหน้ามองประธานลู่ “ยังต้องอ่านต่อไหมคะ?”
“ไม่ต้อง”
ในห้องทำงานเงียบสงัดในทันที ลู่เฉินไม่พูดอะไร และสุ่ยเวยก็ได้แต่รออย่างใจเย็น
ในตอนนี้เองประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก หัวหน้าแผนกสำรวจความคิดเห็นสาธารณชนเดินเข้ามา “ประธานลู่ เมื่อครู่นี้ในอินเทอร์เน็ตเกิดเรื่องขึ้นถึงสองเรื่องเลยครับ”
สุ่ยเวยลุกขึ้น “เกี่ยวกับซูโย่วอี๋?”
“ใช่ครับ เรื่องแรกคือสำนักงานมหาวิทยาลัยฮิลเบิร์ตประจำประเทศจีนได้ประกาศลงในเว็บไซต์ของพวกเขาว่าซูโย่วอี๋ถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมการประเมินของมหาวิทยาลัยเนื่องจากขาดคุณสมบัติ”
สีหน้าของลู่เฉินเคร่งขรึม “เหตุผลคือ?”
ภายใต้การจ้องมองอย่างจริงจังของลู่เฉินทำให้หัวหน้าแผนกรู้สึกกดดัน “ศีลธรรมของซูโย่วอี๋อยู่ในระดับต่ำ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมมหาวิทยาลัยฮิลเบิร์ต”
เดิมทีในสายตาของผู้คน มหาวิทยาลัยฮิลเบิร์ตไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก หลังจากเรื่องนอกใจและการหย่าร้างของซูโย่วอี๋ก็ทำให้มันมีชื่อเสียงขึ้นมา ราวกับว่าชาวเน็ตรู้ว่ามหาวิทยาลัยฮิลเบิร์ตนั้นสูงส่งถึงเพียงไหน
ตอนนี้ซูโย่วอี๋ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าซูโย่วอี๋คือผู้มีปัญหาด้านศีลธรรม