บทที่ 136 ไม่ได้กินก็น่าเสียดายนะ
บทที่ 136 ไม่ได้กินก็น่าเสียดายนะ
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “คุณผัดเป็นจริง ๆ เหรอคะ?”
“อืม ผมชอบทำอาหารตอนว่าง ๆ น่ะ” ตอนอยู่ที่บ้าน กู่อวี๋เฉิงทำอาหารเองเสมอ “พวกคุณอยากกินรสชาติแบบไหน แบบกระเทียม แบบสลัด หรือแบบผัดจืด ๆ?”
ซูหยินเอนตัวเข้าไป “ผักธรรมดา ๆ จะผัดได้กี่แบบกัน?”
กู่อวี๋เฉิงไม่ได้พูดอะไรอีก มองแวบแรกก็รู้เลยว่าซูหยินเกิดในครอบครัวที่เธอไม่ต้องทำงานบ้านเอง
ตอนที่กู่อวี๋เฉิงหยิบตะหลิวขึ้นมาผัดผัก ราดน้ำมันลงไปในกระทะ เปลวไฟก็พุ่งออกมา ซูหยินที่อยู่ใกล้ตกใจจนต้องกระโดดหนี
“กู่อวี๋เฉิง คุณเก่งกว่าเชฟดัง ๆ อีกนะ”
ซูหยินขยิบตา ผมหยิกเป็นลอนสยายออกจนไปโดนแขนของกู่อวี๋เฉิงจนทำให้เขาจั๊กจี้
กู่อวี๋เฉิงหันหน้าไปมองเธอ เห็นว่าสายตาของซูหยินเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความชื่นชม จนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
อีกด้านซูโย่วอี๋นำอาหารไปวางบนโต๊ะ ก็พบว่าลู่เฉินและอีกสองคนเดินเข้ามาแล้ว
เธอนิ่งไปสักครู่ “พวกคุณเข้ามาได้ยังไง?”
เธอสบตากับลู่เฉิน และคิดได้ว่านี่คือบ้านของเขา จะมีกุญแจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ก่อนที่จะทำเป็นเปลี่ยนเรื่องไปอย่างเขินอาย “เอ่อ… มากินข้าวเถอะค่ะ พึ่งเตรียมกับข้าวเสร็จพอดี”
ในห้องครัวมีเสียงคนพูดดังขึ้น
“เฮ้ คุณอวี๋ที่รัก ทักษะด้านอาหารของคุณไม่เลวเลยนี่”
“รอให้ออกไปก่อนค่อยกินได้ไหม ทำไมเหมือนเด็กแบบนี้ แล้วยังขโมยกินอีก” น้ำเสียงของฝ่ายชายฟังดูเบื่อหน่ายไม่มีทางเลือก
กู่อวี๋เฉิงถือจานผักออกมาวางไว้บนโต๊ะ และค่อย ๆ ถอดผ้ากันเปื้อนออก หลังจากล้างมือแล้วจึงเดินไปนั่งที่
ซูโย่วอี๋รู้สึกจากใจจริงว่าผู้ชายที่สามารถทำอาหารได้นั้นไม่เลวเลย “ลำบากรองประธานกู่แย่เลย กินเยอะ ๆ นะคะ”
อีกด้าน สุ่ยเวยยกไวน์แดงในมือขึ้นมา “ไม่รู้ว่าพวกคุณชอบดื่มอะไร ฉันเลยหยิบมามั่ว ๆ น่ะค่ะ”
เหมยเหมยใช้โอกาสนี้พูดขึ้นเช่นกัน “คุณซู ฉันซื้อต้นไม้มากระถางหนึ่ง ยินดีกับบ้านใหม่ของคุณด้วยนะคะ”
และซูโย่วอี๋ก็หันไปเห็นกล่องของขวัญอีกกล่องวางอยู่ไม่ไกล เธอเดาได้ในทันทีว่าคือของขวัญจากกู่อวี๋เฉิง จนรู้สึกเกรงใจขึ้นมา เพราะตามจริงเธอตั้งใจเรียกทุกคนให้มากินข้าวด้วยกัน แต่กลับทำให้ทุกคนต้องสิ้นเปลืองเงินแบบนี้
“ขอบคุณค่ะ”
ลู่เฉินดึงซูโย่วอี๋ให้มานั่งข้าง ๆ และเริ่มหยิบตะเกียบขึ้น
น่าจะเป็นเพราะครั้งที่แล้วที่ทั้งสองเคยกินข้าวด้วยกัน หรืออาจจะเพราะว่าสถานะของเธอในวันนี้ที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าการกินข้าวด้วยกันในครั้งนี้ทุกคนดูคุ้นเคยกันมากกว่าเดิมมาก
สุ่ยเวยถามเธอถึงเรื่องแนวทางการทำงานต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งซูโย่วอี๋ตอบไปว่า “ฉันอยากทำงานด้านร้องเพลงมากที่สุด เป็นไปได้ไหมคะ?”
พูดจบเธอก็มองไปยังลู่เฉิน
นี่เป็นเพียงความคิดเรียบง่าย แต่เธอก็อยากฟังความคิดเห็นจากมืออาชีพอย่างลู่เฉินและสุ่ยเวยด้วย
ดวงตาของลู่เฉินนิ่งสงบ “ได้สิ เริ่มจากสิ่งที่คุณถนัด เรื่องอื่น ๆ ค่อยเรียนรู้ไป”
ทันใดนั้น สุ่ยเวยมีความคิดในขั้นตอนแรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้น ทุกคนก็เริ่มกินอาหารด้วยกัน ซูโย่วอี๋ชอบกินอาหารรสจืด และกินได้ไม่ค่อยเยอะ เธอเห็นกุ้งตรงหน้าของลู่เฉินเลยแกะกุ้งสองตัววางไว้ในถ้วยของเขา
“ลองชิมดู”
กุ้งที่ซูโย่วอี๋ซื้อกลับมาเป็นกุ้งสด ๆ แต่ลู่เฉินกลับไม่กินมันเลยสักตัว
ชายหนุ่มเอามันเข้าปากอย่างไม่อิดออด “อร่อย”
“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่าเธอใส่ใจคนอื่นมากขนาดนี้?” ซูหยินแสดงสีหน้าล้อเลียน
ซูโย่วอี๋จึงแกะกุ้งอีกสองตัวให้กับซูหยินเช่นกัน “เธอก็พูดไป มีครั้งไหนบ้างที่ฉันจะไม่แกะกุ้งให้เธอ แม้แต่เฉิน…”
บ้าเอ๊ย
บรรยากาศดี ๆ แบบนี้จะไปพูดถึงเฉินเฉินทำไม
อีกนิดซูโย่วอี๋ก็คงจะกลืนลิ้นตัวเองเข้าไปแล้ว
ทันใดนั้น ทุกคนบนโต๊ะอาหารเงียบทันใด และทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ซูโย่วอี๋แอบมองดูสีหน้าของลู่เฉินอย่างรู้สึกผิด และพบว่าเขายังคงกินข้าวอยู่
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก คงจะไม่ได้ยินสินะ… แต่เธอก็พูดแค่คำว่าเฉินแล้วก็ไม่ได้พูดชื่อออกมาทั้งหมดนี่
เธอตั้งใจว่าจะแกะกุ้งให้ลู่เฉินอีก
“ไม่กินแล้ว ผมอิ่มแล้ว” ลู่เฉินพูดขึ้นเบา ๆ
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ แต่ละคนก็ลากลับบ้าน ส่วนซูโย่วอี๋อยากให้ซูหยินอยู่เป็นเพื่อน ต่อ
ซูหยินกลับขยิบตาให้เธอและพูดด้วยเสียงต่ำ “ที่รัก ถึงหน้าตาของประธานลู่จะเป็นที่ประจักษ์ แต่เธอก็ควรจัดการให้ดี แล้วทำให้เขาพอใจซะ”
“วันนี้ฉันคงอยู่ต่อไม่ได้ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ”
เมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดแบบนั้นซูโย่วอี๋ก็หน้าแดงก่ำ
จัดการอะไรกัน นี่ซูหยินจะให้เธอทำอะไรกับลู่เฉิน
อืม…
เหมือนว่าจะทำได้นะ
ซูโย่วอี๋รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกซูหยินชักนำ “พูดอะไร รีบไปเลยนะ”
“ที่รัก ประโยคที่พูดเมื่อกี้ฉันพูดในฐานะพ่อกับแม่ ประโยคต่อไปฉันจะพูดในฐานะเพื่อนสนิทของเธอ”
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีทางพูดอะไรดี ๆ แน่ แต่ซูโย่วอี๋ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “อะไร?”
“ผู้ชายแบบประธานลู่ ไม่ได้กินก็น่าเสียดายนะ”
!!!
ไม่ควรรอฟังคำพูดของเธอเลย ครั้งเชื่อถือไม่ได้สักครั้ง
ซูโย่วอี๋แกล้งผลักให้เพื่อนสาวออกไปจากประตู “รีบไปเลย”
เมื่อเห็นว่าซูหยินเมาจากการดื่มไวน์แดง เธอเองก็ไม่วางใจ “รองประธานกู่ รบกวนคุณไปส่งหยินหยินกลับบ้านได้ไหมคะ?”
เธอจำได้ว่าที่พักของซูหยินและกู่อวี๋เฉิงนั้นอยู่ใกล้กัน
กู่อวี๋เฉิงหันไปมองซูหยิน “ได้”
ส่วนลู่เฉินเอาแต่ยืนเงียบ ๆ อยู่ข้างหลังเพื่อส่งแขกเป็นเพื่อนโย่วอี๋
พอปิดประตู ลู่เฉินก็เข้ามากอดซูโย่วอี๋จากทางด้านหลังและวางหัวลงบนไหล่ของเธอ “ซูหยินพูดเรื่องสิบแปดบวกอะไรกับคุณเหรอ?”
“หืม?” ซูโย่วอี๋ใจเต้น “ไม่มีอะไร เธอบอกฉันว่าอย่าทำงานหนักมากเกินไป ให้รีบพักผ่อน”
เสียงของลู่เฉินต่ำลง “ผมไม่ชอบเลย”
ซูโย่วอี๋กลับรับรู้ได้ถึงกลิ่นของความไม่พอใจจากตัวของอีกฝ่าย และคิดว่าเขาคงมีปัญหาในการทำงาน “ไม่เป็นไร คุณเก่งจะตาย จะต้องทำได้ดีแน่ ๆ”
แต่ลู่เฉินกลับคลอเคลียหูของเธอ “ไม่ใช่”
“ผมไม่ชอบที่จะได้ยินเรื่องของผู้ชายคนนั้นจากปากของคุณ”
ที่แท้เขาก็ได้ยิน…
ซูโย่วอี๋รู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ผมรู้ ผมไม่ได้โทษคุณ”
เขาแค่ไม่ชอบ
ซูโย่วอี๋ผลักมือเขาออกและหมุนตัวมามองลู่เฉิน “ต่อไปฉันจะระวัง”
เธอคิดมาตลอดว่าลู่เฉินเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ว่าปัญหาอะไรที่เข้ามา เขาก็สามารถแก้ไขมันได้ แต่เรื่องความรัก เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไปเลย
ลู่เฉินเองก็มีด้านที่อ่อนโยนเช่นกัน
ถนนเชิงฮวา
กู่อวี๋เฉิงและซูหยินอยู่ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน
ซูหยินมองไปยังไฟข้างถนนจากหน้าต่างรถที่ค่อย ๆ ห่างไกลไปที่ละดวง และที่กำลังใกล้เข้ามาถึงทีละดวง
คนที่นั่งมาข้าง ๆ ดูนิ่งสงบจนน่าประหลาดใจ กู่อวี๋เฉิงจึงหันไปมองซูหยิน “เมาจริงเหรอ?”
น้ำเสียงที่ใช้ตอบกลับของซูหยินดูแข็ง ๆ “น่าจะใช่มั้ง”
คิ้วและดวงตาที่สดใสอยู่เสมอดูโดดเดี่ยวเล็กน้อยในตอนนี้
“เรื่องของคุณกับฮัวจิงจัดการบ้างหรือยัง?”
ซูหยินลูบกระเป๋าของตัวเอง “ฉันเลิกกับเขาแล้ว แต่เขาไม่ยอม ฉันเลยทำอะไรไม่ได้”
กู่อวี๋เฉิงสงสัย จะมีคนที่พูดเรื่องการเป็นเมียน้อยออกมาได้ง่ายดายแบบนี้ด้วยเหรอ?
ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าซูหยินเองก็ไม่ได้ภูมิใจกับเรื่องนี้ อยากจะเล่นตลกหรืออะไรกันแน่นะ
แต่เธอเพียงแค่พูดความจริงออกมา
กู่อวี๋เฉิงหยุดรถตรงไฟแดง “หรือคุณจะลองให้ซูโย่วอี๋ช่วย”
ในตอนนี้ ซูโย่วอี๋มีทั้งลู่เฉินและทั้งบริษัทเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์คอยหนุนหลัง
ต่อให้เป็นฮัวจิง ก็ทำอะไรลู่เฉินไม่ได้
ซูหยินยิ้มขึ้น “คุณล่ะ อวี๋ที่รัก สามารถจัดการเรื่องนี้ได้หรือเปล่า?”
กู่อวี๋เฉิงขมวดคิ้วมุ่น แน่นอนว่าเขามีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถทำให้งานของซูหยินกลับมาตามปกติได้
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา และเขาไม่อยากมีปัญหา
กู่อวี๋เฉิงไม่จำเป็นที่จะต้องมีปัญหากับฮัวจิงเพื่อนักแสดงคนหนึ่งของบริษัท
“อืม”
ซูหยินลากเสียงยาว แต่ในดวงตากลับสั่นไหว
ทันใดนั้น เธอเอนตัวไปทางซ้ายพร้อมกับดึงศีรษะของกู่อวี๋เฉิงเข้ามาใกล้และจูบเขา