บทที่ 155 เก็งข้อสอบถูก
บทที่ 155 เก็งข้อสอบถูก
แต่ก็มีคนทะเยอทะยาน แม้ว่าจะขี่ม้าไม่เป็นแต่ก็ยังอยากจะไปลอง
หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงที่บอกว่าซูโย่วอี๋ดูธรรมดา “ผู้กำกับสวี ฉันขี่ม้าไม่เป็น แต่ฉันยินดีที่จะเรียนรู้ อย่างนี้สามารถเข้าร่วมออดิชั่นได้หรือเปล่าคะ?”
สวีโหมวหันมาสนใจเธอ เธอผมสีดำมัดรวบไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าขาวใส ดูละเอียดอ่อนและงดงาม ดวงตาคู่เล็กยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
“คุณชื่ออะไร? มาจากบริษัทไหน?”
เธอดูเป็นธรรมชาติ ความมั่นใจเปล่งประกายในดวงตา “ฉันชื่อเสิ้งเซี่ย เป็นศิลปินสังกัดบริษัทซานสุ่ยเอนเทอร์เทนเมนท์ ปีนี้อายุ 21 เรียนอยู่ปีสาม มหาวิทยาลัยการสื่อสารปักกิ่งค่ะ”
เธอถือโอกาสนี้แนะนำตัวเอง
สวีโหมวชอบเด็กผู้หญิงสดใสและกระตือรือร้น “ดีแล้ว ขี่ม้าไม่เป็นก็สามารถเข้าร่วมการออดิชั่นได้”
เสิ้งเซี่ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับผู้จัดการ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองซูโย่วอี๋
หึ
มองเธอทำไม
เกี่ยวอะไรกับเธอ
กลุ่มคนถูกจัดแบ่งไปยังรถบัสสองคันโดยเจ้าหน้าที่ ส่วนสุ่ยเวยตัดสินใจที่จะขับรถของตัวเองไปหลังจากที่พูดคุยกับสวีโหมวแล้ว
บนรถผู้จัดการ สุ่ยเวยถามขึ้น “ซูโย่วอี๋ คุณขี่ม้าเป็นมั้ย?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า
ตอนนี้เธอขี่ม้าเก่งมาก และชอบการขี่ม้ามาก ๆ ด้วย พอได้ยินที่สวีโหมวเล่าถึงฉากการออดิชั่นตอนขี่ม้า เธออยากจะหัวเราะออกมา
ถึงอย่างนั้น สุ่ยเวยก็ยังไม่กล้าวางใจสักเท่าไหร่ ความปลอดภัยของซูโย่วอี๋เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ เธอคงไม่มีทางอธิบายกับลู่เฉินได้
“อีกสักพักถ้าถึงลานขี่ม้าแล้ว ให้ฟังแผนการของเจ้าหน้าที่ ม้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาแล้ว แต่คุณก็ไม่ควรทำอะไรเสี่ยง ๆ ถ้ามีอันตรายให้รีบขอความช่วยเหลือ อย่าเพิ่งอวดเก่ง”
“ตอนเลือกม้าก็ดูให้ดี ๆ พยายามเลือกม้าที่ดูเชื่อง ฉันคุยกับเจ้าหน้าที่มาแล้ว ฉันกับเหมยเหมยเข้าไปด้วยไม่ได้ตอนที่คุณออดิชั่น พวกเขาจะดูแลคุณเอง”
ซูโย่วอี๋ตกลง แต่สุ่ยเวยยังคงพูดถึงเรื่องที่ควรระวังอีก เธอฟังอย่างตั้งใจ
เมื่อนึกถึงเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้ ซูโย่วอี๋จึงถามขึ้น “เสิ้งเซี่ยคนนั้นเหมือนจะรวางแผนมาดีนะ?”
เหมยเหมยมองดูเว็บไซต์ไป่ตู้ในโทรศัพท์ของเธอ “จากที่ค้นหาดู เสิ้งเซี่ยเรียนอยู่ปีสอง ตอนเข้าร่วมซานสุ่ยเอนเทอร์เทนเมนท์เมื่อหนึ่งปีก่อน เคยถ่ายละครโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงโดยรับบทเป็นนางรองมาแล้วสองเรื่อง ทักษะการแสดงและรูปร่างหน้าตาค่อนข้างเป็นที่พูดถึง มีฐานแฟนคลับอยู่บ้าง”
มีคนคอยสนับสนุนเสิ้งเซี่ยอยู่เบื้องหลัง
สุ่ยเวยรู้รายละเอียดของเสิ้งเซี่ยดี แต่คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอก็เทียบกับลู่เฉินไม่ติด สุ่ยเวยจึงไม่ได้อธิบายอะไร น้ำเสียงของเธอนิ่งเฉย “อย่าสนใจเธอเลย ตั้งใจแสดงให้ดีก็พอแล้ว”
ณ ลานขี่ม้าซานเฮ่อแถวชานเมือง
ลานขี่ม้าซานเฮ่อเป็นสโมสรขี่ม้าที่มีชื่อเสียงมากในเมืองปักกิ่ง มีทุกอย่างครบครัน ทั้งอุปรณ์ขี่ม้า การสอนขี่ม้า และอื่น ๆ ทุก ๆ ครึ่งปีจะมีการจัดแข่งขันขี่ม้าขึ้น
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหล่าคนมีชื่อเสียงมักแวะเวียนมาบ่อย ๆ
สวีโหมวจองลานขี่ม้ากลางแจ้งหมายเลข 1 เอาไว้เพื่อการออดิชั่นบทฮั่วเสวียน และตอนนี้ศิลปินทั้ง 38 คนได้มารวมตัวกันที่ลานขี่ม้าเรียบร้อยแล้ว
สวีโหมวยืนอยู่ตรงกลางพร้อมไมโครโฟนและประกาศบทของการออดิชั่นในครั้งนี้
ซึ่งก็คือตอนที่ฮั่วเสวียนโตขึ้นและปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในนิยายเรื่องรักในฝัน
ฮั่วเสวียนในวัย 17 ปีเป็นทหารในตระกูลฮั่วมาตั้งแต่เด็ก ๆ มียศสูงในทางทหาร ตอนนั้นเธอกำลังแข่งขี่ม้าอยู่กับผู้ช่วยสองสามคน
ม้าของฮั่วเสวียนอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อไปถึงครึ่งทาง ขาสองข้างควบม้าไปก่อนที่จะปล่อยบังเหียนให้คลายออก ดึงลูกธนูออกมาจากซองใส่ธนู เล็งไปยังนกพิราบสีขาวที่กำลังบินอยู่ รอบ ๆ
ผมสีดำขลับของฮั่วเสวียนถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง รอยยิ้มสดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เหมือนชายหนุ่มผู้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ซูโย่วอี๋เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ความสุขล้นทะลักออกมา
บังเอิญมากจริง ๆ นี่เป็นหนึ่งในฉากในเกมสวมบทบาทที่เธอเคยเล่นมาก่อนแล้ว!
ความรู้สึกเช่นนี้จะอธิบายอย่างไรดี?
เหมือนกับโชคดีที่เก็งข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างถูกต้อง?
เหมือนเจอโจทย์คณิตศาสตร์ข้อสุดท้ายที่เคยทำมาก่อนแล้ว?
มันสุดยอดมากจริง ๆ
ขณะที่กำลังอิ่มเอมใจ สุนัขจิ่งจอกเตือนขึ้น [อย่าพึ่งรีบดีใจไป เกมก็คือเกม เรื่องจริงก็คือเรื่องจริง จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องมีข้อแตกต่าง]
ซูโย่วอี๋เองก็เข้าใจในข้อนี้ดี “รู้แล้วน่า”
สวีโหมวยังคงอธิบายถึงกฎของการออดิชั่น “ขอให้แบ่งกลุ่ม ๆ ละสิบคน ออกตัวพร้อมกัน ถ้าวิ่งได้ก็พยายามให้วิ่ง ถ้าวิ่งไม่ได้ให้แสดงท่าทางการยิงธนูก็พอ”
“อย่างไรเสียก็ให้แสดงไปตามความเข้าใจของพวกคุณ ต่อไปจะเป็นการประกาศลำดับการ ออดิชั่น ในกลุ่มที่หนึ่งคนไหนที่ถูกเรียกชื่อให้ออกมาเข้าแถว แสดงว่าคนนั้นโดดเด่นพอสมควร”
ฟังไปสักพัก ซูโย่วอี๋ได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในกลุ่มที่สาม
ตอนนี้ม้าอยู่ในสนามแข่งแล้ว โดยพวกเขาไม่ได้ให้เลือกม้าเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าคุณคือหมายเลย 7 ก็ทราบได้เลยว่าต่อไปจะต้องไปขี่ม้าตัวไหน
ศิลปินในกลุ่มที่หนึ่งล้วนสวมอุปกรณ์ขี่ม้าเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันศีรษะและข้อต่อเอาไว้ด้วยความดูแลของทีมงานในลานขี่ม้า
สวีโหมวให้เวลาประมาณสิบนาทีในการทำความคุ้นเคยกับม้าและพูดขึ้น “การออดิชั่นกลุ่มที่หนึ่งเริ่มต้นได้”
ม้าบนสนามหญ้ารอคนขึ้นขี่หลังอย่างสงบ
ใครที่ขี่ม้าเป็นหรือไม่เป็นก็จะเห็นได้ชัดเจนมาก คนที่ขี่ม้าเป็นสามารถขึ้นม้าได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ดึงบังเหียนและก้าวไปด้านหน้า
คนไหนที่พอจะคุ้นชินกับม้าก็สามารถวิ่งบังคับให้ม้าวิ่งได้
ที่เหลืออีกสี่คนดูจะขี่ม้าไม่เป็น ยังคงยืนอยู่บนพื้นหญ้ามองดูม้าอยู่อย่างนั้น
สวีโหมวพูดจาอย่างไร้ความปราณี “ถ้ายังขึ้นม้าไม่ได้ภายในสามนาทีนี้ก็ตกรอบไปได้เลย”
ซูโย่วอี๋มองดูสถานการณ์เช่นนี้ “อ่า เจ้าจิ้งจอกเน่า โชคดีจริง ๆ ที่นายมีเกมให้ฉันได้ลอง ไม่งั้นฉันคงจะเป็นแบบพวกเธอที่ทำอะไรไม่ได้เลย”
กลุ่มที่หนึ่งออดิชั่นเสร็จอย่างรวดเร็ว แม้การแสดงขี่ม้าจะน่าประทับใจ แต่กลับไม่มีคนไหนที่ดูโดดเด่นออกมาเลย
หลังจากที่พวกเธอแสดงเสร็จ สวีโหมวไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแค่เรียกคนที่ต้องแสดงต่อไป “ในสายตาของพวกคุณ ฮั่วเสวียนเป็นเพียงหญิงสาวขี้อายอย่างนั้นเหรอ? นั่นไม่ใช่เธอเลย!”
“ในหนังสือฮั่วเสวียนคือเด็กอายุ 14 ที่ตามพ่อไปออกรบ พออายุ 16 ก็นำกองทัพไปรบด้วยตัวเอง พออายุ 17 ก็กลายเป็นแม่ทัพน้อยที่สามารถเด็ดหัวศัตรูมาได้ พวกคุณมาเที่ยวชมดอกไม้ผลิบานกันหรือไง”
ศิลปินกลุ่มที่หนึ่งหน้าแดงไปถึงหู
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นถูกต้องแล้ว พวกเธอควรจะต้องถูกตัดคะแนนจากการสวมบทบาทเมื่อครู่นี้
สุนัขจิ้งจอกมองดูท่าทางมั่นใจของซู่จู่ [คุณเองก็ควรขอไม่ให้ตัวเองถูกตัดคะแนนเถอะ]
การออดิชั่นกลุ่มที่สองเริ่มขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะดูกลุ่มที่หนึ่งมาก่อนแล้ว หรือเพราะได้รับแรงกระตุ้นจากสวีโหมว การแสดงครั้งนี้ดีกว่ากลุ่มแรกเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเสิ้งเซี่ย จะพูดอย่างไรดีล่ะ เธอทำให้คนแปลกใจและตกใจในเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่เธอขี่ม้าไม่เป็น
เมื่อเริ่มแสดงเธอก็เลือกที่ขอความช่วยเหลือ เธอขอให้ครูฝึกม้ามาช่วย โดยให้ครูฝึกม้าขี่ม้าตัวเดียวกันไปพร้อมกับเธอ
ครูฝึกม้าควบคุมม้าตามที่เธอร้องขอ ส่วนเธอก็แสดงบทฮั่วเสวียน
ทั้งสองควบม้าไปมา ยิงธนูขึ้นฟ้าด้วยท่าทางสง่างามและดูเป็นอิสระ โดดเด่นออกมาจากเหล่านักแสดงคนอื่น ๆ
หญิงสาวในกลุ่มแรกแอบเสียดาย “ทำไมฉันคิดวิธีแบบนี้ไม่ออกกันนะ?”
สวีโหมวถือบุหรี่ไว้ในมือขวาและพยักหน้า “เสิ้งเซี่ยคนนี้ไม่เลว มีจิตวิญญาณ แถมยังมีไหวพริบ”
จากที่กล้าถามในห้องโถงเมื่อครู่นี้ เห็นได้เลยว่าบุคลิกของผู้หญิงคนนี้เป็นคนกล้าหาญและกล้าคิดกล้าทำอะไรใหม่ ๆ