บทที่ 188 ถูกตัดหัว
บทที่ 188 ถูกตัดหัว
ตลอดทั้งบ่าย ซูโย่วหลับไปจนฟ้ามืด แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ได้กิน เหมยเหมยไม่วางใจในความปลอดภัยของเธอจึงเคาะประตูทำให้เธอตื่น
ซูโย่วอี๋มองดูผมยุ่งเหยิงของตัวเอง ใบหน้าเล็ก ๆ เป็นสีแดงระเรื่อจากการนอน มองดูแล้วน่าเอ็นดู
ส่วนเหมยเหมยเห็นว่าเธอแค่นอนมากเกินไปจึงวางใจ “พี่ซู ตื่นมากินอะไรหน่อยเถอะค่ะ ทีมงานกลับกันมาแล้ว อีกสักพักผู้กำกับสวีคงมาหาพี่เพื่ออธิบายการถ่ายทำพรุ่งนี้”
“อืม” ซูโย่วอี๋ยังมึนงงอยู่
ขณะกำลังพูดอยู่ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาจากด้านนอก ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นก็พบกับป๋ายลิ่นยืนอยู่นอกประตู เมื่อเห็นเธอเขาก็ดูตกใจนิดหน่อย “คุณซู มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตอนบ่ายน่ะค่ะ” เพราะนอนไปนานมากทำให้เธอคอแห้งนิดหน่อย
ป๋ายลิ่นมองดูท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ ของเธอ ก็อดไม่ได้จนหัวเราะออกมา “คุณซูดูเป็นธรรมชาติมากนะครับ”
แต่เหมยเหมยกลับก้าวมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ เพื่อบังสายตาของ ป๋ายลิ่นและยกยิ้มขึ้น “คุณป๋าย ตอนนี้ศิลปินของฉันไม่ค่อยสะดวกค่ะ”
เดิมทีป๋ายลิ่นอยากจะพูดคุยกับซูโย่วอี๋ต่อ จึงไม่มีทางเลือกต้องยอมแพ้ไป
“งั้นผมไปก่อนนะ ไว้มีเวลามากินมื้อค่ำด้วยกันนะครับ”
เหมยเหมยดึงซูโย่วอี๋เข้าไปในห้องพร้อมปิดประตูและเตือนขึ้น “พี่ซู ถึงการแต่งตัวของคุณจะไม่มีอะไรไม่ดี แต่การเป็นคนของสาธารณะก็ต้องระวังเอาไว้นะคะ”
โดยเฉพาะซูโย่วอี๋ที่ดูเย็นชาและสง่างามเสมอ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้คนจิตนาการไปไกล
ซูโย่วอี๋ไอ “รอให้ฉันดึงออร่าของฮั่วเสวียนออกมาก่อน ใครจะกล้าคิดอะไรกับฉัน”
“เดี๋ยวจะทุบฟันร่วงเต็มพื้นไปเลย”
ด้วยท่าทางจริงจัง
ทำให้เหมยเหมยที่ดูอยู่ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
หลังกินข้าวเสร็จ ผู้กำกับสวีมาหาเธอเพื่ออธิบายการถ่ายทำพรุ่งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด จึงให้ศิลปินทุกคนมาพร้อมกันไม่ใช่เรียกเธอมาเพียงลำพัง
ระหว่างการถ่ายทำในครั้งก่อน นักแสดงนำคนอื่น ๆ ต่างก็ประทับใจในทักษะการแสดงของซูโย่วอี๋ ทุกคนจึงชื่นชมเธอมาก หลายต่อหลายคนก็เรียนรู้การแสดงมาจากซูโย่วอี๋
พอเห็นว่าซูโย่วอี๋กลับมา พวกเขาต่างก็ทักทายเธออย่างอบอุ่น
ส่วนผู้กำกับสวีที่ถือบุหรี่อยู่ “พอได้กินอาหารจากแม่ครัวของคุณ ข้าวกล่องนี้ผมก็กินไม่ลงเลย”
เหล่าผู้คนหัวเราะ “ผู้กำกับสวี พวกเราเองก็กินกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่คุณกินแค่วันเดียวก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ”
ซูโย่วอี๋เองก็หัวเราะ
“เอาล่ะ เข้าเรื่องดีกว่า ฉากต่อไปเป็นฉากสุดพีคของละครรักในฝันซึ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะคุณ ซูโย่วอี๋ บทของคุณสำคัญที่สุด”
ฉากนี้เป็นฉากที่ผู้นำหร่งตี๋อย่างอูซือม่านหายจากการบาดเจ็บแล้ว และวางแผนการโจมตีใหม่อีกครั้ง แล้วก็ได้รับชัยชนะอย่างคาดไม่ถึง เพราะสามารถทำลายด่านป้องกันของต้าเซี่ยไปได้หลายด่าน
ด้านฮั่วเสวียนนำเหล่ากองทัพตระกูลฮั่วเผชิญหน้ากับอูซือม่านอยู่หลายหน แต่กลับต้องล่าถอยและพ่ายแพ้
เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานจะต้องถูกตีมาจนถึงเขตนอกเมืองเล็ก ต่อให้ถอยก็ถอยไม่ได้แล้ว
พระเอกอย่างหลี่จื้อจึงตัดสินใจเข้าโจมตีฝ่ายที่มาปิดล้อมและนำเหล่าทหารยอดฝีมือบุกโจมตีค่ายฐานทัพของหร่งตี๋ เพื่อให้หร่งตี๋ถอยทัพออกไป แต่คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายข่าวคราวของหลี่จื้อกลับหายไป
ฮั่วเสวียนจำเป็นต้องรักษากองทัพตระกูลฮั่วเอาไว้ หากเธอจากไป ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารก็จะสลายไปด้วย
ทุก ๆ วันเธอต้องแกล้งแสดงท่าทางสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นกลับร้อนรน
เวลาผ่านพ้นไปเรื่อย ๆ หลี่จื้อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่มีใครคาดเดาได้
ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปในกองทัพ กล่าวว่าโม่อ๋องหลี่จื้อถูกตัดหัวไปแล้ว
เมื่อฮั่วเสวียนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป จึงได้มายังประตูค่ายกองทัพตระกูลฮั่วเพียงลำพัง
ต่อไปก็เป็นฉากลูกสาวของไทฟูแห่งต้าเซี่ยนามว่ากู้ชิงเฉิง พูดถึงตรงนี้ผู้กำกับสวีก็หยุดลง “รอให้ส่วนก่อนหน้านี้ถ่ายเสร็จ อวิ๋นเหมี่ยวจะมาโม่เป่ยเพื่อรวมกับพวกเรา”
เมื่อรู้ข่าวนี้ทุกคนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรมากนัก แต่กลับพากันมองมายังซูโย่วอี๋
โดยปกติแล้วผู้ที่แสดงเป็นตัวเอกและตัวรองในทีมละครมักไม่ค่อยลงรอยกัน
จากนั้นผู้กำกับสวีพูดต่อ “กู้อวี๋เฉิงมาที่ชายแดน แต่ต้องการมาชายแดนเพื่อมาหาหลี่จื้อ ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่จื้อจะตกอยู่ในอันตรายอย่างไร้ข่าวคราว”
กู้ชิงเฉิงเป็นห่วงหลี่จื้อมาก แต่ยังมีสติ ไม่ได้กล่าวโทษฮั่วเสวียนหรือเหล่าทหารที่ดูแลชายแดนเลย เธอเพียงแค่วางแผนอย่างลับ ๆ และต้องการไปหาหลี่จื้อที่หร่งตี๋ด้วยตนเอง
อาจารย์ที่ติดตามกู้ชิงเฉิงเป็นนักดาบแห่งเจียงหู ผู้มีศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพราะเขา กู้ชิงเฉิงจึงสามารถมาถึงชายแดนได้อย่างปลอดภัย
เพียงแต่แผนการนี้ถูกฮั่วเสวียนล่วงรู้เข้า เธอจึงพยายามอย่างมากเพื่อขัดขวาง เพื่อความปลอดภัยของกู้ชิงเฉิง
“หากเป็นในอดีต ท่านไปแล้วก็ยังมีประกายแห่งความหวัง แต่สงครามระหว่างทั้งสองทัพในคราวนี้ หากท่านถูกศัตรูจับไปเป็นเชลย กลัวว่าจะมีชีวิตไปได้แต่ไม่อาจมีชีวิตกลับมา”
หากแต่ดวงตาของกู้ชิงเฉิงมั่นคง “ข้าตัดสินใจไปแล้ว ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้า”
ฮั่วเสวียนมองอีกฝ่ายที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อหลี่จื้อ จนอดไม่ได้และถามขึ้น “แม่เธอกู้ ท่านกับองค์จักรพรรดิโม่…?”
เดิมทีกู้ชิงเฉิงเป็นคนในยุคปัจจุบันที่ข้ามเวลามายังราชวงศ์ต้าเซี่ย ในหัวจึงไม่มีกฎและข้อบังคับในเรื่องของระบบศักดินาอยู่เลย
และเธอก็ยอมรับ “ข้ากับหลี่จื้อหัวใจตรงกันและได้ตกลงปลงใจชั่วชีวิตว่าหากมีชีวิตอยู่ก็จะต้องไปพานพบ หากตายก็ต้องได้เห็นศพ ต่อให้หร่งตี๋จะเป็นกับดัก ข้าก็จำต้องบุกเข้าไป”
ในเวลานั้น จริยธรรมเรื่องศักดินาเข้มงวดมาก แม้ว่าฮั่วเสวียนจะไม่เคยอ่านการเชื่อฟังหลักสามประการและคุณธรรมสี่ประการของผู้หญิง*[1] มาก่อน แต่เธอก็รู้เรื่องการจับคู่โดยพ่อแม่ดี แม้ทั้งสองหัวใจตรงกันและตัดสินใจเองก็ถือเป็นเรื่องอันเสื่อมเสีย
หากแต่ฮั่วเสวียนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ในหัวเจ็บปวดราวกับถูกคนทุบตี
แต่เธอยังคงดื้อดึงและคิดได้ว่า
แท้จริงแล้ว เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว
ในใจของฮั่วเสวียนทั้งสับสนและโศกเศร้า จนพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงมองกู้ชิงเฉิง และมองดูคิ้วของเธออย่างพินิจ ทั้งดวงตา ริมฝีปาก และมืออันบอบบางทั้งสองข้าง
ในใจของเธอรู้สึกถึงความต่ำต้อยของตัวเอง
นี่สิถึงจะเป็นแบบอย่างที่หญิงสาวควรมี ใบหน้างดงาม เติบโตจากการเลี้ยงดูที่ดี น้ำเสียงและท่าทีอ่อนหวาน งดงามไปทุกองค์ประกอบ
ไม่เหมือนเธอที่เอาแต่ต่อสู้และสังหารผู้คน เรียนแต่วิชาดาบและฆ่าฟัน
กู้ชิงเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง “แม่ทัพฮั่ว ท่านมองข้าเช่นนั้นด้วยเหตุอันใด?”
ฮั่วเสวียนลดดวงตาลงอย่างเศร้าสร้อย “แม่เธอกู้ เรื่องจะไปยังหร่งตี๋เป็นเรื่องใหญ่นัก อย่าได้รีบร้อนไป รอให้ข้าวางแผนให้รอบคอบเสียก่อนและข้าจะไปกับท่านเอง”
กู้ชิงเฉิงตกใจ “ท่านแม่ทัพจะไปกับข้า?”
“ใช่”
รอมาหลายวันฮั่วเสวียนเองก็นั่งไม่ติด แต่เพราะมีกู้ชิงเฉิงอยู่ กู้ชิงเฉิงเป็นสาเหตุที่สามารถทำให้เธอออกจากกองทัพไปได้
เธอจะต้องไปปกป้องคนที่หลี่จื้อรัก
ฉากในส่วนนี้จบลงเพียงเท่านี้
สวีโหมวหารือกับทุกคนถึงทิศทางการพัฒนาเนื้อเรื่องในส่วนที่สำคัญและบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน
ส่วนซูโย่วอี๋พึ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ตอนนี้เลยนอนไม่หลับแล้ว
เธอถือบทและอยู่ระหว่างทางเดินกลับไปยังห้องพักกับฮันเจ๋อหยางและป๋ายลิ่น
ป๋ายลิ่นดูกระตือรือร้นมาก “คุณซู ผมมีฉากต่อสู้และบทพูดกับคุณหลายตอน คุณว่างตอนไหนพวกเรามาซ้อมต่อบทด้วยกันมั้ยครับ”
เอิ่ม
นี่มันจะตีหนึ่งอยู่แล้วนะ
ต่อบทอะไรกัน
ซูโย่วอี๋กำลังจะปฏิเสธ แต่เหมยเหมยก็พูดขึ้น “คุณป๋าย ฉันว่าพื้นฐานการท่องบทของคุณดีมากแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ต่อบทกันก็แสดงได้ดี ทักษะพื้นฐานของคุณก็มั่นคงมากเลย”
คนตัวสูงร้อยแปดสิบกว่า ๆ อย่างป๋ายลิ่นเขินอายขึ้นในทันที “ไม่หรอก คุณซูเก่งกว่าอีก ทุกครั้งที่ผมต้องต่อบทกับเธอผมกดดันมากเลยนะ”
“คุณซู เมื่อไหร่คุณจะสอนผมล่ะ?”
ซูโย่วอี๋ยิ้มตอบอย่างไม่มีพิษมีภัย “คุณป๋าย ฉันเป็นแค่มือใหม่ไม่กล้าเสียมารยาทกับรุ่นพี่หรอกค่ะ คุณมาให้ฉันช่วยไม่สู้ขอให้รุ่นพี่ฮันช่วยดีกว่าหรอคะ”
เห็นได้ชัดว่านี้คือการบอกปัด
แต่ป๋ายลิ่นกลับไม่สนใจฟังและยังไม่ยอมแพ้ “คุณซูถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
ส่วนฮันเจ๋อหยางเอาแต่นิ่งไม่พูดอะไรเพราะรู้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายดี
มีเพียงป๋ายลิ่นเท่านั้นที่คิดว่าเหตุผลง่อย ๆ ของตัวเองนั้นไร้ที่ติ
[1] หลักจริยศาสตร์ของขงจื๊อสำหรับสอนผู้หญิง