บทที่ 190 ได้อย่างเสียอย่าง
บทที่ 190 ได้อย่างเสียอย่าง
“เจ้ากำลังหมายถึงท่านผู้นำอูกับเด็กคนนั้นหรือ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดี! หากท่านผู้นำอูสามารถเปลี่ยนแม่ทัพต้าเซี่ยให้อยู่ใต้อาณัติของเขาได้ คงจะทำให้หร่งตี๋เสียหน้าจริง ๆ”
เสียงหัวเราะหยาบคายดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า
“คัต!”
หลังจากเสียงตะโกนของผู้กำกับสวี ในที่สุดการถ่ายทำฉากต่อสู้ก็สิ้นสุดลง
ซูโย่วอี๋รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เธอจึงไปแอบไปนอนพักบนเก้าอี้ระหว่างรอผู้กำกับสวีเลิกกองค่อยกลับไปที่โรงแรม
เธอยังคงสวมชุดเกราะอยู่เลยไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่และรู้สึกไม่สบายเวลาเอนกายนอนลง เหมยเหมยเองก็ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ จึงไม่มีใครช่วยเธอถอดชุดเกราะออก
เธอมีสีหน้าอิดโรย
“คุณซู ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่าครับ”
ซูโย่วอี๋ไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมอง เธอรู้ว่าใครที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้า
ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้เกลียดผู้ชายที่มาตามจีบ แต่เธอมีแฟนแล้ว และเขาก็ยังไม่เลิกตอแย ซูโย่วอี๋ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร
“ไม่ต้องการค่ะ”
ป๋ายลิ่นเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างสูงและกำยำ เขาทิ้งตัวลงทันที “ทำไมดูอารมณ์ไม่ค่อยดีล่ะครับ? เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า?”
“เปล่าค่ะ”
ป๋ายลิ่นเห็นว่าซูโย่วอี๋ไม่อยากคุยกับเขา แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองไปทำให้เธอขุ่นเคืองใจตรงไหน
เขายังไม่เดินจากไป แต่ก็ไม่พูดไม่จาเช่นกัน
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หน้าหนาจริง ๆ
จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาลู่เฉิน จู่ ๆ น้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานขึ้น เธอเลียนแบบน้ำเสียงของซูหยินเวลาต้องการอ้อน “ที่รัก คุณกำลังทำอะไรอยู่”
ลู่เฉินรู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเมื่อเธอเรียกเขาแบบนั้น เขาเอาโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูชื่อคนโทร หลังจากเห็นว่าเป็นสายของซูโย่วอี๋ เขาก็พูดสายอีกครั้ง
[คุณเพี้ยนไปแล้วเหรอ?]
ซูโย่วอี๋สำลัก เธอต้องการทำให้ป๋ายลิ่นคลื่นไส้ แต่การแสดงออกของเธอไม่เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึก
เธอก็เลยบีบเสียงเล็กลงอีก “ก็~ เค้าคิดถึงตัวเองนี่ ทำไมตัวเองไม่สนใจเค้าเลย งอนแล้ว”
ลู่เฉินขมวดคิ้ว [คุณถูกผีเข้าสิงหรือเปล่า]
ซูโย่วอี๋หัวเราะเสียงดัง “คุณน่ะสิถูกสัตว์ประหลาดเข้าสิงหรือเปล่า?”
[ป้าหมิ่นบอกว่าคุณกินข้าวเยอะทุกวัน]
ป้าหมิ่นคือแม่ครัวส่วนตัวที่ลู่เฉินส่งมา
ป๋ายลิ่นฟังซูโย่วอี๋คุยโทรศัพท์ เธอทำเหมือนกับว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่อย่างไรอย่างนั้น จนเขาไม่สามารถทนอยู่ได้อีกต่อไป
ในเวลานี้ ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดเล่นอีกต่อไป “ลู่เฉิน ฉันล้อเล่นนะ แต่ก็น่าเบื่อจริง ๆ นั่นแหละ”
ลู่เฉินเป็นคนฉลาด เขาเดาได้ในทันที [ทำไม เมื่อกี้มีคนอยู่ข้าง ๆ เหรอ]
“คุณรู้ได้อย่างไร?”
ลู่เฉินถามว่า [ผู้ชายใช่ไหม?]
พระเจ้า!
[เขาสนใจคุณเหรอ?]
ซูโย่วอี๋ไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจของเธอได้อีกต่อไป “คุณติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้รอบ ๆ ตัวฉันหรือเปล่า”
ลู่เฉินพูดด้วยเสียงต่ำ [คน ๆ นี้ไม่กลัวตายเลยสินะ]
ถึงกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายคนของเขา
[เขาเป็นใคร?]
ซูโย่วอี๋สัมผัสได้ว่าลู่เฉินจริงจัง “คือว่าฉันรู้สึกเองนะ เขาไม่ได้มาสารภาพกับฉัน ฉันก็พยายามอยู่ห่างจากเขาแล้ว ไม่เข้าไปยุ่งด้วย หลังจากถ่ายเรื่องนี้จบ เราก็จะไม่ติดต่อกันอีก”
ลู่เฉินไม่สามารถปฏิเสธได้ [อย่างนั้นแหละ เจ้าแมวน้อย วันหลังก็ต้องเชื่อฟังแบบนี้นะ]
หลังจากวางสาย ลู่เฉินก็โทรหาเหมยเหมย
เหมยเหมยกำลังออกจากห้องน้ำ เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทร ‘บิ๊กบอส’ บนโทรศัพท์ มือของเธอก็สั่นจนเกือบทำโทรศัพท์ตก
ตั้งแต่มาเป็นผู้ช่วยของซูโย่วอี๋ โอกาสที่จะได้รับโทรศัพท์จากเจ้านายก็พุ่งสูงขึ้น
หากเธอทำงานนี้ต่อไป ชีวิตของเธอคงสั้นลงสองปี
“ประธานลู่”
น้ำเสียงจริงจังของลู่เฉินดังขึ้น [ใครที่กำลังตามจีบโย่วอี๋อยู่]
เหมยเหมยตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้ว่าลู่เฉินกำลังพูดถึงใคร “มีผู้ชายในกองถ่ายคนหนึ่ง คอยเป็นห่วงเป็นใยคุณซูมากค่ะ เขารับบทเป็นพระรอง ชื่อป๋ายลิ่น”
[นอกจากการถ่ายทำ อย่าปล่อยให้เขามายุ่มย่ามกับโย่วอี๋ และหาเวลาไปบอกเขาด้วยนะว่าถ้ามีความคิดอะไรที่ไม่เข้าท่า ก็เตรียมตัวออกจากวงการไปได้เลย]
คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เหมยเหมย แต่หัวใจของเธอกลับสั่นอย่างไร้เหตุผล
“ได้เลยค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ประธานลู่”
การถ่ายทำวันที่สองเริ่มต้นด้วยฉากนางเอกอย่างชิงเฉิงมาถึงชายแดนเพื่อเริ่มการ ประลองกับฮั่วเสวียน
สงครามเริ่มตึงเครียด ฮั่วเสวียนไม่ต้องการให้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเข้ามาที่นี่ หากแต่กู้ชิงเฉิงหยิบจี้หยกออกมา มันมีลักษณะเหมือนกับจี้บนร่างกายของหลี่จื้อไม่มีผิด
ทั้งรูปแบบ วัสดุ และสี หากผู้ใต้บังคับบัญชาไม่แจ้งว่าเป็นผู้หญิง ฮั่วเสวียนคงคิดว่าหลี่จื้อที่หายไปกลับมาแล้ว
เมื่อนางได้เปิดเผยตัวตน จึงได้เข้าพบแม่ทัพฮั่วเสวียน
ฮั่วเสวียนนั่งบนที่นั่งของแม่ทัพ ในขณะที่กู้ชิงเฉิงสวมชุดผ้าโปร่งสีแดงและผ้าปกคลุมใบหน้า
ทรวดทรงของนางสง่างามสมส่วน
แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่ก็ยังจินตนาการได้ว่านี่คือหญิงสาวผู้บอบบาง
นางเดินขึ้นไปหาฮั่วเสวียน จากนั้นกู้ชิงเฉิงก็ดึงผ้าที่ปกคลุมใบหน้าออกด้วยมือเรียว เผยให้เห็นใบหน้าที่มีเสน่ห์
ผู้กำกับสวีให้กล้องจับไปที่อวิ๋นเหมี่ยวในระยะใกล้ ตอนที่โฟกัสแค่อวิ๋นเหมี่ยวคนเดียวก็ถือว่าดี แต่เมื่อแพลนกล้องไปที่ซูโย่วอี๋ที่กำลังเผชิญหน้ากับอวิ๋นเหมี่ยว เขาก็พบกับความประหลาดใจ
ตามบทที่เขียนไว้ในนิยาย หลังจากฮั่วเสวียนได้เห็นหน้านาง เขาต้องตกตะลึงในความงามของกู้ชิงเฉิง
ในระหว่างการถ่ายทำ แม้ว่าซูโย่วอี๋จะไม่ได้แต่งหน้ามากนัก แต่เมื่อใบหน้าอันหล่อเหลาของเธอปรากฏขึ้น ก็ทำให้อวิ๋นเหมี่ยวดูดรอปลงไป
ถึงแม้ทักษะการแสดงจะดีแค่ไหน แต่ชาวเน็ตก็คงคิดว่ามันดูไม่ดึงดูด
ผู้ช่วยผู้กำกับอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น “เฮ้ ถ้าสองคนนี้ลองสลับบทกันก็คงได้อยู่นะ มันดูไม่ต่างเลย”
แต่มันเปลี่ยนไม่ได้หรอก เพราะหน้าตาของอวิ๋นเหมี่ยวไม่เหมาะกับบทฮั่วเสวียน
สวีโหม่วขมวดคิ้ว เขาจุดบุหรี่ “ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง”
เขาต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ ไม่อย่างนั้น ถ้าออกอากาศไปคงแย่
เขาจินตนาการได้เลยว่าผู้คนบนอินเทอร์เน็ตจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรบ้าง และตอนนี้ก็ออกอากาศในสัปดาห์หน้า
อวิ๋นเหมี่ยวคงตกที่นั่งลำบาก
เมื่อรู้ว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาด้อยกว่า แต่ยังคงรับบทเป็นสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ ก่อนหน้านี้ ชาวเน็ตบางคนพูดถึงหัวข้อนี้บนอินเทอร์เน็ต แต่กู้ชิงเฉิงและฮั่วเสวียนไม่เคยอยู่ในเฟรมเดียวกัน หัวข้อนี้จึงมีไม่มากนัก
แต่ตอนนี้…. มันก็ไม่แน่
ทันทีที่เล่นจบ อวิ๋นเหมี่ยวยิ้มและเดินตามซูโย่วอี๋ไป พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “โย่วอี๋อย่าสนใจสิ่งที่ฉันพูดเมื่อวานเลยนะคะ ฉันคิดน้อยไปหน่อย”
ซูโย่วอี๋พูดเบา ๆ ว่า “ฉันไม่เก็บมาใส่ใจหรอกค่ะ”
“วงการบันเทิงทั้งในและต่างประเทศแตกต่างกันมาก ฉันพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันเอาของว่างที่ชอบมาให้คุณเพื่อเป็นการขอโทษค่ะ”
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก และซูโย่วอี๋ก็ไม่ได้โกรธจริง ๆ เธอมีความประทับใจที่ไม่ดีต่ออวิ๋นเหมี่ยว อย่างแรกเป็นเพราะเรื่องชานม ส่วนที่เหลือเป็นความรู้สึกโดยสัญชาตญาณ
สัมผัสที่หกของผู้หญิงมันอธิบายไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หากอวิ๋นเหมี่ยวตั้งใจที่จะหว่านเสน่ห์อีกล่ะก็… ซูโย่วอี๋จะไม่ไว้หน้าเธอแล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋ยอมรับ อวิ๋นเหมี่ยวก็ขอให้ผู้ช่วยของเธอนำขนมไปวางไว้ในที่พักของเธอทันที
ในนั้นมีขนมเต็มถุงพลาสติกใบใหญ่
จากนั้นผู้กำกับสวีเรียกอวิ๋นเหมี่ยวมาพูดคุยเกี่ยวกับละครเรื่องนี้
และสักพักก็ถ่ายต่อ
ครั้งนี้สวีโหมวปรับการถ่ายทำ เขาตั้งใจวางกล้องของซูโย่วอี๋ไว้ห่าง ๆ เพื่อให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเธอไม่โดดเด่นจนเกินไป แต่การถ่ายทำแบบนี้ทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจน
เธอไม่สามารถแสดงอารมณ์ของฮั่วเสวียนได้ดี
สวีโหมวสูบบุหรี่แล้วกำลังครุ่นคิดว่ามันไม่ง่ายเลย
ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่อวิ๋นเหมี่ยวคนเดียว แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นในการถ่ายทำก็จะมีปัญหาทั้งคู่
ในที่สุดสวีโหมวก็โบกมือ “เริ่มถ่ายใหม่”
และสุดท้ายพวกเขาก็ถ่ายทำตามเทคแรก
ได้อย่างเสียอย่าง…