บทที่ 206 ร้องไห้อย่างหนัก
บทที่ 206 ร้องไห้อย่างหนัก
สวีโหมวตื่นเต้นเกินกว่าจะบรรยายได้ เขาเปล่งคำว่าคัตออกมาถึงสามครั้งผ่านโทรโข่ง
พวกทีมงานต่างก็หันมามองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ใบหน้าของสวีโหมวมีความสุขขณะมองไปที่ซูโย่วอี๋ เขาเอาแต่ชื่นชมการแสดงของเธอ “คุณน่าทึ่งมาก นี่คือการแสดงที่ยอดเยี่ยมหนึ่งในสามอันดับแรกที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตเลย!”
ซูโย่วอี๋พยายามอย่างหนักที่จะยกมุมปากของเธอขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะเจ็บปวดยิ่งกว่า
น้ำเสียงของสวีโหมวเป็นกังวล “คุณได้รับผลกระทบทางอารมณ์หรือเปล่า สภาพจิตใจของคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
ถ้านักแสดงเข้าถึงบทบาทตัวละครมากเกินไป อาจมีบางสถานการณ์ที่พวกเขาไม่สามารถออกจากตัวละครได้ชั่วขณะหนึ่ง
ความสามารถของซูโย่วอี๋ในการตีบทแตกทำให้ตัวละครฮั่วเสวียนเกิดจากความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและพบกับสายตาของสวีโหมวที่จ้องมองมา และสายตาที่เธอสื่อถึงสวีโหมวคืออารมณ์ที่แตกสลายในใจของเธอโดยที่ไม่มีที่ระบาย
“โย่วอี๋ เส้นทางการแสดงของคุณยังอีกยาวไกล วิธีควบคุมอารมณ์ของคุณก็เป็นหลักสูตรบังคับเช่นกัน วันนี้คุณทำงานหนักมาก ดังนั้นกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หลังจากพูดจบสวีโหมวก็เรียกเหมยเหมยไปคุย และบอกเธอว่าหลังจากกลับไปแล้ว ควรใส่ใจกับอารมณ์ของซูโย่วอี๋เสมอ พยายามอย่าปล่อยให้เธออยู่ในห้องคนเดียว
เมื่อเห็นคำพูดที่จริงจังของสวีโหมวและพฤติกรรมที่ผิดปกติของซูโย่วอี๋ เหมยเหมยก็รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว และตัวเธอก็เกร็งจนทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็ส่งข้อความไปยังบัญชีงานของลู่เฉินว่า “คุณซูได้รับผลกระทบจากการถ่ายทำมากเกินไป และอารมณ์ของเธอยังไม่คงที่”
จากนั้นเธอก็พาซูโย่วอี๋กลับไปที่โรงแรม
กว่าจะไปถึงที่พักก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว การออกอากาศของรักในฝันในวันนั้นก็จบลงแล้ว ดังนั้นซูโย่วอี๋จึงเข้าห้องทันที
เหมยเหมยไม่กล้าปล่อยให้เธอนอนคนเดียว “คืนนี้ให้ฉันนอนเป็นเพื่อนไหม ฉันนอนที่โซฟาก็ได้”
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ยังคงแสดงความอารมณ์ที่ดิ่งลง ซึ่งทำให้หัวใจของเหมยเหมยเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ทำอะไรโง่ ๆ หรอก ถ้าเป็นห่วงก็โทรมาตรวจสอบได้ตลอด”
จากนั้นเธอก็หันกลับไปที่ห้องและล็อคประตู
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ในที่สุดซูโย่วอี๋ก็น้ำตาไหลออกมา
น้ำตาไหลนองหน้า
ร้องไห้จนตัวโยน
เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแน่นหน้าอกและหายใจไม่ทัน
เธอยังคงใช้มือตบหน้าอกของตัวเองราวกับว่าวิธีนี้ช่วยให้เธอสามารถเอาชนะความกลัวและขจัดสิ่งที่อยู่ใจในใจของเธอได้
จิ้งจอกเน่าเองก็รู้สึกเศร้าตามไปด้วยและไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้ซูโย่วอี๋รู้สึกดีขึ้น
มันพันหางรอบตัวเธออย่างทุลักทุเล พยายามให้ความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยแก่เธอ
บริเวณด้านนอกประตู เหมยเหมยเองกำลังจะกลับออกไป แต่เมื่อเธอได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากในห้อง ดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่มีน้ำตาคลอและเปลี่ยนเป็นสีแดง
เธออยากที่จะยกมือขึ้นเคาะประตูเพื่อเข้าไปดูเธอ แต่ก็รู้สึกว่าปล่อยให้เธอได้ร้องออกมาน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า
เธอยืนเงียบ ๆ อยู่นอกประตู รอให้เสียงร้องไห้ข้างในสงบลง จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบสนิทก่อนจะถอนหายใจยาว
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและส่งข้อความอีกครั้ง “ประธานลู่ คุณซู… ร้องไห้มาครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ”
ณ ห้องประชุมโรงแรม
อวิ๋นเหมี่ยวและซวี่เฟิงอยู่ในห้องประชุมที่ว่างเปล่าสองคน เดิมทีพวกเขาตกลงที่จะเชิญทีมงานทั้งหมดมาทานอาหารเย็น แต่เนื่องจากความล่าช้าในการถ่ายทำ พวกเขาจึงรอจนถึงตอนนี้
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอร่อย แต่เย็นชืดหมดแล้ว
ซวี่เฟิงเตะเก้าอี้ข้าง ๆ เขาอย่างกระวนกระวาย “ผมทำงานอย่างหนักเพื่อบินจากปักกิ่งมาที่โม่เป่ยและชวนคนที่กองละครมาทานอาหารเย็นด้วยกัน ผมอุตส่าห์ลดตัวลงมาแต่พวกเขากลับไม่เห็นคุณค่าอย่างนั้นเหรอ”
“พวกเขากำลังเล่นอะไรอยู่”
อวิ๋นเหมี่ยวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้สึกโกรธ เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเขา “ไม่ใช่ว่าพวกเขาละเลยคุณ เพียงแต่ว่าการทำงานเกิดความล่าช้า”
“เมื่อกี้ฉันโทรไป เห็นว่าพวกเขาเพิ่งเลิกกองและผู้กำกับก็กำลังเดินทางมา”
ผู้กำกับสวีพูดทางโทรศัพท์ว่าดึกมากแล้ว คงจะไม่ได้ไปกินแล้ว แต่อวิ๋นเหมี่ยวพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเชิญเขามาให้ได้ โดยบอกว่าอาหารพร้อมแล้วและทุกคนก็ทำงานอย่างหนัก จะได้ผ่อนคลายกันสักหน่อย
ซึ่งผู้กำกับสวีเห็นด้วย และอวิ๋นเหมี่ยวก็ขอให้พนักงานโรงแรมอุ่นอาหารก่อนเสิร์ฟ
เมื่อซวี่เฟิงได้ยินดังนั้น อารมณ์ของเขาก็เริ่มเย็นลง “ผมไม่สนใจผู้กำกับ ผมสนแค่ว่าผู้หญิงที่เล่นเป็นฮั่วเสวียนมาด้วยหรือเปล่า”
จุดประสงค์ของเขาชัดเจนอยู่แล้ว
อวิ๋นเหมี่ยวเตือนเขา “ที่โรงแรมมีคนพลุกพล่าน ระวังมีใครเห็นเข้า”
ซวี่เฟิงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นและประตูห้องประชุมก็เปิดออก ในมือของสวีโหมวถือบุหรี่อยู่เข้ามาอย่างมีความสุข ตามด้วยทีมงานหลายคน
อวิ๋นเหมี่ยวดึงซวี่เฟิงไปแนะนำตัว
สวีโหมวยิ้ม “อวิ๋นเหมี่ยว นี่คือแฟนของคุณเหรอ”
“ค่ะ เขาชื่อซวี่เฟิง” อวิ๋นเหมี่ยวแนะนำแฟนของเธอ และหลังจากนั้นจึงแนะนำซวี่เฟิงให้รู้จักกับทีมงานแต่ละคน
ผู้กำกับสวีพยักหน้า “คุณเป็นคนที่ดูดีมีพรสวรรค์ อวิ๋นเหมี่ยว คุณโชคดีจริง ๆ”
อวิ๋นเหมี่ยวแสดงรอยยิ้มเขินอาย ซวี่เฟิงเองถอยไปสองก้าวเพื่อหลีกทางให้ “ผู้กำกับสวีนั่งลงก่อนครับ อาหารเพิ่งมาถึง รีบกินตอนที่อาหารยังร้อนดีกว่า”
สวีโหมวก็เลยไม่เกรงใจ วันนี้การเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครของซูโย่วอี๋ดีมาก ดังนั้นทีมงานทุกคนไม่แม้แต่จะกินข้าวเย็น และยืนกรานที่จะไม่เลิกกองจนกว่าการถ่ายทำฉากนี้จบ
ตอนนี้ก็เลยหิวกันมากและไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทมากนัก
สวี่เฟิงมองดูทีมงานที่เดินเข้ามาทีละคน ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุด เขาไม่เห็นคนที่เขาต้องการพบมากที่สุด
เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คนที่เล่นเป็นฮั่วเสวียนไม่มาเหรอครับ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวใจของอวิ๋นเหมี่ยวก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ซวี่เฟิงไม่รู้จักการถามแบบอ้อม ๆ หรือไง การที่เขาโพล่งออกไปแบบนั้นเหมือนสร้างความวุ่นวายให้เธอนะ
แน่นอนว่าสวีโหมวเงยหน้าขึ้นมองซวี่เฟิงด้วยความแปลกใจ
แฟนของอวิ๋นเหมี่ยวถามถึงนักแสดงหญิงคนอื่นในกองถ่าย?
ประเด็นสำคัญคือฮันเจ๋อหยางก็ไม่มา แต่ซวี่เฟิงไม่ถามอะไรสักคำ?
สวีโหมวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เธอไม่ค่อยสบายเลยกลับไปพักที่ห้องแล้วน่ะ”
ซวี่เฟิงพูดออกไปด้วยอารมณ์ว่า “ไม่ว่าจะป่วยแค่ไหนก็ต้องกินนะครับ”
เขาแสดงออกเหมือนว่าเขาเป็นห่วงเธอมาก
อวิ๋นเหมี่ยวไปข้างหน้าและดึงซวี่เฟิงให้นั่งลง “โย่วอี๋คงเหนื่อยจากการถ่ายทำ เดี๋ยวไว้ฉันจะหาอะไรไปให้เธอกินทีหลัง”
“เดี๋ยวผมไปกับคุณ ถ้าคุณไปคนเดียวผมไม่วางใจ”
อวิ๋นเหมี่ยวไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองการแสดงออกของสวีโหมวอีกต่อไป
เธอดึงชายเสื้อผ้าของซวี่เฟิงใต้โต๊ะอย่างเงียบ ๆ เป็นการส่งสัญญาณให้เขาอย่าพูด
ไปน่ะไปได้ แต่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
ตอนนี้อวิ๋นเหมี่ยวกำลังคิดว่าซวี่เฟิงบ้าไปแล้วหรือเปล่า
นอกจากเขาจะพาตัวเองซวยแล้ว ยังลากคนอื่นซวยไปด้วย!
สวีโหมวกำลังจดจ่ออยู่กับการกินอาหาร เขากินจนอิ่มท้องจึงจุดบุหรี่แล้วมองไปที่อวิ๋นเหมี่ยวพร้อมกับพูดว่า “ผมคิดว่าคุณไม่ต้องลำบากหรอก ซูโย่วอี๋มีแม่ครัวส่วนตัวที่เตรือมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เธอไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกินหรอกน่า”
อวิ๋นเหมี่ยวกำมือของเธอแน่น สวีโหมวกำลังบอกเธอว่าอย่าไปรบกวนเธอเลยจะดีกว่า และคงแอบเตือนเธอว่าไม่เหมาะสมที่จะพาแฟนไปพบกับนักแสดงหญิงในเวลาแบบนี้
“ค่ะ ฉันลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย”
สวีโหมวยิ้มและไม่ตอบ
ซวี่เฟิงพบหัวข้อที่น่าสนใจ “แม่ครัว? เธอจ้างมาเองเหรอ? จำได้ว่าเธอเป็นนักแสดงหน้าใหม่ เธอจ้างแม่ครัวส่วนตัวได้แล้วเหรอ”
ทีมงานคนหนึ่งที่โต๊ะกำลังสาละวนอยู่กับการกิน เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ถามว่า “อวิ๋นเหมี่ยว แฟนของคุณมาจากต่างประเทศใช่ไหม”
“ค่ะ เขาเพิ่งกลับจากจีนมากับฉันเมื่อสองวันก่อน”
“ไม่น่าล่ะ ถ้าคุณมีเวลาว่างคุณควรเล่าเรื่องวงการบันเทิงของเราให้เขาฟังนะ”
ซวี่เฟิงไม่เข้าใจ การที่ซูโย่วอี๋จ้างแม่ครัวเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงอย่างไร