บทที่ 258 ไม่เคยเบื่อที่จะมอง
บทที่ 258 ไม่เคยเบื่อที่จะมอง
ซูหยินลุกขึ้นจากเตียงอย่างอ่อนแรง ขอบตาของเธอดำช้ำและรู้สึกผิดเมื่อเห็นกู่อวี๋เฉิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ซูหยินท้องไม่ดี ดังนั้นกู่อวี๋เฉิงจึงต้องดูแลเรื่องอาหารการกินของเธอเสมอ
“อรุณสวัสดิ์ กู่คนโง่”
หลังจากพูดจบ เธอก็นั่งข้างกู่อวี๋เฉิงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะคีบตะเกียบขึ้นมาชิมอาหารบนโต๊ะแล้วพบว่ามันเย็นชืดแล้ว
คิ้วเธอขมวดคิ้วทันที ก่อนจะหันศีรษะไปมองอย่างไม่พอใจ “กู่คนโง่ เย็นจัง”
กู่อวี๋เฉิงรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะยอมใจอ่อน “ซูหยิน ถ้าคราวหน้าคุณดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้อีก ผมจะ…”
หลังจากคิดอยู่พักใหญ่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“คุณจะอะไร?”
“ตีมือของคุณ”
ซูหยินหัวเราะและซุกตัวในอ้อมแขนของกู่อวี๋เฉิง เธอขยิบตาให้และพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังว่า “แค่นั้นเหรอ? มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกผิดเลยนะ ให้ฉันลงโทษตัวเองดีกว่า”
ก่อนที่กู่อวี๋เฉิงจะตอบสนอง เธอก็จูบเขาเบา ๆ
หูของกู่อวี๋เฉิงพลันแดงก่ำ
ซูหยินกอดแขนของเขาและเขย่า “ฉันหิวแล้ว คุณช่วยอุ่นอาหารได้ไหม?”
คำบ่นและคำเทศนาที่เตรียมพร้อมมาอย่างดีของกู่อวี๋เฉิงไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนขึ้นและนำจานไปที่ครัวอย่างใจอ่อนเพื่ออุ่นให้ร้อนขึ้น
ซูหยินยกยิ้มที่ประสบความสำเร็จอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ไปปลุกซูโย่วอี๋ “ที่รัก ตื่นเถอะ”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์มากขนาดนี้มานานแล้ว พอเธอได้สติ เธอจึงรู้สึกปวดศีรษะเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ “ตอนดื่มก็สดชื่นดี แต่หลังดื่มแล้วทำไมปวดสุด ๆ แบบนี้ คราวหน้าเพลา ๆ ลงจะดีกว่า”
พอได้ยินเสียงดังมาจากในครัว เธอจึงหันไปมอง
ซูหยินเลยอธิบายว่า “กู่อวี๋เฉิงกำลังทำอาหารอยู่”
“รองประธานกู่นี่เป็นพ่อบ้านที่ดีจริง ๆ”
ขณะที่กำลังพูด กู่อวี๋เฉิงก็ออกมาพร้อมกับแก้วสองใบและยื่นให้พวกเธอคนละแก้ว”เครื่องดื่มแก้เมา ดื่มแล้วจะทำให้พวกคุณรู้สึกดีขึ้น”
ซูโย่วอี๋ดื่มจนหมดในอึกเดียว “ขอบคุณค่ะ”
หลังจากกินข้าวเสร็จ เธอก็กลับไปที่บ้าน เปิดโทรศัพท์และพบว่าสุ่ยเวยกับเหมยเหมยโทรหาเธอหลายสาย เธอจึงรีบโทรกลับ
“[คุณอยู่ที่ไหน?]” สุ่ยเวยพูดรวบรัด
“ที่บ้านค่ะ”
“[รักในฝันออกอากาศจบแล้ว และต่อไปจะเริ่มการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มรูปแบบ กิจกรรมจะเยอะมากขึ้น คุณควรเตรียมใจให้พร้อม ฉันไม่สามารถอธิบายได้อย่างละเอียดทางโทรศัพท์ ถ้ามีเวลาก็เข้ามาที่บริษัทนะ]”
ซูโย่วอี๋ลูบหน้าผากของเธอ “ตกลงค่ะ”
แล้วเธอก็ไปที่สำนักงานของสุ่ยเวย
เหมยเหมยสูดจมูก “คุณซู คุณดื่มมาหรือเปล่าคะ?”
อา
มันชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?
ซูโย่วอี๋ทำได้เพียงพยักหน้า “เมื่อคืนนี้ฉันอารมณ์ดีเลยดื่มไปนิดหน่อยค่ะ”
เหมยเหมยแปลกใจ สีหน้าของคุณซูหลังจากที่ออกมาจากบ้านของฮันเมื่อคืนนี้ดูอย่างไรก็ไม่มีความสุขแน่นอน
สุ่ยเวยกระแอมเล็กน้อย “จะดื่มไม่ดื่มก็เป็นเรื่องของคุณเอง แต่คุณควรใส่ใจกับภาพลักษณ์ของคุณด้วย และอย่าให้อารมณ์หลังจากดื่มทำให้เกิดผลเสีย”
“ค่ะ พี่เวย แล้วงานต่อไปเป็นงานอะไรคะ?”
สุ่ยเวยมองออกไปนอกประตู “เจ๋อหยางยังมาไม่ถึง คุณรอสักครู่ คุณสองคนในฐานะตัวเอกหลักของรักในฝันจะเข้าร่วมกิจกรรมด้วยกัน ฉันจะลงรายละเอียดเมื่อทุกคนมาถึง”
“ฉันได้ยินว่าคุณไปบ้านฮันเมื่อวานเหรอ?”
“… ใช่ค่ะ”
ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ แต่สุ่ยเว่ยเป็นคนช่างสังเกต จึงหยุดพูดทันทีและไม่ถามอะไรอีก
เธอพูดถึงเรื่องอื่นแทน
แต่โชคดีที่ฮันเจ๋อหยางมาถึงเร็วและสุ่ยเวยก็ชวนให้เขานั่งลง
เมื่อรู้ว่าซูโย่วอี๋และฮันเจ๋อหยางมีความสัมพันธ์ที่ดี เหมยเหมยจึงเริ่มที่จะย้ายไปด้านข้างเพื่อให้มีที่ว่างข้างซูโย่วอี๋
ส่วนฮันเจ๋อหยางมองดูสีหน้าซูโย่วอี๋อย่างระมัดระวัง จนซูโย่วอี๋ที่ถูกจ้องงุนงงเล็กน้อย
เธอขมวดคิ้ว “มีอะไรเหรอคะ?”
“ไม่” ว่าแล้วก็นั่งลงอย่างรวดเร็ว
แต่สุ่ยเวยมองทั้งสองสลับไปมา “เรามาพูดถึงเรื่องงานกันก่อน ด้วยความนิยมของรักในฝัน นักลงทุนต่างชาติเลยเห็นศักยภาพของละครเรื่องนี้ ตอนนี้มีมากกว่าสิบประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้วางแผนที่จะรีเมคละครเรื่องนี้”
“เมื่อละครทีวีประสบความสำเร็จในการเปิดตัวในต่างประเทศ กิจกรรมของพวกคุณก็จะขยายไปในต่างประเทศด้วย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือคำเชิญจากรายการวาไรตี้ ‘ดาราบันเทิง’ ตารางงานของซูโย่วอี๋ควรจะเรียบร้อยดี เจ๋อหยาง คุณ…”
ฮันเจ๋อหยางบังเอิญมีงานแฟนมีตติ้งในวันที่อัดรายการ กำหนดการเลยซับท้อนกันนิดหน่อย
“ให้ผู้จัดงานยกเลิกงานมีตติ้ง”
สิ่งที่ฮันเจ๋อหยางสนใจคือการเข้าร่วมรายการวาไรตี้กับน้องสาวของเขาเอง
งานมีตติ้ง?
ไม่สำคัญ?
สุ่ยเวยคัดค้านทันที “ไม่ ทางเราเตรียมงานมีตติ้งนี้ไว้ตั้งนานแล้ว ไม่นับเงินและแผนงานที่ทีมงานใช้ไป ตั๋ว 5,000 ใบก็ขายหมดในพริบตา จากราคาเดิม 500 หยวนก็ถูกขายต่อไปมากกว่า 2,000 หยวน ถ้าคุณยกเลิกงานมีตติ้งไปโดยไม่มีเหตุผล คุณได้ถูกความคิดเห็นสาธารณะโจมตีจนตายแน่”
ฮันเจ๋อหยางคิดอย่างจริงจังว่า “แบบไหนถึงนับเป็นเหตุผล?”
“อย่างป่วยหนัก เป็นอัมพาต โคม่า…”
“พี่เวย พี่ล้อเล่นหรือเปล่า?”
สุ่ยเวยยิ้ม “เพิ่งรู้เหรอว่าฉันล้อเล่น”
“อย่าพึ่งคิดเรื่องยกเลิกมีตติ้งเลยเถอะ หากคุณแน่ใจว่าต้องการเข้าร่วม ‘ดาราบันเทิง’ เราจะเลื่อนเวลามีตติ้งเป็นช่วงเช้าของวันเดียวกันก็ได้”
สายเกินไปแล้วที่จะยกเลิก
ฮันเจ๋อหยางจึงเลือกที่จะเลื่อนเวลามีตติ้งแทน
แต่นั่นทำให้สุ่ยเวยรู้สึกแปลก ๆ “ก่อนหน้านี้คุณดูไม่กระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในรายการวาไรตี้เลยสักนิด คุณเปลี่ยนใจแล้วเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ซึ่งกฎในวงการบันเทิงก็ใช้ไม่ได้กับเขา ไม่ว่าก่อนหรือหลังมีชื่อเสียง ฮันเจ๋อหยางก็ไม่เคยโปรโมตตัวเองเพื่อความนิยม
แม้หลังมีชื่อเสียงแล้ว แฟน ๆ จะบอกให้ฮันเจ๋อหยางรับงานภาพยนตร์เพิ่ม แต่ฮันเจ๋อหยางก็ยังตอบต่อสาธารณะว่า ‘ขึ้นอยู่กับอารมณ์’
แต่แฟน ๆ ก็ยังรักเขา
“ก็มันเป็นกิจกรรมกลุ่ม ถ้าผมไม่ไปคนเดียวคงไม่ดี”
เหมยเหมยยิ้ม “คุณฮันไม่ได้เกลียดกิจกรรมกลุ่มที่สุดเหรอคะ?”
ฮันเจ๋อหยางไม่เปลี่ยนสีหน้า “นั่นมันเมื่อก่อน”
ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาจะได้สร้างความประทับใจดี ๆ ต่อหน้าน้องสาว แน่นอนว่าเขาจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้
ส่วนสุ่ยเวยไม่อยากถามอะไรมาก “การถ่ายทำรายการจะเริ่มในคืนวันเสาร์ จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับในภายหลัง เธอสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้”
“แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าเพื่อเพิ่มจุดสนใจและดราม่าของรายการ รายการ ‘ดาราบันเทิง’ มักจะถามหัวข้อที่แทงใจดำ 2-3 ข้อ เธอต้องเตรียมจิตใจให้พร้อม เพราะนี่เป็นครั้งแรกของซูโย่วอี๋ในรายการ เธอต้องสื่อสารกับเจ๋อหยางที่มีประสบการณ์ไว้ให้มาก
ฮันเจ๋อหยางดีใจมาก “ได้สิ”
หลังจากคุยงานเสร็จ ทั้งสามคนก็ออกจากห้องทำงานของสุ่ยเวย
ในระหว่างการถ่ายทำ ทั้งสามคนมักใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ซึ่งมักจะเป็นฮันเจ๋อหยางและซูโย่วอี๋ที่ทะเลาะกัน ขณะที่เหมยเหมยเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ
แต่กลับกัน วันนี้กลับเงียบกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เหมยเหมยรู้สึกไม่คุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ จึงใช้โอกาสนี้หลบฉากไป
ไม่ใช่ว่าเธอกลัว แต่เธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นดีแค่ไหน จึงต้องการให้เวลาพวกเขาทำความเข้าใจกัน
ทันทีที่เหมยเหมยจากไป ฮันเจ๋อหยางก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “โย่วอี๋ เธอเคยดู ‘ดาราบันเทิง’ ไหม?”
อืม หัวข้อนี้ไม่ดีนัก
ซูโย่วอี๋เหลือบมองเขา “มีใครบ้างที่ยังไม่ได้ดูรายการนี้?”
‘ดาราบันเทิง’ ผลิตมา 18 ปีแล้วและเกือบจะเติบโตมาพร้อมกับรุ่นของซูโย่วอี๋ ส่วนหลักของรายการคือการเชิญตัวเอกหลักของละครยอดนิยมกับดารายอดนิยมเข้าร่วมในรายการเพื่อสัมภาษณ์และเล่นเกม
ฮันเจ๋อหยางลูบจมูก “ก็ใช่ แต่เธอดูจากมุมมองของผู้ชม ที่ฉันถามคือเธอเคยดูจากมุมมองของแขกรับเชิญหรือเปล่า”
“รุ่นพี่คิดยังไงล่ะ?”
พี่เวยเพิ่งจะบอกไปว่าเธอเข้าร่วมรายการแบบนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นเธอต้องไม่เคยดูมาก่อนสิ
ซูโย่วอี๋กลอกตาใส่เขา “ฮันเจ๋อหยาง คุณสติไม่ดีหรือเปล่า?”
คำพูดเสียดสีนั้นทำให้ฮันเจ๋อหยางกลับสู่เรื่องการถ่ายทำในทันที เขาไม่โกรธเลย “ฮ่า ๆ”
ซูโย่วอี๋ไม่สนใจเขา และเดินไปข้างหน้า
แต่ฮันเจ๋อหยางตะโกนว่า “เฮ้ ซูโย่วอี๋ เธอไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หรือไง เธอเรียกใครฮันเจ๋อหยาง ฉันเป็นพี่ชายของเธอนะ!”
พี่ชาย!
ตอนนี้เอง พนักงานที่เดินผ่านไปมาได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “พวกเขาสนิทกันจัง”
“เป็นพี่น้องที่รักกันเกินไปแล้ว”
คนหนึ่งสะกิดอย่างลับ ๆ “พี่สาว พี่ว่าพี่น้องท้องชนกันหรือเปล่า? ฉันคิดว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีมากเลยนะ”
“นี่ ไปให้พ้นเลย ที่ฉันพูดถึงคือความสัมพันธ์แบบพี่น้องแท้ ๆ ต่างหาก”
หลังจากที่ฮันเจ๋อหยางพาซูโย่วอี๋กลับบ้านอย่างปลอดภัย เขาก็ส่งข้อความวีแชตถึงพ่อกับแม่ว่า [ผมเพิ่งส่งน้องสาวกลับบ้าน]
คุณนายฮันตอบทันทีว่า [โย่วอี๋หน้าตาเป็นยังไงบ้าง? เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม? ได้ร้องไห้บ้างไหม?]
เมื่อเผชิญกับคำถามซ้ำ ๆ จากแม่ ฮันเจ๋อหยางก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง [พอแต่งหน้าแล้วผมไม่เห็นอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่าจะสบายดีนะ]
คุณนายฮัน […]
เมื่อหันกลับมา เธอก็บ่นกับสามีว่า “ดูลูกชายของคุณสิ ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้ยังหาแฟนไม่ได้”
“เขาก็เป็นลูกคุณเหมือนกันนะ”
แน่นอนว่า ฮันเจ๋อหยางได้กลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวของซูโย่วอี๋เช่นกัน แต่เขาไม่ได้บอกความจริงเพราะกลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะเป็นกังวล
…
เมื่อซูโย่วอี๋เปิดประตู เธอก็พบรองเท้าหนังคู่หนึ่ง รองเท้าของลู่เฉิน
เธอเข้ามาในห้องด้วยความประหลาดใจ “ลู่เฉิน?”
มีเสียงน้ำแผ่วเบาดังมาจากห้องน้ำ ซูโย่วอี๋จึงนอนลงบนโซฟาและรอเขาออกมา
ต้องบอกว่าอาการเมาค้างของเธอนั้นรุนแรงมากและยังไม่หายดี จึงต้องนอนสักพักเพื่อพักผ่อน
พอลู่เฉินสวมชุดคลุมอาบน้ำออกมา สติของซูโย่วอี๋ก็เริ่มพร่าเลือนแล้ว
กลิ่นหอมสดชื่นของครีมอาบน้ำโชยเข้าจมูก ซูโย่วอี๋ลืมตาขึ้นและเห็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
ใบหน้าของเขาคมคาย ดวงตาลุ่มลึก
วินาทีต่อมา ลู่เฉินก็พุ่งเข้ามาจู่โจมและฝังจมูกลงไปที่แก้มของซูโย่วอี๋
เสียงของลู่เฉินแหบแห้ง “คุณนี่เป็นเจ้าแมวน้อยจอมขี้เกียจจริง ๆ”
ซูโย่วอี๋โอบคอของเขา “ทำไมคุณกลับมาไม่บอกฉันล่ะคะ?”
“ผมกลับมาก่อนเวลาเพื่อลงโทษเด็กที่แอบไปดื่มเหล้าไง”
ซู่โหย่วอี้เลียริมฝีปากเขาอย่างออดอ้อน “แค่บางครั้งเอง”
ลู่เฉินกดศีรษะของเธอและจูบอย่างลึกซึ้งลงไปแทน
ริมฝีปากและฟันของทั้งคู่สบกัน พร้อมทั้งลมหายใจหอบถี่
ลู่เฉินดูดเลียอย่างหนัก ราวกับว่าไม่เคยพอในความหอมหวานนี้
มือของเขาค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อของซูโย่วอี๋ออก “ผมอยากกอดคุณ…”
ดวงตาของซูโย่วอี๋เองก็ลุกโชนด้วยความปรารถนาและเธอก็ไม่ปฏิเสธ
ลู่เฉินหัวเราะกับท่าทางนั้นและฝังศีรษะของเขาที่คอของเธอ “ผมไม่เคยเบื่อที่จะมองคุณเลยสักครั้ง”
ซูโย่วอี๋ถูกแกล้งจนเธอทนไม่ไหว แต่ทำอะไรไม่ได้ เธอจึงกัดหูของเขาเพื่อเอาคืน “คุณก็เหมือนสัตว์ร้ายในชุดสูทจนฉันตัดใจไม่ลง”
เสียงหัวเราะที่น่าพอใจเล็ดลอดออกมาจากลำคอของลู่เฉิน
“ผมควรจะขอบคุณไหมที่ยังเข้าตาคุณ”
เมฆฝนพัดผ่าน ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากนั้น ซูโย่วอี๋ก็เอนกายอย่างโอนอ่อนในอ้อมแขนของลู่เฉิน “ฉันหิวแล้ว”