บทที่ 284 เป็นเด็กดีแบบนี้ไปตลอดนะ
บทที่ 284 เป็นเด็กดีแบบนี้ไปตลอดนะ
ซูโย่วอี๋รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “กัวหลินหลินเป็นคนทำใช่ไหม”
เพราะความสนใจที่ซูโย่วอี๋มีต่อไป๋เหิง ทำให้เธอทำกับไป๋เหิงแบบนี้เหรอ?
อวี๋ชิงจ้าวตบลงที่ไหล่ของเธอเบา ๆ “พวกเราต่างก็ถูกเลือกมาจากการแข่งขันด้านความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นความลำบากหรือความกดดัน ที่ไหน ๆ ก็มีเหมือนกันหมด”
“พวกเราไม่สามารถติดตามไป๋เหิงไปได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรอกนะ เธอสามารถช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่สามารถช่วยเด็กนั่นไปได้ตลอดชีวิต เด็กคนนั้นจะต้องจัดการด้วยตัวเอง”
แล้วที่ล้างจานล่ะมันคืออะไร?
ถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้ถูกเลือก บางที… เธอจะต้องล้างจานแบบนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ
ซูโย่วอี๋นิ่งไป “เป็นเพราะฉันไม่คิดทบทวนให้รอบคอบกว่านี้”
ความหวังดีของเธอทำให้เด็กคนนั้นลำบาก
“เธอไม่ผิด คนที่ผิดคือพวกคนที่จิตใจไม่ปกติพวกนั้น ถ้าเธอยอมในวันนี้ พวกนั้นก็จะแกล้งต่อไป ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อ บนโลกใบนี้ก็คงไม่มีใครที่จะยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมหรอก”
ซูโย่วอี๋นิ่งเงียบไป
เธอรู้ดีว่าที่อวี๋ชิงจ้าวพูดนั้นถูกต้อง ถ้าไม่อยากถูกรังแก ก็คงมีเพียงการพึ่งพาตัวเองและทำให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
แต่คน ๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ภายในเวลาสั้น ๆ นั้น เป็นเรื่องที่พูดแล้วทำได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?
“เลิกคิดมากได้แล้ว ตราบใดที่กัวหลินหลินไม่สร้างปัญหา พวกเราก็แค่ทำเหมือนไม่รับรู้เรื่องอะไรก็พอ พวกเราจะต้องยุติธรรมในการเลือกคนที่มีความสามารถ ให้ไป๋เหิงแสดงความสามารถของตัวเองไปอย่างราบรื่นก็พอแล้ว”
ไม่ใช่เพราะอวี๋ชิงจ้าวเป็นคนเย็นชาไม่สนใจใคร แต่ในบางครั้ง ในเรื่องบางเรื่อง การไม่สนใจก็เป็นการจัดการที่ดีกว่า
ได้ยินเช่นนั้น ซูโย่วอี๋ก็พยักหน้า ค่อย ๆ ดูกันต่อไปแล้วกัน
เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเธอคิดนั้นมันไร้เดียงสาเกินไป กัวหลินหลินจะขายหน้ายอมปล่อยไป๋เหิงไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?
ศักดิ์ศรีของเธอ ความโกรธของเธอ ความอิจฉาของเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องได้ระบายออกมา
เวลาตีหนึ่ง ไป๋เหิงพึ่งซ้อมเต้นเสร็จ หลังจากที่ทำความสะอาดห้องซ้อมเต้นเพียงคนเดียวจนเสร็จ เธอก็เดินไปยังทางเดินเพื่อกลับไปยังหอพัก
ตอนนี้เธอไม่ได้กังวลใจในเรื่องที่ถูกคนแกล้งเลยแม้แต่น้อย เพราะความสำเร็จของการเดินแฟชั่นโชว์นั้นทำให้เธอมั่นใจมากยิ่งขึ้น
ไป๋เหิงเชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่ความพยายามจะพาเธอไปถึงความสำเร็จ
พอถึงตอนนั้น กัวหลินหลินและเหล่าคนที่เคยทำให้เธอเสียใจก็จะไม่สำคัญอีกแล้ว
ใบหน้าของไป๋เหิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แต่รอยยิ้มบนในหน้าก็หุบลงไปอย่างรวดเร็ว
“พวก… พวกเธอ ทำไมมาอยู่ที่นี่?”
กลุ่มคนที่นำโดยกัวหลินหลินยืนเรียงกันขวางทางเธอเอาไว้
“มีแค่เธอคนเดียวที่เดินผ่านได้หรือไง พวกเราจะเดินผ่านไม่ได้เหรอ?”
เสียงอันแข็งกร้าวของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
ไป๋เหิงรู้สึกกลัวจนต้องถอยหลังมาสองก้าว “ไม่ใช่นะ…”
“วันนี้ได้รางวัลเลยมีความสุขมากเลยงั้นสิ?”
ไป๋เหิงไม่กล้าสบตากับหญิงสาวตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ เธอเอาแต่ก้มหน้าลง
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มขึ้นมาอย่างน่ารังเกียจ “หลินหลิน เธอดูสิ ไป๋เหิงกลัวแล้ว วันนี้ตอนอยู่บนเวทีออกจะใจกล้าไม่ใช่เหรอ?”
เธอพูดคำพูดพวกนั้นใส่หน้าของไป๋เหิง
ไป๋เหิงไม่สามารถหนีไปไหนได้ “ฉันเปล่านะ”
ทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ก้าวออกไปสองก้าว และตบหน้าเธออย่างแรง
เพียะ!
ไป๋เหิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยความกลัว ราวกับว่าพวกเธอเป็นสัตว์ประหลาด
“พวกเธอ… นี่มันมากเกินไปแล้วนะ พวกเธอ…ทำร้ายคนอื่นแบบนี้ได้ไง?”
ผู้หญิงคนนั้นขอโทษอย่างรวดเร็ว “แย่แล้ว มือลื่นไปหน่อย”
มือของเธอลูบหน้าข้างที่ไป๋เหิงโดนตบเบา ๆ “ขอโทษ…”
“ซะที่ไหนล่ะ!”
พูดจบก็ตบลงไปอีกหลายครั้ง และยังคงเป็นกัวหลินหลินที่เดินเข้ามาหยุดผู้หญิงคนนั้นไว้
“พอได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องถ่ายทำรายการอีก เธออยากให้ทุกคนรู้เหรอว่ายัยนี่ถูกคนอื่นตบมา?”
ผู้หญิงคนนั้นรีบเก็บมือของตัวเอง “หลินหลิน นี่ฉันกำลังระบายความโกรธให้เธออยู่นะ”
“ฉันจะไปโกรธอะไร? เธอเอาฉันไปเปรียบเทียบกับไป๋เหิงงั้นเหรอ? ไป๋เหิง อย่างเธอจะเทียบอะไรกับฉันได้?”
“ไม่มีทาง” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างประจบ “เป็นเพราะฉันเอง ฉันไม่พอใจวิธีที่ยัยนี่ไปประจบอาจารย์”
สีหน้าของกัวหลินหลินจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “งั้นเธอก็ควรควบคุมตัวเองให้ดี อย่าลากฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ”
พูดจบเธอก็เดินไปนั่งลงบนชิงช้าที่อยู่ไม่ไกล เธอเหยียดเท้าเบา ๆ และโยกตัวไปมา
ดูสบายใจอยู่ในความมืด
ทางด้านนี้ ผู้หญิงคนนั้นยกมือขึ้น จากนั้นคนอื่นก็พากันล้อมไป๋เหิงเอาไว้
ไป๋เหิงมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตะหนก แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่คนใจร้าย
ไม่มีใครมาช่วยเธอเลย
ผู้หญิงคนหนึ่งผลักให้เธอล้มลงไปบนพื้นหิมะและใช้เท้ายันหน้าอกของเธออย่างแรง
ไป๋เหิงเจ็บจนร้องออกมา ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างทันที
“อะ… ช่วย… ด้วย”
เสียงร้องดังขึ้น แต่ก็ถูกฝังลงไปในหิมะอีกครั้ง
กัวหลินหลินมองดูนิ้วมือเรียวยาวของตัวเองอย่างสบายใจ “อืม ถึงเวลาต้องเปลี่ยนเล็บใหม่แล้วสิ”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือค่อย ๆ เบาลง กัวหลินหลินลุกขึ้นและเดินเข้ามา “พอแล้ว เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ตายหรอก เมื่อกี้แค่ควบคุมแรงไม่ค่อยดี เผลอเตะคางเธอไป”
มีรอยเขียว ๆ ม่วง ๆ เป็นรอยช้ำ คนมองออกแน่ ๆ
กัวหลินหลินขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มลงไป “ไป๋เหิง พรุ่งนี้เธอจะต้องป่วยหนัก และพักอยู่ที่หอ เข้าใจไหม?”
“ถ้าพรุ่งนี้ฉันเห็นเธอไปปรากฏตัวอยู่ที่ห้องซ้อมเต้นล่ะก็ เธอก็น่าจะรู้จุดจบของตัวเองใช่ไหม”
ใบหน้าของไป๋เหิงเต็มไปด้วยหิมะ เธอลืมตาบวมช้ำขึ้นมองดูความกังวลบนใบหน้าของกัวหลินหลิน เธอรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา “เข้าใจแล้ว”
“อืม เชื่อฟังดีจริง ๆ เป็นเด็กดีแบบนี้ไปตลอดนะ”
ทุกคนจากไปอย่างรวดเร็ว
มือของไป๋เหิงสั่นไม่หยุด เธอพยายามลุกขึ้นอยู่สี่ห้าครั้งกว่าจะดันตัวเองลุกขึ้นมาได้ ก่อนจะเดินโขยกเขยกอย่างยากลำบากไปยังหอพัก
มองจากที่ไกล ๆ ไม่ใช่แค่ขาของเธอที่ดูจะบาดเจ็บเท่านั้น แต่ภายใน เธอดูไม่ออกเลยตัวเองจะบอบช้ำมากแค่ไหน
ตอนที่ประตูหอพักปิดลง ไป๋เหิงรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย
น้ำตาของเธอซึมมาตลอดทาง เธอปิดปากของตัวเองเอาไว้ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา
การแต่งหน้าบาง ๆ ของเธอตอนนี้มีแต่รอยกระดำกระด่าง ใบหน้าซีกซ้ายของเธอบวมอย่างเห็นได้ชัด
โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่น ไป๋เหิงจึงเปิดดู แม่ของเธอส่งข้อความมาหา
[ซ้อมเหนื่อยหรือเปล่า? อยู่กับคนอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง?]
[กินข้าวอิ่มหรือเปล่า?]
ไม่ทันได้ตอบกลับ อีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาอีก
[อย่าหักโหมมากเกินไปนะ ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว สวมเสื้อผ้าหนา ๆ ล่ะ]
ไป๋เหิงสำลักขึ้นมาจนเกือบหายใจไม่ออก เธอเข้าไปในห้องน้ำและเปิดก๊อกน้ำก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่ลังเล
เธอทรุดตัวลงไปกับกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ร่างกายเจ็บปวด แต่หัวใจเจ็บปวดยิ่งกว่า
วันต่อมา ไป๋เหิงไม่ได้เข้าร่วมการถ่ายทำ เพราะเธอไม่สบายหนักมากจริง ๆ
เธอเจ็บไปทั้งตัวและยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งวันนี้กัวหลินหลินช่วยลาหยุดกับอาจารย์ให้เธอแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าไป๋เหิงป่วยนิดหน่อย
อาจารย์ฝึกสอนผู้ชายจากคลาส B ได้ยินเช่นนั้นก็แค่ตอบรับมาว่าอืม ไม่แม้แต่จะถามอะไรเพิ่มเลย
ไป๋เหิงตื่นขึ้นมาในตอนเย็น เธอรู้สึกเจ็บมาก ๆ เธอรู้ดีว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป สิ่งที่เธอทำมาก็สูญเปล่า
เธอควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ข้าง ๆ หมอนและกดโทรออก
เสียงรอสายจากปลายสายดังอยู่นานมากและมีคนรับสายขึ้น “[ฮัลโหล ใครกัน?]”
ไป๋เหิงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “[พี่เหมยเหมย ฉันไป๋เหิงนะคะ]”
“[เธอเองหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?]”
ก่อนหน้านี้เหมยเหมยช่วยไป๋เหิงเดินแฟชั่นโชว์ ไป๋เหิงจึงได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอมา จะได้ง่ายต่อการคืนเสื้อผ้า
“ฉันป่วยหนักมาก รบกวนพี่เรียกหมอมาให้หน่อยได้ไหมคะ?”
“[ได้ เธอรอฉันนะ]”
พอวางสายไป เหมยเหมยก็ไปปรึกษากับซูโย่วอี๋ก่อน
“เรื่องนี้จะต้องแจ้งกับทางทีมงานไหม?”
ซูโย่วอี๋รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ “ไม่ต้องบอก”
“เธอให้หมอเข้าไปก่อน ถ้าฉันจัดการทางนี้เสร็จจะตามไป”
เพราะมีเด็กฝึกมาปรึกษาเรื่องการร้องเพลง ซูโย่วอี๋จึงล่าช้าไปครู่หนึ่งก่อนที่จะไปยังหอพักของไป๋เหิง
ตอนที่ไปถึง ทั้งตึกเงียบสงบ ซูโย่วอี๋ขึ้นไปชั้นสามทันที
ประตูห้อง 3304 แง้มอยู่ ทำให้มีแสงสีขาวส่องออกมายังทางเดิน
มีเสียงพูดคุยเบา ๆ อยู่ด้านใน พอเดินเข้าไปจึงได้ยินชัดมากขึ้น เป็นเสียงของหมอ
“อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 42.3 องศา ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป จะต้องอาการหนักมากแน่ ๆ ดีที่เธอตื่นขึ้นมาก่อน ผมให้น้ำเกลือเธอไปแล้ว คืนนี้ต้องคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด จะต้องคอยดูอุณหภูมิร่างกายของคนไข้ตลอดเวลา”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
หมอนิ่งค้างไป “ผมพึ่งวัดอุณหภูมิร่างกายของคนไข้ไป และพบรอยฟกช้ำบริเวณใต้คางและไหปลาร้า…”
เหมยเหมยตกใจ “คุณจะบอกว่าเธอถูกทำร้ายเหรอคะ?”
“มีความเป็นไปได้ถึง 90% ผมเชื่อว่าคุณเองก็เห็นรอยมือบนใบหน้าของเธอแล้ว”
“ถ้าเป็นไปได้ ทางที่ดีที่สุดให้ผมตรวจร่างกายทั้งหมดจะดีกว่า แต่ตอนนี้คนไข้สลบอยู่ ผมไม่กล้าตัดสินใจเอง”
เหมยเหมยเองก็ลังเลเช่นกัน
“ตรวจเลย!” ซูโย่วอี๋ผลักประตูเข้าไปและพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“คุณหมอ รบกวนคุณช่วยตรวจสอบเบื้องต้นหน่อยค่ะ ถ้าจำเป็นจริง ๆ พวกเราจะส่งตัวเธอไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”
ดีกว่ารอไปเรื่อย ๆ
“เหมยเหมย เธอช่วยคุณหมอที”
หมอรู้จักซูโย่วอี๋ดี จึงพยักหน้าให้กับเธอ “ได้ครับ เหมยเหมย รบกวนคุณช่วยถอดเสื้อผ้าของไป๋เหิงให้หน่อย ในส่วนของพื้นที่ส่วนตัวให้คุณเอาผ้าห่มคลุมเอาไว้ให้ดี ผมจะขอดูแขนขาและส่วนของหน้าท้องแบบคร่าว ๆ”
ต้องระวังส่วนมือที่ให้น้ำเกลือของไป๋เหิงเอาไว้ดี ๆ เหมยเหมยถอดเสื้อผ้าให้เธอคนเดียวไม่ค่อยสนัด ซูโย่วอี๋จึงเข้ามาช่วยด้วย
จนกระทั่งถอดเสื้อผ้าออก ทำให้เห็นรอยแผลที่เต็มร่างกาย ทั้งสองคนต่างพากันสูดหายใจเข้าลึก ๆ
มันเป็นอาการบาดเจ็บที่รุนแรงมาก
“คุณซู ยังจะให้หมอตรวจอีกไหมคะ?”
ซูโย่วอี๋หยิบผ้ามาคลุมตัวของไป๋เหิงอย่างใจเย็น “หมอไม่สนเรื่องเพศอยู่แล้ว ให้เขาเข้ามา”
เมื่อหมอได้เห็นรอยบาดแผลบนร่างกายของหญิงสาว เขาก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลย
เขาดูอยู่นานจนพอรู้อาการคร่าว ๆ แล้ว
บีบดูไม่กี่ส่วน ใบหน้าแดงก่ำของไป๋เหิงขมวดขึ้น “เจ็บ”
หมอมีท่าทีจริงจัง “คนทำใช้กำลังมาก ขาขวาหัก เลือดออกใต้ผิวหนังหลายแห่งทั่วร่างกาย เลือดออกภายในจนไม่สามารถควบคุมได้ หมอแนะนำให้รีบส่งตัวคนไข้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ซูโย่วอี๋นิ่งไป เธอพาหมอออกไปจากหอพัก “ขอบคุณนะคะ คุณหมอ พวกเราจะรีบส่งตัวเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…”
หมอพยักหน้า “ผมเข้าใจครับ เรื่องนี้ผมจะไม่พูดถึงมันแน่นอน”
รอจนหมอจากไป ซูโย่วอี๋ไม่ได้รบกวนใครเลย เธอแจ้งคนของตัวเองอย่างเงียบ ๆ และส่งไป๋เหิงไปยังโรงพยาบาล
ภายในรถแออัด แต่สิ่งที่น่าสลดใจยิ่งกว่าคือการที่หญิงสาวถูกทำร้ายจนถึงขนาดนี้
อารมณ์ของซูโย่วอี๋มืดมนมาก
เหมยเหมยพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “พี่ซู ทำไมถึงไม่บอกเรื่องนี้กับทางทีมงานล่ะคะ?”
ทีมงานของรายการมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยของเด็กฝึกในระหว่างการถ่ายทำ
ผ่านไปเนิ่นนาน ซูโย่วอี๋จึงตอบกลับ “ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน รอให้ไป๋เหิงตื่นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
อาจเป็นเพราะการให้น้ำเกลือ ยังไม่ทันถึงโรงพยาบาล ไป๋เหิงก็ลืมตาขึ้นมา
เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่หญิงสาวพูดน้ำเสียงดูอ้างว้าง
“อาจารย์ซู พี่เหมยเหมย พวกคุณช่วยฉันไว้สินะคะ”
ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่าที่ชัดเจน
ซูโย่วอี๋รู้สึกเจ็บใจ “ไป๋เหิง พวกนั้นทำร้ายเธอใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ”
เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไป๋เหิงยังคงหวาดกลัวจนตัวสั่น “กัวหลินหลิน เหมยโจว…”
ทุก ๆ คนที่ลงมือ เธอจำได้อย่างชัดเจน
“พวกเธอดักรออยู่ที่ทางเดินกลับหอพัก…”
ซูโย่วอี๋กุมมือเธอเอาไว้เพื่อปลอบโยน “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”
น้ำตาของไป๋เหิงไหลออกมา “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฉันก็แค่ช่วยคุณล้างจาน คุณก็แค่ให้ฉันยืมเสื้อผ้า ฉันก็แค่ได้รับรางวัลที่เหมือนกับเธอมารางวัลหนึ่ง ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
ทำไมถึงต้องทำร้ายเธอด้วย?
ทำไมโลกใบนี้ถึงได้ใจร้ายกับเธอแบบนี้?