บทที่ 303 ขอความยุติธรรม
บทที่ 303 ขอความยุติธรรม
“ไม่รู้สิ ดูท่าแล้วงานนี้ต้องมีคนเดือดร้อนแน่ ๆ ว่าแต่ใครจะเป็นผู้โชคร้ายคนนั้นกันนะ”
เจนเงยหน้ามองไปยังผู้คนที่กรูเข้าไปยังห้องทำงานของเคลลี่ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เคลลี่กำลังเลือกคนที่จะมาขึ้นปก [นิตยสารรายสัปดาห์] สำหรับปีใหม่นี้ในรอบสุดท้าย แต่จู่ ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกคน ๆ หนึ่งเปิดเข้าไปอย่างไร้มารยาท และมีคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามา
และยังเล็งกล้องมาที่เธออีกด้วย
เคลลี่ลุกขึ้นยืนและมองไปยังคนที่อยู่ตรงกลาง “เอสเธอร์ คุณพาคนพวกนี้มาที่ห้องทำงานของฉันมากมายขนาดนี้เพราะต้องการสร้างความวุ่นวายงั้นเหรอ?”
เอสเธอร์มองกลับด้วยสายตาเย็นชา พร้อมทั้งโยนกระเป๋าแบรนด์เนมลงไปบนโซฟาและทิ้งตัวลงนั่ง ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมานั่งไขว่ห้าง “รองบรรณาธิการ ในสายตาของคุณนางแบบตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเราเป็นเพียงมดตัวจ้อย เราจะไปกล้าสร้างความวุ่นวายได้ยังไงคะ?”
“ฉันเรียกเพื่อนของฉันที่เป็นนักข่าวมาที่นี่ ฉันแค่ต้องการมาขอความยุติธรรมก็แค่นั้นเอง รองบรรณาธิการคงจะไม่ได้มีแผนการอะไรซ่อนอยู่ใช่ไหมคะ?”
เคลลี่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่จากประสบการณ์การทำงานมาหลายสิบปีทำให้เธอสามารถควบคุมอารมณ์ให้ยังสงบนิ่งได้อยู่ “เอสเธอร์ คุณนี่ตลกจริง ๆ”
“คุณพูดออกมาเลยว่านิตยสารของพวกเราไม่ยุติธรรมมากพอตรงไหน?”
เอสเธอร์หยิบรูปภาพออกมาจากกระเป๋าและวางลงด้านหน้าของเคลลี่ “รองบรรณาธิการ คุณลองดูรูปภาพนี้สิคะ คุณรู้สึกยังไงกับภาพนี้บ้าง?”
เคลลี่หยิบรูปภาพขึ้นมาดู ยอมรับเลยว่าแม้ว่าเอสเธอร์จะเป็นคนที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ความสามารถในการทำงานของเธอนั้นราวกับเป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่เกิด
ภาพที่เธอถ่ายออกมานั้นยอดเยี่ยมมาก
เคลลี่ชอบคนมีความสามารถ อารมณ์โกรธก่อนหน้านี้ของเธอจึงหายไปเยอะเลย “ดีมากเลยล่ะ”
เอสเธอร์ยกมุมปากขึ้น “งั้นคุณรองบรรณาธิการคิดว่ารูปภาพรูปนี้พอจะผ่านการคัดกรองในรอบแรกได้หรือเปล่า?”
หลังจากที่เคลลี่คิดทบทวนอย่างจริงจังแล้ว เธอก็ยังคงตอบกลับตามความเป็นจริง “ผ่าน”
อย่างน้อย ๆ ภาพนี้ติดหนึ่งในสามได้เลยด้วยซ้ำ!
เอสเธอร์พอใจเป็นอย่างมาก “ในเมื่อรองบรรณาธิการยอมรับมันออกมาเอง ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด”
“ฉันส่งรูปภาพไปให้พวกคุณทางอีเมลในวันที่ 29 ตอนเย็น แต่รายชื่อคนเข้ารอบสุดท้ายกลับไม่มีชื่อของฉันอยู่ด้วย รองบรรณาธิการ คุณคิดว่ามันสมเหตุสมผลไหมคะ?”
เคลลี่ขมวดคิ้ว “คุณเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า? พวกเราไม่ได้รับรูปภาพของคุณ…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ในหัวของเคลลี่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
หรือเพราะเอสเธอร์ส่งมาแล้ว แต่รูปภาพไม่ถูกส่งมาถึงมือของเธอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นถึงความเป็นไปได้
และในตอนนี้ เอสเธอร์ก็ได้เปิดอีเมลส่วนตัวขึ้นมาและยื่นไปยังหน้ากล้องของนักข่าว
“ทุกคนคงได้ยินแล้วนะคะ ระดับรูปภาพของฉันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ฉันกลับไม่ได้รับเลือก เชิญนิตยสารรายสัปดาห์ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับฉันด้วยค่ะ”
ด้วยเพราะช่วงนี้บรรณาธิการต้องเข้าร่วมงานสัมมนา เรื่องในบริษัทจึงมีเคลลี่เป็นผู้จัดการ ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป หน้าที่การงานของเคลลี่ก็คงจะจบเห่แน่
เธอไม่อยากทำให้เรื่องมันใหญ่โต “เพื่อน ๆ นักข่าวคะ เชิญพวกคุณไปนั่งในห้องประชุมก่อน ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเอสเธอร์ตามลำพัง”
แต่เอสเธอร์เย็นชามาก “คุณอย่าคิดว่าจะซื้อตัวฉันได้นะ มันไม่มีประโยชน์หรอก”
เธอไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่
เคลลี่กำลังส่งให้เหล่านักข่าวออกไปก่อน ก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องทำงานลง “เอสเธอร์ เรื่องนี้ฉันไม่รู้เรื่องด้วยจริง ๆ แต่ฉันรับปากได้เลยว่ารูปภาพ [ดอกกุหลาบ] ของคุณจะต้องได้เข้ารอบสุดท้ายอย่างแน่นอน”
เอสเธอร์ส่งสายตาเย้ยหยัน “จะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอคะ? ผู้คนจะมองฉันยังไง ไหนจะเพื่อนนางแบบอีก? บริษัทจะมองฉันว่าเป็นคนแบบไหนกัน?”
ที่เธอมาวันนี้ก็เพราะต้องการความยุติธรรม
เธอเป็นหนึ่งในนางแบบแถวหน้าของวงการ แต่แค่การคัดเลือกในรอบแรกเธอยังไม่ผ่าน คนในวงการต้องพากันเยาะเย้ยแน่ ๆ และบริษัทก็จะต้องสงสัยในความสามารถของเธอ แม้แต่แฟนคลับก็คงจะผิดหวัง
เอสเธอร์ไม่ได้สนใจแล้วว่าเธอจะถูกเลือกหรือไม่ สิ่งที่เธอต้องการก็คือให้ [นิตยสารรายสัปดาห์] ออกมาประกาศแจ้งกับทุกคนถึงความผิดพลาดของบริษัท
ว่าเอสเธอร์อย่างเธอมีความสามารถมากพอที่จะเป็นผู้ถูกเลือก
เคลลี่อยากจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงเคาะประตูห้องทำงานก็ดังขึ้นมา ผู้ช่วยยืนตัวสั่นอยู่นอกประตู “รองบรรณาธิการคะ มีสื่อรายงานว่ามีเรื่องวงในเกี่ยวกับการเลือกภาพหน้าปกของพวกเรา ตอนนี้กำลังเป็นเรื่องร้อนแรงอยู่บนอินเทอร์เน็ตค่ะ”
เคลลี่หยิบขึ้นมาอ่านดู มันเป็นโพสต์ใหม่แต่ความคิดเห็นสูงถึงหลักหลายหมื่นแล้ว ทุกคนกำลังตั้งคำถามถึงความยุติธรรมและความเป็นมืออาชีพในการคัดเลือก
สถานการณ์กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ควบคุมไม่ได้
เคลลี่หายใจเข้าลึก ๆ “ฉันรู้แล้ว เธอออกไปก่อน”
ประตูปิดลงอีกครั้ง ส่วนสีหน้าของเคลลี่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ “คุณเป็นคนโพสต์งั้นเหรอ?”
เอสเธอร์มองเธออย่างใสซื่อ “รองบรรณาธิการ ถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกคุณจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดได้ยังไงล่ะคะ?”
“ฉันบอกไปแล้ว ฉันแค่ต้องการความยุติธรรม”
เคลลี่กลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ทำงาน “งั้นคุณก็ไปได้แล้ว”
ไม่มีอะไรให้ต้องเจรจาอีกแล้ว เธอพึ่งทำให้เห็นถึงความปรารถนาดีอันจอมปลอมนั่น
“ส่วนเรื่องการจัดการในขั้นต่อไป คุณตามดูจากหนังสือพิมพ์ก็พอ” พูดจบเธอก็ก้มหน้าลงจัดการกับเอกสาร
“นี่คุณ!”
เอสเธอร์ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ก่อนที่จะเตะไปยังโซฟานุ่ม ๆ จนรองเท้าหนังปลายแหลมเจาะเข้าไปบนโซฟาจนเป็นรู
“ฉันไม่ยอมง่าย ๆ แน่”
เธอดึงประตูให้เปิดออกและเดินจากไป
เคลลี่เอามือนวดที่หว่างคิ้ว ก่อนจะโทรศัพท์เรียกผู้ดูแลฝ่ายกฎหมายเข้ามา การสืบสวนถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างรวดเร็ว
คอมพิวเตอร์ของเจนถูกคนจากฝ่ายกฎหมายยึดไปด้วยความงุนงง
เธอเลยถามขึ้นมาอย่างกังวลใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ?”
”ไม่ต้องกังวล พวกเราก็แค่มาตรวจสอบดู”
เจนมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ “ของพวกเขาไม่ต้องตรวจสอบเหรอคะ?”
“ไม่จำเป็น”
เมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ เจนก็ทำอะไรไม่ได้ เธอทำได้เพียงนั่งอยู่เฉย ๆ บนที่นั่งของตัวเอง และเดินไปมารอบ ๆ
และแล้วเธอก็ตระหนักถึงบางอย่างได้
คนที่ถูกยึดคอมพิวเตอร์ไปล้วนเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกรูปภาพหน้าปก!
“เธอมายืนอยู่หน้าห้องน้ำทำไมเนี่ย?” พนักงานรุ่นพี่ตีเธอไปหนึ่งที
เจนยกยิ้มเจื่อน “บริษัทเอาคอมพิวเตอร์ของฉันไป ฉันเลยรู้สึกกัวลนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ข่าวว่อนไปทั่วอินเตอร์เน็ตหมดแล้ว เอสเธอร์ไม่ถูกเลือกก็เลยคาดเดาไปว่าบริษัทนิตรยาสารของพวกเรามีลับลมคมในในการเลือกรูปขึ้นปกน่ะ”
พนักงานรุ่นพี่พูดไปด้วยมองดูรอบ ๆ ตัวไปด้วยอย่างระแวดระวัง “น่าจะเป็นเพราะคู่แข่งของเธอติดสินบนผู้บริหารบริษัท แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นเอานักข่าวมาสร้างความวุ่นวายถึงที่เลย”
เจนรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต ความคิดหนึ่งค่อย ๆ แล่นเข้ามาในหัว
หรือเป็นเพราะว่า… รูปภาพของเอสเธอร์ถูกเธอลบทิ้งไป
ในตอนบ่าย เจนถูกเรียกให้เข้าไปในห้องประชุมของฝ่ายกฎหมาย โดยมีเคลลี่และเหล่าผู้บริหารของบริษัทอยู่ด้วย
เคลลี่โกรธจนแน่นหน้าอก เธอเป็นคนมอบงานนี้ให้กับเจน แต่ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นมา มันอยู่ในความรับผิดชอบของเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เจน คุณพูดออกมาเองเลยเถอะ”
ในคำพูดของเคลลี่มีความผิดหวังอยู่ลึก ๆ
เจนรู้สึกหมดหนทาง แต่เธอยังคงปากแข็ง “คุณกำลังพูดเรื่องอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ”
เหล่าผู้บริหารพากันมองเธออย่างคาดโทษ ราวกับว่าได้ตัดสินโทษประหารชีวิตเธอไปแล้ว
“เอาหลักฐานมาให้เธอดู”
พนักงานฝ่ายกฎหมายเปิดโปรเจคเตอร์ เจนได้รับรูปภาพจากเอสเธอร์ในวันที่ 29 ตอนเย็น และบันทึกรูปภาพเอาไว้ในโฟลเดอร์ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ 16.03 น. ของวันที่ 31 เธอลบโฟลเดอร์นั้นทิ้ง จากการกู้คืน เราพบรูปภาพของเอสเธอร์ในโฟลเดอร์ที่ยังไม่มีการตรวจสอบ
“พวกเราได้รับการยืนยันแล้วว่าเคลลี่ไม่ได้รับรูปภาพของเอสเธอร์ทางอีเมล”
เพราะเจนเป็นผู้ลบรูปภาพนั้นออกไป
“ตอนนั้นกล้องวงจรปิดบันทึกภาพตอนที่เจนกำลังลบไฟล์เอาไว้ได้ชัดเจน”
เจนรู้สึกหมดแรงจนจะล้มลงกับพื้น “ใช่… ฉันลบรูปออกไปเองค่ะ แต่นี้มันไม่ใช่งานของฉันเลยนะคะ ฉันเป็นแค่นักศึกษาฝึกงาน ทำไมจะต้องมาทำงานตรวจสอบอะไรแบบนี้ด้วย?”
“ฉันทำมันไม่ทันจริง ๆ”
ฉันก็แค่อยากจะไปร่วมงานปาร์ตี้ของเพื่อน มันผิดเหรอ?
เคลลี่โกรธมาก “หยุดหาข้ออ้างกับความผิดพลาดของเธอได้แล้ว ทำไม่ทันก็มาบอกฉันก็ได้ แต่นี่มันไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาลบรูปทิ้งนะ”
“เธอรู้หรือเปล่าว่าการกระทำของเธอทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทมากขนาดไหน?”
เจนตื่นตกใจ “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ”
“เอาตัวเธอออกไป” เคลลี่ไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว
บ่ายวันนั้น [นิตยสารรายสัปดาห์] ได้จัดงานแถลงข่าวขึ้น และได้ออกมาขออภัยต่อสื่อต่าง ๆ พร้อมทั้งออกมายอมรับว่าพนักงานลบรูปภาพออกไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี
ซูโย่วอี๋ปัดอ่านรายงานข่าวบนอินเตอร์เน็ต “เจ้าจิ้งจอกเน่า รูปภาพของฉันคงจะไม่ได้ถูกลบทิ้งไปเหมือนกันใช่ไหม?”
สุนัขจิ้งจอกดูเฉยเมย [คนที่ไม่ถูกเลือกก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น]
“ในรายงานพูดไว้แล้วไม่ใช่เหรอ? ผลการคัดเลือกรอบแรกถือเป็นโมฆะ ตอนนี้ให้เคลลี่ที่เป็นรองบรรณาธิการเข้ามารับผิดชอบเอง โดยจะคัดกรองภาพถ่ายที่ส่งเข้ามาทั้งหมดใหม่อีกครั้งโดยไม่ให้เล็ดลอดไปได้แม้แต่รูปภาพเดียว”
[ถ้าหากว่าคุณยังไม่ได้รับเลือกอีก ครั้งนี้ฉันจะจัดการให้คุณเอง]
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “โอเค”
เธอเข้าไปดูผลการประเมินด้าน [ความสง่างามทั้งหนึ่งหมื่นท่า] ในพื้นที่ของระบบ จากนั้นสีในระบบเปลี่ยนจากสีเทาเป็นสีเหลืองเข้ม [ล้มเหลว] เปลี่ยนเป็น [รอการตัดสินใจ]
แต่ก่อนที่ผลการคัดเลือกจะออกมา ระบบยังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้
ซูโย่วอี๋รู้สึกเจ็บปวดมาก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีผลลัพธ์อะไร ระบบก็ยังใช้งานได้อยู่เลย!
ทำไมตอนนี้ถึงใช้ไม่ได้กันนะ?
เธอเลิกสนใจไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียก็ได้รับผลลัพธ์ล้มเหลวไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะยังไง คงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่าผลลัพธ์ล้มเหลวนี้แล้ว
เธอใช้เวลาว่าง ๆ นี้ไปหาคุณปู่ลู่ จนอารมณ์ของเธอดีขึ้นมามากแล้ว
คุณปู่ลู่หัวเราะยกใหญ่ “ขอบคุณนะ โย่วอี๋ ยาของเธอดีมาก ๆ เลย กินเข้าไปแล้วรู้สึกสบายไปทั้งตัวเลยล่ะ”
พ่อบ้านพูดขึ้นมา “ตอนนี้นายท่านกินข้าวชามเล็ก ๆ ได้แล้วครับ”
ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย
ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูของคุณปู่ลู่มองมาที่หญิงสาว “หนิงเชิงเป็นคนเอายากลับมาให้ปู่น่ะ”
“โย่วอี๋รู้ใช่ไหมว่าลูกสะใภ้ฉันไม่ชอบเธอ แต่หล่อนก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร หล่อนแยกแยะถูกผิดได้”
“ถ้าเป็นไปได้ วันปีใหม่นี้เธอพาลู่เฉินไปหาหล่อนหน่อยได้ไหม?”
“คนเราแก่แล้ว ยังไงก็อยากจะอยู่กับลูก ๆ หลาน ๆ”
ซูโย่วอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อยากฝืนความต้องการของคุณปู่ “ได้ค่ะ คุณปู่ลู่”
“เด็กคนนี้ อย่าทำเหมือนปู่เป็นคนอื่นคนไกลสิ เธอกับอาเฉินนี่เหมือนกันเลยนะ เรียกฉันว่าคุณปู่ก็พอ”
“คุณปู่”
“อ่า นั่นแหละ ๆ”