บทที่ 306 เขาโกหก
บทที่ 306 เขาโกหก
เนื่องจากการหายตัวไปนานกว่า 24 ชั่วโมง ตำรวจจึงรับแจ้งความทันที พวกเขากั้นบ้านของซูหยิน และค้นหาบริเวณใกล้กับสถานที่ที่ซูหยินปรากฏตัวครั้งล่าสุด
หลังจากที่ซูโย่วอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เธอก็ตรงไปที่สถานีตำรวจ กู่อวี๋เฉิงมาถึงก่อนแล้ว
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วพยักหน้า
ตำรวจเชิญพวกเขาเข้าไปในห้องประชุม “เชิญนั่งครับ”
เทชาร้อนตั้งไว้ด้านข้าง
กู่อวี๋เฉิงถามด้วยเสียงทุ้ม “สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ตามเบาะแสของคุณ เราส่งคนไปยังที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบและรวบรวมหลักฐานแล้ว เรายังไม่รู้อะไรเลยจนกว่าพวกเขาจะกลับมาครับ”
“คุณใช้ช่วงเวลานี้คิดให้รอบคอบดูนะครับว่ามีอะไรผิดปกติก่อนที่เธอจะหายตัวไปหรือเปล่า?”
ผิดปกติ?
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ติดต่อกับซูหยินมาพักหนึ่งแล้ว
เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายในตอนนี้เลย
ท่ามกลางความมึนงง เจ้าหน้าที่เหลียงเปิดประตูเข้ามา ดวงดาวบนอินทรธนู*[1] ราวกับกำลังปลอบประโลมจิตใจของผู้คนอยู่
ซูโย่วอี๋และกู่อวี๋เฉิงยืนขึ้นเพื่อทักทาย
“นั่งลงเถอะครับ คุณซู เราพบกันอีกแล้วนะครับ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเหลียงคนนี้เคยจัดการคดีของซูโย่วอี๋ เขามีประสบการณ์มากมาย
“บอกผมที คุณรู้ได้ยังไงว่าซูหยินหายไป”
คำถามนี้เคยถูกถามไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่กู่อวี๋เฉิงไม่ได้แสดงท่าทีกระวนกระวายใจ เขาเริ่มเล่ามันอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็คิดวิเคราะห์ไปว่ามีรายละเอียดไหนที่ขาดหายไปหรือเปล่า
ดวงตาของเจ้าหน้าที่เหลียงฉายแววจริงจังและตรวจสอบข้อความอย่างละเอียด
ตอนนี้ ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของเขา
“ซูหยินมีศัตรูหรือคนตามจีบบ้างหรือเปล่าครับ?”
บุคลิกของซูหยินไม่ใช่กระต่าย ถ้าเธอเกลียดใครจริง ๆ เธอสามารถพูดทิ่มแทงใจของผู้อื่นได้ง่าย ๆ
จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะไปทำให้ใครไม่พอใจ
ซูโย่วอี๋เองก็เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่าง เธอเล่าว่าเธอยอมฆ่าคนที่ทำผิดมากกว่าปล่อยพวกเขาไป ซูโย่วอี๋จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
แม้ว่าจะไม่มีการทะเลาะกัน แต่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ซูโย่วอี๋ก็ไม่ปล่อยเรื่องเหล่านี้ไป
“ในช่วงครึ่งปีแรก หลี่เพ่ยเพ่ยเป็นคู่แข่งของซูหยินในการออดิชั่นบทนางเอกของละครเกี่ยวกับความรักในโรงเรียน ซึ่งซูหยินได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากละครเรื่องนี้ค่ะ”
“เฉินเค่อเองก็ถูกซูหยินแย่งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์”
ใช่ มากเกินไป จนถึงตอนนี้ ซูโย่วอี๋พบเบาะแสไม่น้อยกว่าสิบ
เครื่องบันทึกกำลังบันทึกคำให้อย่างบ้าคลั่ง
“มีอีกไหมครับ?”
ซูโย่วอี๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วมองไปที่กู่อวี๋เฉิง ก่อนตัดสินใจพูดว่า “ค่ะ”
“หยินหยินเคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ชื่อว่าฮัวจิง”
เจ้าหน้าที่เหลียงเขาเงยหน้าขึ้น “ผู้อำนวยการฮัวแต่งงานแล้วนี่ครับ”
“ใช่ แต่เขามีแรงจูงใจในการก่อเหตุ หลังจากฮัวจิงแต่งงานแล้ว เขาก็ยังรบกวนหยินหยินและไม่ยอมปล่อยเธอไป เขายังบอกว่าเขาจะหย่าและแต่งงานกับเธอ แต่หยินหยินชัดเจนกับความรู้สึกแล้ว เธอจึงปล่อยวางอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ค่ะ”
“ฮัวจิงเป็นคนหมกมุ่น เป็นไปได้ว่าเขาก่อเรื่องอย่างการลักพาตัวได้”
เจ้าหน้าที่เหลียงพูดอย่างครุ่นคิด “คุณกู่ ตอนซูหยินอยู่กับคุณ เธอกับฮัวจิงยังมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่าครับ?”
“ไม่”
“ตอนคุณคบกับเธอ คุณรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของซูหยินกับฮัวจิงหรือเปล่าครับ?”
กู่อวี๋เฉิงลดสายตาลง “เจ้าหน้าที่เหลียง เรื่องแบบนี้ไม่มีใครในวงการบันเทิงไม่รู้หรอกครับ”
คนที่ไม่รู้มีไม่กี่คน
เขาถามคำถามอีก 2-3 ข้อ หลังเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่เหลียงก็ส่งพวกเขาออกไป
ก่อนจากไป ซูโย่วอี๋ถามว่า “คุณจะเรียกฮัวจิงมาไหมคะ?”
เจ้าหน้าที่เหลียงอธิบายว่า “ไม่ต้องกังวลครับ เราจะสอบสวนผู้ต้องสงสัยทั้งหมดทีละคน”
“ให้ฉันอยู่ด้วยตอนคุณกำลังสอบสวนฮัวจิงได้ไหมคะ?”
ยิ่งซูโย่วอี๋คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องเป็นฮัวจิง!
“ตกลงครับ”
“ตอนนี้ยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุ ถ้าเป็นเพราะเรื่องเงิน ผู้ต้องสงสัยจะโทรศัพท์มาเรียกค่าไถ่อย่างแน่นอน คุณต้องเฝ้าระวังสายที่โทรเข้ามาในช่วง 2 วันนี้ด้วยนะครับ โดยเฉพาะจากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย”
เพราะคำพูดของเจ้าหน้าที่เหลียง ทำให้ซูโย่วอี๋รู้สึกประหม่าในทุกวัน บางครั้งเมื่อเธอสามารถหลับตาลงได้สักพัก เธอก็จะรู้สึกว่าโทรศัพท์ดังขึ้นเสมอ
ลู่เฉินเป็นห่วงเธอ เขาจึงอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนเธอตลอด
“โย่วอี๋ กินหน่อยสิ”
ซูโย่วอี๋ใช้ตะเกียบจิ้มอาหารในชาม รสชาติมันเหมือนกำลังเคี้ยวขี้ผึ้งไม่มีผิด “ฉันกินไม่ลงจริง ๆ”
ซูหยินหายตัวไปสามวันแล้ว และยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลย
สถานีตำรวจปัดตกข้อสันนิษฐานเรื่องเรียกค่าไถ่ในตอนแรกออก แล้วให้ความสนใจไปที่ ‘ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวแทน’
เบาะแสก่อนหน้านี้ของซูโย่วอี๋ถูกตัดออกทั้งหมด เพราะคนทั้งหมดก็มีหลักฐานยืนยัน
การสืบสวนหยุดชะงัก ดูเหมือนซูหยินจะหายตัวไปจากโลกเฉย ๆ เสียอย่างนั้น
เมื่อโทรศัพท์ดัง ซูโย่วอี๋สะดุ้งเฮือกและรับทันที “เจ้าหน้าที่เหลียง มีความคืบหน้าอะไรใหม่หรือเปล่าคะ?”
“[ไม่ครับ แต่ตอนบ่ายสามโมง เราจะสอบปากคำฮัวจิง]”
“ตกลงค่ะ ฉันจะไปตรงเวลา”
เมื่อมองไปที่ท่าทางตื่นตระหนกของเธอ ลู่เฉินก็ปลอบประโลมเธออย่างอ่อนโยน “ซูหยินเป็นคนดี เธอต้องไม่เป็นอะไร”
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ซีดเซียว “ฉันหวังว่าอย่างนั้น”
สถานีตำรวจปักกิ่ง
ฮัวจิงดูเคร่งเครียดมาก เขาถามขึ้นทันทีที่ก้าวผ่านประตู “เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“เรื่องนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน นั่นเป็นเหตุผลที่เราเชิญคุณมาที่นี่”
ฮัวจิงพยายามเก็บความสงสัยลงและไปที่ห้องสอบสวน
“ว่ามา”
เจ้าหน้าที่เหลียงทำการสอบปากคำฮัวจิงด้วยตัวเอง “คุณฮัว ความสัมพันธ์ของคุณกับซูหยินคืออะไรครับ?”
“เราไม่ได้เป็นอะไรกันครับ”
“แล้วก่อนหน้านี้ล่ะครับ?”
ฮัวจิงพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เขาไม่ต้องการนำเรื่องแบบนี้มาเปิดเผยให้ใครฟัง “มันเกี่ยวข้องกับคดีนี้เหรอครับ?”
“เกี่ยวข้องกันครับ กุญแจไขคดีคือความสัมพันธ์เชิงชู้สาว”
“แลกเงินกับเซ็กซ์”
“คุณไม่ชอบเธอเหรอ?”
ดวงตาของฮัวจิงเย็นชาขึ้น “เจ้าหน้าที่เหลียง เธออยู่กับผมมาสี่ปี เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าไม่ชอบเธอเลย ความชอบมีทั้งชอบความสวย ชอบรูปร่าง ชอบบุคลิก คุณกำลังพูดถึงความชอบแบบไหนล่ะ?”
เจ้าหน้าที่เหลียงโน้มตัวไปข้างหน้า “ผู้ชายชอบผู้หญิง และชอบจนอยากแต่งงาน”
“ผมมีภรรยาแล้ว”
“มีบางคนบอกว่าคุณยังคงตามตื๊อซูยินหลังจากที่คุณแต่งงานแล้ว”
ฮัวจิงเปลี่ยนท่าทีของเขาและเอามือกอดอก “ไม่ ผมบอกไปแล้วว่าผมมีภรรยาแล้ว ผมไม่มีทางจะทรยศต่อภรรยาตัวเองเด็ดขาด”
ที่ด้านหลังหน้าต่างกระจก ซูโย่วอี๋เย้ยหยัน “เขาโกหก”
เจ้าหน้าที่เหลียงไม่พูดต่อหัวข้อนี้ “คุณทำอะไรในวันที่ 4?”
“วันนั้นซูยินไม่ได้พบคุณเหรอ?”
“ผมไปทำธุระที่ต่างประเทศและไปเยี่ยมตระกูลเจมส์ ผมไม่ได้กลับบ้านจนกระทั่งบ่ายวันที่ 6 ผู้ช่วยอยู่กับผมตลอดเวลา เขาสามารถยืนยันสิ่งที่ผมพูดได้”
เจ้าหน้าที่เหลียงพยักหน้า “โอเค คุณฮัว ผมขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาของคุณ”
ฮัวจิงลุกขึ้นและจัดเสื้อสูทของเขาให้เป็นระเบียบ “เจ้าหน้าที่เหลียง ยังไงซูหยินก็เคยอยู่กับผม ถ้าคุณอยากรู้อะไรโทรหาผมได้ ผมว่างตลอดเวลา”
หลังจากนั้น เขาก็จากไป และซูโย่วอี๋ก็ไปพบเจ้าหน้าที่เหลียง “ฮัวจิงโกหก!”
“ผมรู้ แต่ทุกคนมีความลับของตัวเอง ถึงฮัวจิงจะปฎเิเสธเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูหยิน แต่ก็ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ ทุกคนมีบางสิ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครรู้”
นอกจากนี้ สถานะทางสังคมของฮัวจิงนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปมาก และเขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ฮัวจิงยังคงสุขุม
คนคนนี้อาจมีความคิดลึกซึ้ง จึงคิดข้อแก้ตัวเตรียมไว้นานแล้วก็ได้
เพราะยังไงเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้เอง
หรือเขาอาจจะไม่รู้เรื่องจริง ๆ!
หลังจากฮัวจิงออกจากสถานีตำรวจ เขาก็เข้าไปในรถแต่ไม่ได้สตาร์ท
เขากลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดแกลเลอรี ในนั้นมีเพียงรูปเดียว
ในภาพ ซูหยินสวมหมวกกันแดด แก้มของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอกำลังถือส้มที่เด็ดมาสด ๆ จากต้น
มีรอยยิ้มที่สดใสในดวงตาของเธอ
ส่วนฮัวจิงกำลังดื่มน้ำอยู่ไม่ไกล
ในเวลานั้น ซูหยินเรียกเขา “มองกล้องสิ”
เมื่อกดถ่าย มันก็เหลือไว้เพียงภาพของพวกเขาสองคน
ซูหยินเป็นคนฉลาดและรู้วิธีวางตัว ดังนั้นเธอจึงไม่เคยพูดว่าฮัวจิงต้องแต่งงานกับเธอ หรือพูดถึงมันอย่างเปิดเผย
ยิ่งไปกว่านั้น เราก็คุยแต่เรื่องเซ็กส์ แต่ไม่พูดเกี่ยวกับความรู้สึก
แต่เขาจำได้ว่าวันนั้นซูหยินมีความสุขมาก อาจเป็นเพราะฮัวจิงพาเธอไปที่เก็บส้มสวนผลไม้
ทำในสิ่งที่คู่รักจริง ๆ เขาทำกัน
เมื่อวางโทรศัพท์ ดวงตาของฮัวจิงก็มืดมนลง
ซูหยิน คุณอยู่ที่ไหน?
จากเหตุการณ์นี้ ฮัวจิงไม่มีอารมณ์ทำงานต่อ เขาจึงขับรถกลับไปที่บ้าน
เมื่อใกล้ค่ำ คนใช้กำลังทำอาหารอยู่ เขาหยิบเสื้อโคตของเขายื่นให้แม่บ้านและถามอย่างสบาย ๆ ว่า “จิ้งหว่านอยู่ที่ไหน?”
“ชั้นบนค่ะ” แม่บ้านหยุดชั่วคราว “คุณท่านคะ คุณผู้หญิงย้ายของไปที่ห้องของคุณแล้วค่ะ”
ฮัวจิงย้ายไปที่ห้องรับแขกเพราะตั้งใจจะหย่าหลังจากที่จิตใจเธอมั่นคงแล้ว
เขาเลยไม่เคยขอกลับห้องไปนอนเลย
ฮัวจิงขมวดคิ้ว “ฉันจะไปดูหน่อย”
ทันทีที่เขาไปถึงบันได เขาก็ได้ยินเสียงนุ่ม ๆ ของอวิ๋นจิ้งหว่าน “ย้ายไปตรงกลาง ใช่ ไว้ตรงนั้นแหละ”
ดูเหมือนว่าเธอกำลังเคลื่อนย้ายของบางอย่าง
เมื่อไปถึงประตู เขาก็พบว่าคนงานกำลังตอกตะปู และมีรูปถ่ายงานแต่งงานของเขา อวิ๋นจิ้งหว่านอยู่ที่มุมห้อง
อวิ๋นจิ้งหว่านเห็นเขาก่อนจึงพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “อาจิง ทำไมวันนี้คุณเลิกงานเร็วจัง? คุณยังไม่ได้กินข้าวสินะคะ”
“อืม นี่คุณทำอะไรอยู่?”
อวิ๋นจิ้งหว่านหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหาเขาแล้วกระซิบข้างหู “อาจิง… ฉันสุขภาพดีแล้ว ฉันอยากอยู่กับคุณ”
ฮัวจิงทอดสายตามองไป “เอาล่ะ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดไว้อยู่แล้ว”
“ฉันจะลงไปข้างล่างก่อนนะคะ จะให้คนรับใช้ทำอาหารที่คุณชอบ 2 อย่าง คุณช่วยฉันดูคนงานอย่าให้ทำของตกแตกหน่อยนะคะ”
“อืม”
อวิ๋นจิ้งหว่านเดินออกไป ฮัวจิงมองไปที่ด้านหลังของเธอ และทันใดนั้นก็พูดว่า “จิ้งหว่าน”
ผู้หญิงคนนั้นหันศีรษะของเธอมา “อะไรเหรอคะ?”
“กางเกงของคุณเปื้อนดิน”
อวิ๋นจิ้งหว่านมองลงไปและยิ้มอย่างซุกซน “คงเลอะตอนที่ไปสวนน่ะค่ะ”
หลังจากออกจากห้องไป รอยยิ้มของอวิ๋นจิ้งหว่านก็หายไป เธอโน้มตัวไปกวาดเอาของสกปรกที่กางเกงออกแล้วลงไปข้างล่าง
ฮัวจิงรู้สึกว่าอวิ๋นจิ้งหว่านดูเหมือนคนปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว และไม่ได้พูดถึงลูกที่ตายไปอีก
อีกอย่าง เธอไม่แสดงความเกลียดชังต่อซูหยินต่อหน้าเขา
ซูหยิน
ฮัวจิงใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ลงในชามของอวิ๋นจิ้งหว่าน “ซูหยินหายตัวไป”
เขาเฝ้าดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด แต่อวิ๋นจิ้งหว่านกลับนิ่งมาก
“คุณไม่ควรพูดถึงเธอตอนที่อยู่กับฉัน ฉันไม่ใช่นักบุญนะ”
“อาจิง ฉันจะยกโทษให้คุณ แต่ไม่ใช่เธอ ถ้าฉันทำได้ ฉันหวังว่าเธอจะตาย”
แลกกับชีวิตลูกของเธอ
ฮัวจิงพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ผมขอโทษ ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้ยินมัน”
ความสงสัยในตัวอวิ๋นจิ้งหว่านของเขาก็หายไปเช่นกัน
ภรรยาของเขาเป็นคนอ่อนโยน ความตายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เธอสามารถพูดได้
หลังอาหารเย็น ฮัวจิงเข้าไปในห้องทำงาน สิ่งที่ทำเป็นอย่างแรกคือโทรหาจิตแพทย์ของอวิ๋นจิ้งหว่าน
“การรักษาล่าสุดของจิ้งหว่านเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีมากครับ คุณนายฮัวไม่จำเป็นต้องรักษาต่อแล้ว”
“แต่ดูเหมือนเธอจะมีบางอย่างอยู่ในใจเสมอ ถ้าคุณฮัวไม่ยุ่งกับงาน ผมแนะนำให้คุณใช้เวลากับภรรยามากขึ้นนะครับ พาเธอออกไปพักผ่อนบ้างก็ได้”
ฮัวจิงไม่ได้ปฏิเสธ ก่อนจะวางสายโทรศัพท์ไป
[1] เครื่องประดับยศบนบ่าของทหาร