บทที่ 323 ฉันคือที่หนึ่ง
บทที่ 323 ฉันคือที่หนึ่ง
คนของตระกูลฮันทำงานกันอย่างแข็งขัน คุณนายฮันจัดเตรียมห้องนอนสองห้องอย่างเอาใจใส่ ในคืนวันต่อมา เธอก็ไปยังเทียนฮวาเพื่อรับซูโย่วอี๋และซูหยินกลับบ้าน
หลังจากพูดคุยกับนายหน้าเรื่องอสังหาริมทรัพย์แล้ว รถขนาดใหญ่ก็ขับเข้าไปยังหมู่บ้านและหยุดลงตรงด้านล่างของอาคาร ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“โห ในหมู่บ้านของพวกเรามีครอบครัวเศรษฐีอยู่ด้วยงั้นเหรอ”
“มาหาคนหรือเปล่า? หรือว่ามาเยี่ยมญาติ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
“รถหรูขนาดนี้” ผู้ชายคนหนึ่งชูนิ้วออกมา
คนที่เดินไปมาถึงกับตกใจ “หนึ่งล้าน?”
ผู้ชายพูดอย่างตัดพ้อ “น้อยไป รถคันนี้ไม่ต่ำกว่าสิบล้าน”
“โอ้ ดูไปแล้วขนข้าวขนของอะไรไม่ได้เลยนะ แต่ยังแพงขนาดนี้ เวอร์แถมยังใช้งานอะไรไม่ได้อีก”
รถหรูคันนี้เป็นรถคันที่ฮันเจ๋อเหยียนขับมา
จุดขายของหมู่บ้านเทียนฮวาคืออยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ถือว่าไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย ตอนแรกซูหยินซื้อบ้านที่นี่ก็เพื่อที่จะได้สะดวกในการเรียนต่อ
แต่ตอนนี้ คนที่มามุงดูกลับยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
คุณนายฮันส่องกระจกและจัดแจงอะไรอยู่เนิ่นนาน “เหล่าฮัน คุณดูให้ที่สิว่าตอนนี้ฉันดูโอเคใช่ไหม”
“โอเค กลางดึกขนาดนี้มองอะไรไม่ค่อยชัดหรอก อีกอย่าง แค่มารับลูกสาวกลับบ้าน จะอะไรมากมายขนาดนั้น”
“ใครว่าล่ะ?” คุณนายฮันจ้องเขา “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันปรากฏตัวในฐานะของแม่ของเสี่ยวอี๋และหยินหยินเลยนะ ยังไงก็ต้องแต่งตัวให้ดูสวยหน่อย จะให้พวกเธอขายหน้าไม่ได้”
“แล้วคุณน่ะ เนกไทเบี้ยวแล้ว”
พูดจบก็เอื้อมมือมาช่วยจัดเนกไทให้ใหม่
หลังจากที่คุณฮันมอบบริษัทให้ลูกชายดูแล เขาก็เริ่มแต่งตัวสบาย ๆ แต่วันนี้กลับถูกบังคับให้ใส่ชุดสูท
ฮันเจ๋อหยางนั่งอย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหลังของรถ “พี่ พี่ว่าพ่อกับแม่ทำอะไรกันน่ะ?”
“อืด ๆ อาด ๆ ไม่ยอมลงจากรถมาสักที”
ส่วนฮันเจ๋อเหยียนมีสีหน้าเบื่อหน่าย “ผู้หญิงจะออกจากบ้านทั้งที ก็ต้องเข้าใจเขาหน่อยสิ”
ซูโย่วอี๋พยุงซูหยินมาเดินเล่น เห็นว่าหน้าประตูมีผู้คนมุงอยู่ เธอนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียแล้ว
พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็เห็นคนจากตระกูลฮันลงมาจากรถ
ดวงตาอันเฉียบคมของฮันเจ๋อเหยียนจับจ้องมายังพวกเธอสองคนที่อยู่ไม่ไกลทันที
คนที่อยู่ข้าง ๆ สะกิดซูโย่วอี๋ “คุณรู้จักเหรอ? เหมือนว่าจะมาหาพวกคุณนะ”
ซูโย่วอี๋เข้าใจถึงสาเหตุที่คนมามุงอยู่ที่นี่ในทันที เธอจึงรีบพาคนของตระกูลฮันขึ้นไปชั้นบน
คุณนายฮันยิ้ม “แม่กำลังจะขึ้นไปหาพวกลูกพอดี ดีที่เจอกันก่อน ไม่งั้นคงหากันไม่เจอ”
ซูโย่วอี๋อธิบาย “ฉันไปเดินรับลมกับหยินหยินมาค่ะ”
“อืม เดินเยอะ ๆ หน่อยก็ดี มีของอะไรที่พวกลูกอยากจะเอาไปด้วยไหม?”
เอาไป… ด้วย?
ซูโย่วอี๋งงนิดหน่อย “ไปวันนี้เหรอคะ?”
“จะไปช้าไปเร็วยังไงก็ต้องไปอยู่ดี สู้กลับบ้านให้ไวจะดีกว่า จริง ๆ แล้วข้าวของที่บ้านก็เตรียมไว้เสร็จแล้วนะ แต่แม่กลัวว่าพวกลูกจะมีของใช้ที่คุ้นเคยอยู่ที่นี่เลยมาช่วยขน”
ซูโย่วอี๋เห็นว่ามีผู้ชายที่เธอไม่รู้จัก 2-3 คนตามมาด้วย “พวกเขาคือ…?”
“คนของบริษัทย้ายบ้านน่ะ”
เดิมทีซูโย่วอี๋ไม่ได้มีแผนว่าจะกลับไปไวขนาดนี้ ในหัวจึงกำลังคิดหาข้ออ้าง “ฉันไม่มีของ…”
คุณนายฮันมองไปยังซูหยิน “หยินหยินล่ะ?”
ซูหยินลดสายตาลง “ฉันไม่อยู่กับพวกคุณแล้วค่ะ”
“โย่วอี๋ เธอกลับไปกับคุณป้าเถอะ”
ซูโย่วอี๋หยุดฝีเท้าลง “หยินหยิน เธอรับปากฉันแล้วนะ”
ซูหยินนิ่งเฉย “กลับบ้านตระกูลฮันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ฉันชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”
“แล้วฉันล่ะ?” ซูโย่วอี๋ถามขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
ซูหยินทำหน้าเรียบนิ่ง “ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เธอทำกับข้าวไม่เป็น”
“สั่งมาก็ได้”
“มันไม่ดีต่อสุขภาพ มีลูกแล้วจะทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้นะ”
แบบที่ไม่สนใจอะไรเลย
ฮันเจ๋อหยางแนะนำ “จ้างแม่บ้านเถอะ”
ทุกคนต่างมองไปยังเขา ฮันเจ๋อหยางจึงลูบจมูกของตัวเอง “ก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่”
ซูโย่วอี๋กำลังจะคัดค้าน อย่างไรเสียซูหยินก็ไม่อยากอยู่กับเธอแล้ว จะยอมจ้างแม่บ้านได้อย่างไร
แต่กลับถูกตอกกลับ
ซูหยินตอบตกลงอย่างไม่ลังเล “ก็ได้”
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจในการกระทำทั้งหมดของเพื่อนคนนี้
หลังจากเข้ามาในห้อง ซูโย่วอี๋ตามซูหยินเข้าไปในห้องนอน “หยินหยิน เธออยากให้ฉันกลับไปบ้านตระกูลฮันจริง ๆ หรือเปล่า?”
ซูหยินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช่”
ผ่านไปสักพัก ซูโย่วอี๋รับคำด้วยเสียงต่ำ ๆ “อืม”
“งั้นฉันไปแล้วนะ”
เธอกลับมาที่ห้องนั่งเล่น มองทุกคนที่กำลังรอคำตอบจากการปรึกษากันของพวกเธอสองคน
ซูหยินเปิดปากพูดขึ้น “คุณลุงคุณป้าคะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกคุณกลับเถอะค่ะ”
คุณนายฮันลังเล “แล้วโย่วอี๋ล่ะ?”
“เธอจะไปกับพวกคุณค่ะ”
ใบหน้าของคนตระกูลฮันมีความสุข “ดีจริง ๆ”
ซูหยินดึงมือของคุณนายฮันเข้ามา และเอามือของซูโย่วอี๋วางลงไป “คุณป้าคะ… ฉันฝากโย่วอี๋ด้วยนะคะ”
คุณนายฮันรับปาก “วางใจเถอะ พวกเราจะไม่มีทางทำให้เธอเสียใจ”
ซูหยินดึงมือออกด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “ฉันไม่ไปส่งพวกคุณแล้วนะคะ”
ไม่รอให้ทุกคนจากไป เธอก็กลับห้องไปนอนทันที
คุณนายฮันดึงมือของซูโย่วอี๋ให้เดินออกมา “ไม่ต้องเป็นห่วงหยินหยินหรอก พรุ่งนี้เช้าแม่จะส่งคนมาที่นี่เอง”
เสียงปิดประตูดังขึ้น
ซูโย่วอี๋นิ่งค้างไปไม่นาน
แต่การกลับไปบ้านตระกูลฮันกลับไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิดไว้
ฮันเจ๋อเหยียนตบลงที่ไหล่ของเธอ “น้องสาว ไปกันเถอะ”
ผู้คนที่รอดูอยู่ข้างล่างก็ยังอยู่และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นพวกเขาลงมา รอบ ๆ ตรงนั้นก็เงียบสงบลงในทันที
จนกระทั่งพวกเขาขับรถออกมา กลุ่มผู้คนจึงค่อย ๆ แยกย้ายกันไป
ซูโย่วอี๋และคุณนายฮันนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน คุณนายฮันถามขึ้นมา “โย่วอี๋ ลูกขับรถเป็นไหม?”
“เป็นค่ะ แต่ไม่ได้ขับมาตั้งนานแล้ว”
บริษัทให้ทั้งรถและคนขับ ทำให้เธอไม่ค่อยได้ขับรถไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง
“พรุ่งนี้แม่จะพาลูกไปซื้อรถนะ ลูกชอบแบบไหนล่ะ?”
คุณฮันขยิบตา “ให้ลูกพักผ่อนก่อนเถอะ”
ตลอดทางไม่มีการพูดคุยใด ๆ
รถขับเข้ามาในคฤหาสน์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูยืนตัวตรงและทำความเคารพ
ครั้งที่แล้วที่เธอมา ซูโย่วอี๋และเหมยเหมยถึงกับถอนหายใจให้กับคฤหาสน์หลังนี้ ครั้งนี้กลับมาในฐานะเจ้านายของบ้านเสียแล้ว
โลกนี้ ช่างคาดเดาอะไรได้ยากจริง ๆ
เมื่อรถจอด คุณนายฮันก็รีบลงจากรถและช่วยเปิดประตูรถให้ซูโย่วอี๋ “เสี่ยวอี๋ ถึงบ้านแล้ว”
ซูโย่วอี๋ลงมาจากรถและเดินตามหลังไปเงียบ ๆ
ตรงทางเข้า มีรองเท้าแตะขนฟูอยู่คู่หนึ่ง “นี่แม่พึ่งซื้อมาใหม่ ซักแห้งให้เรียบร้อยแล้วด้วยจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
คุณนายฮันพูดอย่างเคือง ๆ “เด็กคนนี้ ไม่ต้องพูดขอบคุณกับแม่ก็ได้”
“ห้องของลูกอยู่ชั้นสาม ไปดูกันว่าชอบหรือเปล่า”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า
พอเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เธอเห็นฮันเอินจีนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับดวงตาแดงก่ำ
ฮันเอินจีออกไปจากบ้านประมาณหนึ่งเดือนได้แล้ว ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเธอจะกลับมาในตอนนี้
และยังคงเป็นฮันเจ๋อหยางที่พูดขึ้นมาก่อน “เอินจี กลับมาแล้วเหรอ”
“ถ้ายังไม่กลับมา ก็เกรงว่าบ้านนี้จะไม่มีที่อยู่สำหรับฉันแล้วแหละ”
คุณฮันขมวดคิ้ว “เอินจี อย่าพูดอะไรแบบนี้ เสี่ยวอี๋ได้ยินจะไม่สบายใจ”
ดวงตาดื้อรั้นของฮันเอินจีแดงก่ำ “หนูพูดไม่กี่คำเธอก็ไม่สบายใจแล้วเหรอ แล้วที่ทุกคนพาเธอกลับมาโดยไม่พูดอะไรสักคำแบบนี้ เคยถามถึงความสบายใจของหนูบ้างไหม?”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครสักคนบอกหนูเลย!”
“หนูต้องได้ยินจากปากของคนใช้ ถึงได้รู้ว่าทุกคนไปทำอะไรกันมา”
คุณนายฮันไม่อยากให้วันแรกที่ซูโย่วอี๋กลับบ้านมาก็ต้องมีเรื่องทะเลาะกัน “เอินจี มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ ให้เสี่ยวอี๋ไปพักผ่อนก่อน”
ฮันเอินจีลุกขึ้นยืน “เสี่ยวอี๋ ๆ พวกคุณบอกฉันมาสักคำสิว่าแม่ผู้ให้กำเนิดฉันถูกฝังอยู่ที่ไหน? ฉันจะได้ไปหาเธอ จะได้ไม่ต้องถูกพวกคุณรังแกอยู่แบบนี้”
“ใครรังแกเธอกัน?”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น “ฮันเอินจี ถ้าเธออยากรู้จริง ๆ ว่าแม่ของเธออยู่ที่ไหน งั้นตอนนี้ก็ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเลย ค้นหาคนหายในปีนั้น ๆ บางทีอาจจะหาเจอก็ได้”
“ไม่ต้องมาวุ่นวายอยู่ในบ้านตระกูลฮัน”
“ในเมื่อฉันกลับมาแล้ว ก็คงจะต้องพูดให้ชัดเจนว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในบ้านหลังนี้ ฉันคือที่หนึ่ง ส่วนเธอคือที่สอง”
“ถ้าเธอไม่ยินยอม ประตูเปิดอยู่ รีบไปได้เลย”
ฮันเอินจีรู้สึกพูดอะไรไม่ออก
เธอมองดูคนตรงหน้าราวกับว่าเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก
“ซูโย่วอี๋ เธอกล้าพูดกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
“ทำไมจะต้องไม่กล้าด้วยล่ะ?“
“เมื่อก่อนฉันนับถือว่าเธอเป็นอาจารย์ เป็นรุ่นพี่ในวงการ ตอนนี้จะให้ฉันนับถืออะไรได้อีก?”
“ความสำเร็จ เธอก็สู้ฉันไม่ได้ ความสามารถ เธอก็สู้ฉันไม่ได้ แม้แต่สถานะที่น่าภาคภูมิใจของเธอในฐานะลูกสาวของตระกูลฮันก็เป็นของปลอมทั้งหมด”
“ทำไมฉันจะพูดแบบนี้กับเธอไม่ได้กันล่ะ”
ฮันเอินจีแทบทรุด เธอมองไปยังคนที่เคยเป็นพ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง เพราะอยากให้มีสักคนที่ออกหน้ามาช่วยเธอ แต่ทุกคนกลับเอาแต่เงียบ
“พวกคุณไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเหรอ?”
ซูโย่วอี๋มองด้วยสายตาเย็นชา “ฉันจะไม่บังคับให้เธอออกไปจากบ้านตระกูลฮัน แต่ถ้าเธออยากจะอยู่ก็ต้องมีกฎเกณฑ์ในการอยู่ มาคอยหาเรื่องฉันทุกวี่ทุกวันขนาดนี้ ฉันทนไม่ได้”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าให้คู่สามีภรรยาตระกูลฮัน “ฉันกลับห้องก่อนนะคะ”
เสียงเดินขึ้นไปชั้นบนชัดเจนมากในกลางดึกแบบนี้
ห้องพักของเหล่าคนรับใช้อยู่ชั้นหนึ่ง เดิมทีพวกเธอควรจะออกมาดูเจ้านายว่าต้องการอะไรไหม แต่ตอนนี้ทุกคนกลับแอบอยู่ในห้อง ไม่กล้าออกมา
ทำได้เพียงเอาหูแนบแอบฟัง
บทสนทนาเมื่อครู่นี้ฟังแล้วดูเหมือนว่าคุณซูที่พึ่งมาใหม่นั้นจะเป็นคนไม่ยอมคน
คุณฮันถอนหายใจออกมา “เอินจี เสี่ยวอี๋พึ่งมาอยู่ใหม่ ยังไม่คุ้นเคยกับตระกูลฮัน ลูกไม่ควรหาเรื่องเธอนะ”
“ถ้าหากไม่อยากอยู่ที่บ้าน จะไปอยู่ที่ของลูกเองก็ได้”
ลูกสาวลูกชายตระกูลฮันต่างก็มีบ้านเป็นของตัวเอง
ฮันเอินจีไม่อยากจะเชื่อ “นี่พ่อ พ่อไล่หนูงั้นเหรอ?”
คุณฮันไม่ได้ตอบกลับ “เจ๋อเหยียน เลิกระงับบัตรของเอินจีได้แล้ว เด็กผู้หญิงมีเรื่องต้องใช้เงินเยอะแยะไป”
คุณนายฮันแทบทนไม่ไหว แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของฮันเอินจีแล้ว ถ้าเธอยังอยู่ที่บ้านจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ “เอินจี ลูกฟังที่พ่อของลูกพูดเถอะ”
ฮันเอินจีหยิบถุงของขวัญบนโต๊ะโยนลงพื้น จนชุดน้ำชาแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ
“พวกคุณเป็นพ่อกับแม่ที่ดีมากจริง ๆ หนูแทบไม่มีเงินกินข้าวอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะซื้อของขวัญให้พวกคุณ แล้วพวกคุณก็มาทำอย่างนี้กับหนู”
“เงินหนูก็ไม่ต้องการมันแล้ว หนูหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้”
เธอหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปเลย
คุณฮันเรียกเธอเอาไว้ ฮันเอินจีไม่อยากจะสนใจและอยากทิ้งทุกสิ่ง แต่ก็ยังอยากจะรอดูว่าพ่อจะรั้งเธอไว้บ้างไหม
“มีเรื่องหนึ่งที่พ่อต้องบอกลูก”
“อะไรคะ?”
“วันที่ห้าของเดือนนี้ ฮันกรุ๊ปจะจัดงานแถลงข่าวเพื่อประกาศสถานะของลูกกับเสี่ยวอี๋ให้ชัดเจน”
ฮันเอินจีกำมือทั้งสองข้างแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา “แล้วแต่เลย หนูไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกคุณอีกแล้ว พวกคุณอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย”
และเธอก็ก้าวเท้าออกไป
เสียงรถดังขึ้น หลังจากนั้นทั้งคฤหาสน์ก็เงียบสงบลงอีกครั้ง
ฮันเจ๋อหยางมองพ่อกับแม่และมองไปยังฮันเจ๋อเหยียน “พ่อกับแม่ทำเกินไปหรือเปล่า?”
จะพูดยังไงฮันเอินจีก็ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลฮันมาตลอด 24 ปี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเธอเลย
น้ำเสียงเย็นชาของฮันเจ๋อเหยียนดังขึ้น “ไม่ใช่ว่าพวกเราทอดทิ้งเธอ แต่เป็นเธอที่ไม่พยายามยอมรับความจริงและทอดทิ้งพวกเราไปก่อน”
“ในสายตาของเธอ การเป็นคนของตระกูลฮันสำคัญมากกว่าพ่อกับแม่และก็พวกเรา”
ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ความทุกข์ทรมานที่ฮันเอินจีได้รับจะยังไม่มากพอ
อย่างน้อย ๆ ก็ไม่สามารถให้เธอรับรู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ได้