บทที่ 329 พี่ชาย ขอแรง ๆ ค่ะ
บทที่ 329 พี่ชาย ขอแรง ๆ ค่ะ
หลังจากกินจนอิ่มแล้ว ซูโย่วอี๋ก็ใช้ประโยชน์จากฝูงชนและเอากระเป๋าเงินให้กับเจ้าจิ้งจอกเน่า จากนั้นก็ไปที่สวนสนุกกับลู่เฉิน
แม้ว่าวันนี้สวนสนุกจะปิดดึก แต่ก็ไม่มีการแจ้งให้ผู้คนทราบ ซึ่งทันทีที่มาถึงนักท่องเที่ยวก็ได้ออกไปแล้ว
เวลานี้ในสวนสนุกเงียบสงัด มีเพียงแสงไฟเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่
เมื่อลู่เฉินพาซูโย่วอี๋ไปที่ประตู ผู้ดูแลก็ออกมาพร้อมกับพนักงานทุกคน “สวัสดีครับ คุณลู่”
ลู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องใช้คนเยอะขนาดนี้ก็ได้ เหลือพนักงานไว้สักคนสองคนคอยควบคุมเครื่องจักรก็พอ”
ผู้ดูแลรู้ว่าลู่เฉินไม่ต้องการให้คนรบกวนจึงตอบรับ “ได้ครับ”
เขาเลือกคนสองคนที่คุ้นเคยกับสิ่งอำนวยความสะดวกและการดำเนินงานของสวนสนุกให้อยู่ต่อ
“ประธานลู่ คุณซู ขอให้พวกคุณสนุกนะครับ หากต้องการอะไร โปรดติดต่อผมได้โดยตรง ผมอยู่ตรงนี้เสมอ”
ทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เฉินกุมฝ่ามือของซูโย่วอี๋ “คุณอยากเล่นอันไหนก่อน?”
ซูโย่วอี๋ยังไม่ได้ตอบ แต่เสียงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ดังมาจากด้านหลัง “ผมอยากเล่นด้วย”
ถ้าไม่ใช่เจ้าจิ้งจอกเน่าแล้วจะใครล่ะ?
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหยุดเขาและปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าไป “เด็กน้อย สวนสนุกปิดแล้ว ถ้าอยากเล่นก็กลับมาพรุ่งนี้นะ”
เจ้าจิ้งจอกเน่าชี้ไปที่ซูโย่วอี๋อย่างไม่เข้าใจ “แล้วทำไมพวกเขาถึงเล่นได้ล่ะ?”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอายนิดหน่อย ตอบว่าไงดีล่ะ?
เขากำลังจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่ซูโย่วอี๋ก็กล่าวว่า “ให้เขาเข้ามาเล่นด้วยกันเถอะค่ะ”
เธอจับมือของลู่เฉินอีกครั้ง “พี่ชายไม่ว่าใช่ไหมคะ?”
ลู่เฉินหรี่ตา “โย่วอี๋ เขาดูคล้ายคน ๆ หนึ่งอยู่นะ”
ตอนนั้นเองที่ซูโย่วอี๋นึกขึ้นได้ว่าลู่เฉินเคยเห็นเจ้าจิ้งจอกเน่าที่คลับของเสี่ยวเหล่าซานนี่นา
เธอไม่ได้คาดหวังว่าความทรงจำของอีกฝ่ายจะดีขนาดนี้ กระทั่งจำร่างย่อส่วนได้ด้วย
ลู่เฉินโบกมือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปล่อยเขาเข้ามา
เจ้าจิ้งจอกเน่ารีบวิ่งไปที่ด้านข้างของซูโย่วอี๋และเลิกคิ้วขึ้นเงียบ ๆ
เธอกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัวสื่อสารกันในใจว่า ‘นายอยากเล่นอะไร?’
เจ้าจิ้งจอกเน่าโกรธมาก ‘ยิ่งน่าตื่นเต้นยิ่งดี ฉันจะเล่นยักษ์ตกตึกกับรถไฟเหาะ’
‘แน่ใจนะ? นายยังเด็กอยู่เลยนะ อย่าทำใจกล้านักเลย ฉันกลัวนายจะตกใจกลัวจนตายซะก่อน’
รถไฟเหาะในสวนสนุกแห่งนี้อันตรายถึงตายจริง ๆ
“ซู่จู่ คุณควรกังวลเกี่ยวกับตัวเองมากกว่านะ”
ท้ายที่สุด ซูโย่วอี๋ก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย เธอปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งรถไฟเหาะด้วย
เจ้าหน้าที่เดินเครื่อง ส่วนคนที่เหลือก็พาขึ้นไปนั่งบนเครื่อง
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “เจ้าหนู เธออยากนั่งที่ไหน?”
เจ้าจิ้งจอกเน่าเดินไปที่แถวแรกโดยเชิดหัวขึ้นสูง พนักงานเห็นก็พูดไม่ออก “เจ้าหนู พ่อแม่ของเธออยู่ที่ไหน? เครื่องเล่นนี่อันตรายเกินไป พวกเราไม่กล้าให้เธอนั่งโดยไม่มีผู้ปกครองหรอกนะ”
“จริง ๆ ม้าหมุนก็สนุกมากเหมือนกัน”
เจ้าจิ้งจอกเน่าย่นจมูกด้วยความไม่พอใจ “ผู้ชายที่ไหนเล่นม้าหมุนกัน”
“แล้วผมก็มีผู้ปกครอง”
พนักงานมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นใคร “อยู่ที่ไหนกัน?”
เจ้าจิ้งจอกเน่าชี้ไปที่ซูโย่วอี๋ “นั่นไง เธอเป็นพี่สาวของผม”
ซูโย่วอี๋ยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นเรียกพี่สาวให้ฟังหน่อยสิ”
เจ้าจิ้งจอกเน่าจ้องมองเธอและพูดอย่างไม่เต็มใจ “พี่สาว”
“เด็กดี”
พนักงานทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากลู่เฉิน “คุณลู่ คุณคิดยังไงครับ?”
“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสามนั่งลง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยทีละคน หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหา พวกเขาก็แจ้งคอนโซลกลางว่าเริ่มได้
รถไฟเหาะไต่ขึ้นอย่างช้า ๆ
ลู่เฉินกุมมือซูโย่วอี๋ “คุณรู้จักเด็กนี่เหรอ?”
เขารู้สึกว่าทั้งสองดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เหมือนกับว่ารู้จักกันมานานอย่างไรอย่างนั้น
ซูโย่วอี๋แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “พี่ชายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรคะ? ฉันไม่รู้จักเขาสักหน่อย”
“อีกไม่นานมันก็จะไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ฉันกลัวจัง”
แม้จะทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง แต่ในใจซูโย่วอี๋รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ลู่เฉินสังเกตว่ามือของเธอสั่น
รถไฟเหาะหยุดที่จุดสูงสุดและไม่เคลื่อนไหว
มันหยุดเพียงแป๊ปเดียวเพื่อรอความตื่นเต้นที่กำลังจะมาถึง
ซูโย่วอี๋เอาชนะความกังวลใจของเธอและตะโกนว่า “พี่ชายรักฉันไหมคะ?”
เสียงนั้นลอยหายไปในท้องฟ้า
เจ้าจิ้งจอกเน่าที่กลัวแทบตายก็ยังสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น “อย่ามาโรยอาหารหมาตอนนี้ได้ไหม?”
วินาทีต่อมา รถไฟเหาะก็โฉบลงมา
ภาวะไร้น้ำหนักเหมือนกับการกระโดดลงมาจากตึกไม่มีผิด
เจ้าจิ้งจอกเน่าร้องลั่นเหมือนหมูถูกเชือด “อ๊ากกกกก ๆ ๆ ๆ”
“ช่วยด้วย อ๊ากกก”
พร้อมกับเสียงลมหวีดหวิวในหู ซูโย่วอี๋ได้ยินลู่เฉินพูดว่า “ชีวิตนี้ผมจะรักคุณคนเดียวเท่านั้น”
น้ำตาของซูโย่วอี๋พลันไหลออกมา
โชคดีที่สายลมได้พัดน้ำตาออกไป ลู่เฉินเลยไม่ได้สังเกต
เมื่อรถไฟเหาะกลับมายังตำแหน่งเดิม เจ้าจิ้งจอกเน่าก็วิ่งออกไปพร้อมกับจับถังขยะและอาเจียนออกมา
หลังจากเล่นรถไฟเหาะ เจ้าจิ้งจอกเน่าก็หมดสภาพ เขาไม่มีความตื่นเต้นเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
ไม่ต้องพูดถึงการเล่นยักษ์ตกตึก
หลังจากเดินผ่านม้าหมุน ซูโย่วอี๋ก็ทำตัวเหมือนเด็กน้อย “พี่ชาย…”
“ตกลง” ลู่เฉินตอบทันที
ซูโย่วอี๋ทำหน้ามุ่ย “ฉันยังไม่ได้เลยบอกว่าฉันอยากจะทำอะไร?”
“คุณไม่ได้อยากนั่งนี่เหรอ?”
เจ้าหน้าที่เปิดไฟของม้าหมุนทันทีอย่างรู้ทัน บรรยากาศตอนนี้ราวกับว่าหลุดเข้าไปในปราสาทในเทพนิยาย
สัตว์ทุกชนิดเคลื่อนผ่านไปมา
ซูโย่วอี๋เห็นตัวเองและลู่เฉินในกระจก
พวกเขาใกล้กันมาก
แต่เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นตอนสิบสองนาฬิกา ก็ถึงเวลาตื่นจากความฝัน
ซูโย่วอี๋ยื่นโทรศัพท์มือถือให้พนักงาน “ไม่นั่งแล้ว ถ่ายรูปให้เราด้วยค่ะ”
ซูโย่วอี๋กอดลู่เฉินพลางพิงรั้วของม้าหมุน หน้ากากจิ้งจอกปกปิดใบหน้าที่บานสะพรั่งของเธอ แต่เธอยังยกยิ้มมีความสุข
พนักงานตะโกนว่า “หนึ่ง สอง สาม”
“ชีส”
หลังจากถ่ายรูปแล้ว ซูโย่วอี๋ก็รับโทรศัพท์ของเธอคืนเพื่อดูว่ารูปถ่ายเป็นอย่างไรบ้าง
เธอพบว่าลู่เฉินไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่
จริงจังเหมือนคนแก่ที่สวมหน้ากากยักษ์เลย น่ากลัวชะมัด
ซูโย่วอี๋มองดูอยู่นาน ลู่เฉินเลยคิดว่าเธอไม่พอใจ “เธออยากถ่ายอีกสักสองรูปไหม?”
“ไม่ค่ะ กลับบ้านกันเถอะ”
ลู่เฉินพยักหน้า
เจ้าหน้าที่ส่งพวกเขาไปที่ประตูสวนสาธารณะ “ประธานลู่ คุณซู หากทางเราบริการไม่ดีโปรดอภัยให้ด้วยนะครับ”
ใบหน้าของเจ้าจิ้งจอกเน่ายังดูหมดสภาพ ซึ่งเขาก็หาสถานที่ที่จะแยกทางกับทั้งสองคนแล้วกลับสู่พื้นที่ระบบ
เป่ยสืออี้ผิน
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับซูหยิน ซูโย่วอี๋ก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านนี้เลย
หลังลู่เฉินเปลี่ยนรองเท้าและเข้าไปในห้อง ซูโย่วอี๋ก็กอดเขาจากด้านหลัง “ลู่เฉิน”
“หือ?”
“มามีลูกกันเถอะ”
เสียงของลู่เฉินต่ำและแหบแห้ง “คุณพูดเองนะ”
ว่าแล้วเขาก็ดึงซูโย่วอี๋เข้ามาในอ้อมแขนแล้วบดจูบริมฝีปากบางของเธอ
การโจมตีของลู่เฉินดำเนินไปอย่างดุเดือด ซูโย่วอี๋หายใจได้เดี๋ยวเดียวเขาก็เข้ามาพัวพันจนหายใจติดขัดอีกครั้ง
จนกระทั่งเธอจะหายใจไม่ทัน ลู่เฉินถึงปล่อยเธอไป
ซูโย่วอี๋ดันหน้าผากของเขาไว้ “คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ”
มือของลู่เฉินที่เอวของเธอล็อคแน่นมาก และเขาไม่ยอมคลายเลย
ซูโย่วอี๋หลุบตาลงอย่างเขินอาย “ฉันมีเซอร์ไพรส์ให้คุณ แต่ขออาบน้ำก่อนได้ไหมคะ?”
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เฉินก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนปนออดอ้อน “ตกลง”
เสียงน้ำในห้องน้ำดังขึ้น ทางซูโย่วอี๋ล็อกประตูและเข้าไปในระบบ
เนื่องจากการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของซู่จู่ เจ้าจิ้งจอกเน่าจึงมองเห็นแค่ภาพโมเสกเท่านั้น
ไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าทั้งสองกำลังทำกิจกรรมใดที่ไม่เหมาะกับเด็ก
[ซู่จู่ ทำไมคุณถึงเข้ามาในเวลานี้]
หรือคุณลู่ปฏิเสธ?
!
ซูโย่วอี๋ตบหัวมัน “ตอนนี้ฉันต้องการยาที่เพิ่มโอกาสมีลูก แต่ฉันไม่มีเม็ดช็อกโกแลตแล้ว ฉันควรทำยังไงดี?”
เจ้าจิ้งจอกเน่ากระดิกหางอย่างไม่ร้อนรน [ถ้าไม่มีช็อกโกแลตก็เลิกคิดได้เลย]
หลังจากอยู่กับระบบมานาน ซูโย่วอี๋จึงรู้ว่าจิ้งจอกเน่าไม่ได้ตั้งใจจะกวนเธอ “ฉันคงทำได้แค่จับสลากเท่านั้นสินะ”
หลังจากคลิกที่หน้าจับสลาก เธอก็รีบกดปุ่มเริ่ม
เข็มยาวหมุนอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็หยุดอย่างลง
เมื่อวัตถุบินออกไปและตกลงตรงหน้า เจ้าจิ้งจอกเน่าก็อ้าปากกว้าง [ซู่จู่ คุณต้องใช้เส้นแน่ ๆ]
ซูโย่วอี๋เอื้อมมือไปหยิบยา “เจ้าจิ้งจอกเน่า นายคิดว่านี่เป็นประสงค์ของพระเจ้าหรือเปล่า?”
[ซู่จู่] เจ้าจิ้งจอกเน่าถอนหายใจ “คืนนี้ขอให้สนุกนะ”
ซูโย่วอี๋กินยาไปแล้ว แต่ร่างกายไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อออกจากพื้นที่ระบบมา เธอก็ได้ยินเสียงลู่เฉินเคาะประตู
ซูโย่วอี๋เปิดประตูออก กลิ่นลูกพีชจากเจลอาบน้ำโชยมายังใบหน้าของเธอ
ลู่เฉินสวมชุดนอนสีเทาคอเปิด และมีหยดน้ำใสพร่างพราวเกาะอยู่บริเวณกระดูกไหปลาร้าของเขา
เธอมองดูกลูกกระเดือกที่เซ็กซี่ของอีกฝ่าย ก็เลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
“คุณทำอะไรอยู่ข้างในน่ะ?”
“อืม… กำลังหาของอยู่น่ะ”
“เจอหรือเปล่า?”
วันนี้มันหนาวมาก แต่ซูโย่วอี๋กลับร้อนจนคอของเธอมีเหงื่อออก “กะ… ใกล้แล้ว”
“คุณ… ออกไปก่อน”
ซูโย่วอี๋จับลูกบิดประตู แต่ถูกลู่เฉินกันไว้ พร้อมใช้อีกมือหนึ่งเขย่าถุง “คุณกำลังมองหามันอยู่หรือเปล่า?”
ซูโย่วอี๋เหลือบมองมัน ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอาย “ทำไมมันถึงอยู่กับคุณได้?”
มันคือชุดชั้นในเซ็กซี่สีดำที่เธอซื้อตอนไปซื้อของด้วยกันกับซูหยินก่อนหน้านี้ ลู่เฉินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมบังเอิญเจอตอนหาเสื้อผ้า”
เขาลดเสียงลงเพื่อยั่วยวนเธอ “คุณอยากใส่ให้ผมดูไหม?”
ซูโย่วอี๋อยากจะขุดหลุมกลบตัวเอง แต่แล้วเธอก็คิดได้ว่าควรจะใส่มันตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ?
สุดท้ายจึงกัดความกระดากอายลงไป “ถ้าพี่ชายชอบ ฉันจะใส่ให้ดู”
ลู่เฉินเชิดคางเธอขึ้น “แมวน้อยจอมขี้เกียจ มองตาผมแล้วพูดสิ”
แต่ซูโย่วอี๋กลับฉกกระเป๋าแล้วหนีไป
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็เจอปัญหาอีกครั้ง จะใส่หรือไม่ใส่ดี? ผ้านี้บางจนแทบไม่ปิดอะไรเลย เป็นชุดนอนที่ไม่ได้นอนของแท้
แต่เมื่อนึกถึงการที่ทั้งสองต้องแยกจากกัน ซูโย่วอี๋ก็กัดริมฝีปากของเธอแล้วสวมมัน
ก่อนสวมชุดคลุมทับแล้วออกไป
ลู่เฉินกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง เมื่อเห็นเธอเข้ามาก็ปิดหนังสือด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย ใช้สายตามองไปอย่างสัตว์ร้ายทำให้ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
เธอเดินไปที่เตียงและนั่งลง
ลู่เฉินโน้มตัวเข้าไปใกล้คอของเธอแล้วสูดกลิ่น “กลิ่นหอมมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณต้องอาบนานขนาดนี้”
ฝ่ามือที่ลุกเป็นไฟของเขาสัมผัสเชือกที่มักรอบเอวของเธอ
ซูโย่วอี๋รีบกดมือของเขา “ปิดไฟก่อนค่ะ”
ลู่เฉินไม่ฟัง เขาก้มลงสอดมือผ่านส่วนโค้งที่ขา แล้วอุ้มเธอไปที่เตียงแล้ววางเธอไว้ใต้ร่างเขา
“ผมยังไม่เห็นเสื้อผ้าชิ้นน้อย ๆ ที่คุณใส่ให้ผมเลย”
เสื้อผ้าชิ้นน้อย ๆ…
ซูโย่วอี๋หลับตาและรวบรวมความกล้า “พี่ชายอยากเห็นมันไหมคะ?”
แก้มของเธอแดงก่ำ ขนตาบางที่เรียงกันเป็นแพทอดเงาลงบนใบหน้าของเธอ
ดวงตาของลู่เฉินมืดครึ้มลง “อยากสิ”
เขาเอื้อมมือไปเปลี่ยนไฟที่ส่องสว่างเป็นไฟตอนกลางคืน และห้องก็ย้อมไปด้วยแสงสลัว ๆ
ลู่เฉินเปิดชุดคลุมออก เผยให้เห็นเรือนร่างสุดเย้ายวน
ผ้าลูกไม้สีดำพันรอบหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่ ๆ
มันตัดกันกับผิวหนังที่เปลือยเปล่า
ลู่เฉินก้มศีรษะลงและจูบผิวที่ขาวราวกับหยก เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พยายามสงบสติอารมณ์ “ถ้าผมทำคุณเจ็บ บอกผมนะ”
“ผมจะหยุด”
ซูโย่วอี๋กัดริมฝีปากของเธอ “พี่ชาย”
“ขอแรง ๆ ค่ะ”