บทที่ 331 เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร
บทที่ 331 เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร
ซูหยินหยุดพักเรื่องงานไปสักพักแล้ว แต่เพราะเธอตั้งครรภ์จึงมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กติดต่อซูหยินเพื่อถ่ายโฆษณาจำนวนมาก และยังส่งผลิตภัณฑ์มาให้เธอชุดใหญ่
ซูหยินที่รู้สึกว่าง ๆ เบื่อ ๆ จึงได้ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือได้มาลองใช้ดู
พ่อกับแม่ของกู่อวี๋เฉิงต้มน้ำซุปเพื่อบำรุงร่างกายมาให้เธออยู่บ่อย ๆ แถมยังอยู่เป็นเพื่อนคุยเล่นกับเธอด้วย
กลับกันกับซูโย่วอี๋ที่จู่ ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
ทันใดนั้น สุ่ยเวยโทรศัพท์มาหาเธอ น้ำเสียงจากปลายสายดูดีใจ “[คุณซู คุณลองดูหรือยังว่าปีนี้มีภาพยนตร์หรือรายการวาไรตี้ที่คุณอยากเข้าร่วมบ้างไหม?]”
ตอนนี้ซูโย่วอี๋เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นอันดับสองของบริษัท!
แน่นอนว่าการที่อีกฝ่ายโทรมาเป็นเหมือนการขออนุญาต ทุก ๆ เรื่องจะต้องถามความคิดเห็นของเธอก่อน
แต่พอซูโย่วอี๋บอกไปว่าอยากจะพักผ่อนสักพัก สุ่ยเวยก็เข้าใจในทันที
ตอนนี้คนในบริษัทพากันพูดถึงสาเหตุที่ซูโย่วอี๋ซื้อหุ้นในบริษัทเทียนฉีเอาไว้ว่ามีความเป็นไปได้อยู่สองข้อ ข้อแรกเธอสนใจประธานลู่และต้องการใช้เงินเพื่อมัดใจเขา
คำพูดพวกนี้ถูกพูดต่อ ๆ กันไปอย่างสนุกสนาน แต่พอเวลาผ่านไปก็ไม่มีใครพูดถึงมันอีก จุดสำคัญก็เพราะว่าซูโย่วอี๋ไม่เคยไปที่บริษัทเลย เธอไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่เวลาตามจีบใครสักคนแล้วจะต้องพยายามมาเจอหน้าลู่เฉินบ่อย ๆ
หลังจากนั้นการคาดเดาในข้อที่สองก็ตามมา ว่าการที่เธอลุงทุนกับบริษัทนี้ก็เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการแสดงของตัวเอง
แต่เมื่อปีที่แล้วก็ถือได้ว่าซูโย่วอี๋นั้นพยายามพิสูจน์ตัวตนเป็นอย่างมาก เธอทั้งแสดงภาพยนตร์ แสดงละคร และร้องเพลงมากมาย แต่ปีนี้ราวกับว่าเธอไม่ได้สนใจมันอีกแล้ว
นานวันเข้าก็ไม่มีใครเดาได้ว่าคนที่ร่ำรวยอย่างเธอต้องการทำอะไรกันแน่
แต่ในตอนนี้ บรรพบุรุษของเธอคงจะนอนตายตาหลับที่มีลูกหลานร่ำรวยขนาดนี้
เข้าช่วงเดือนมีนาคม อากาศอบอุ่นขึ้นมาก ในห้องนอนของซูโย่วอี๋มีระเบียงขนาดใหญ่ที่ปูด้วยพรมนุ่มและยังมีโซฟานิ่ม ๆ อยู่อีกสองตัว
ช่วงนี้ในตอนกลางคืน ซูโย่วอี๋ชอบนั่งดูดาวพร้อมกับดื่มแชมเปญอยู่ที่ตรงนี้มาก
ลมหนาวในตอนกลางดึกพัดเข้ามา ทำให้ซูโย่วอี๋สบายใจ
ก๊อก ๆ ๆ
แต่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ”
ซูโย่วอี๋ตะโกนออกไปโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง
ฮันเจ๋อเหยียนถือปิ้งย่างแบบไม้เข้ามาและว่างลงบนโต๊ะ จากนั้นทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ
ซูโย่วอี๋พูดขึ้น “ฉันกำลังอยากกินอยู่พอดี”
ฮันเจ๋อเหยียนตอบกลับด้วยเสียงอันอบอุ่น “พี่ให้ร้านใส่พริกน้อย ๆ ลองกินดูสิ”
ซูโย่วอี๋หยิบไม้ปิ้งย่างที่เป็นเนื้อแกะขึ้นมาไม้นึงแล้วใส่เข้าไปในปาก แต่จู่ ๆเธอกลับมีสีหน้าไม่ค่อยดี
ฮันเจ๋อเหยียนลูบที่หลังของเธอเบา ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เนื้อไม่อร่อยเหรอ?”
พูดจบเขาก็หยิบปิ้งย่างที่เหลืออยู่ขึ้นมาลองชิมไม้นึง รถชาติปกติ เนื้อก็สดใหม่ดีนี่?
ทันใดนั้นความคิดที่แปลกประหลาดก็เด้งขึ้นมาในหัวของซูโย่วอี๋ เธอท้องหรือเปล่านะ?
“น้องสาว?”
ฮันเจ๋อเหยียนร้องเรียกเธออยู่หลายครั้ง ซูโย่วอี๋ถึงได้สติ “หืม?”
“พี่เรียกฉันเหรอ?”
“เธอป่วยหรือเปล่า?”
ซูโย่วอี๋พยายามหลบสายตาเป็นกังวลของอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วง พอดีช่วงนี้กินเยอะไปหน่อย ท้องไส้เลยไม่ค่อยดี”
ฮันเจ๋อเหยียนรีบเก็บปิ้งย่างในทันที “งั้นก็ไม่ต้องกินของแบบนี้แล้ว พี่ผิดเองที่ไม่ถามเธอก่อน”
“รีบพักผ่อนเถอะ อย่าดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปล่ะ”
ฮันเจ๋อเหยียนลงไปชั้นล่างและเจอกับฮันเจ๋อหยางพอดี เลยส่งปิ้งย่างในมือให้เขาไป “อ่ะ เอาไปกินซะ”
ไม่ต้องใช้ความคิดก็รู้ว่าซื้อมาให้ซูโย่วอี๋ “โห่พี่ พอน้องสาวไม่กินก็เอามาทิ้งที่ผม พี่นี่ไม่ได้หน้าหนาแบบธรรมดา ๆ แล้วนะ”
ฮันเจ๋อเหยียนมองเขานิ่ง “จะกินไม่กินก็แล้วแต่”
ส่วนฮันเจ๋อหยางที่ได้กลิ่นหอมลอยมา “ช่างเถอะ กินของเหลือจากน้องสาวของตัวเองก็ไม่ขายหน้าเท่าไหร่หรอก”
อีกด้าน ซูโย่วอี๋ล็อกประตูและเข้าสู่พื้นที่ของระบบ
“เจ้าจิ้งจอกเน่า รีบมาดูเร็ว ๆ ว่าฉันท้องหรือเปล่า?””
สุนัขจิ้งจอกรีบออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากที่มันกวาดตามองร่างกายของซูโย่วอี๋ก็พูดขึ้น [ซู่จู่ คุณท้องได้ 4 สัปดาห์แล้ว]
ซูโย่วอี๋นิ่งเงียบไป “เรื่องจริงสินะ”
เธอตั้งท้องลูกของลู่เฉินแล้ว
ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงลูบเบา ๆ ที่หน้าท้อง “ลูกของฉัน”
เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองเอาแต่ดื่มแชมเปญ ต่อให้ระดับแอลกอฮอล์จะไม่สูง แต่ซูโย่วอี๋ก็ยังรู้สึกผิดมาก “ขอโทษนะ ต่อไปแม่จะไม่ดื่มอีกแล้ว”
แต่เจ้าสุนัขจิ้งจอกดูไม่ค่อยมีความสุข [ซู่จู่ คุณจะบอกกับคนในตระกูลฮันยังไงเรื่องเด็กคนนี้?]
“ไม่รู้”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น “นายให้ฉันมีความสุขหน่อยไม่ได้เหรอ เรื่องวุ่นวายไว้ค่อยคิดได้ไหม”
“เจ้าจิ้งจอกเน่า นายว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?”
[ได้หมดเลย ฉันชอบหมด แต่หวังว่าเด็กจะโตมาเหมือนพ่อนะ]
เธอมีลู่เฉินอยู่ข้าง ๆ กายแล้ว
มีคำพูดมากมายที่เจ้าสุนัขจิ้งจอกอยากพูด แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้
ช่างเถอะ ให้ซู่จู่ดีใจไปก่อนสักสองวันดีกว่า
หลังจากที่รู้ว่าตัวเองท้องซูโย่วอี๋ก็หาคู่มือคุณแม่มือใหม่มาอ่าน ทุกวันเธอรีบนอนและตื่นแต่เช้า หลังพระอาทิตย์ขึ้นเธอก็จะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้กับคุณนายฮันเป็นเวลาชั่วโมงนึง
เธอเริ่มมีวินัยในการกิน เธอต้องกินข้าวให้ครบสามมื้อ อะไรที่กินไม่ได้เธอก็จะไม่ฝืนกิน
ส่วนเจ้าสุนัขจิ้งจอกทำหน้าที่เหมือนผู้ดูแลที่ค่อยตามเธอตลอด 24 ชั่วโมง อะไรที่ซูโย่วอี๋ไม่มั่นใจก็จะถามเขาตลอด “อันนี้กินได้ไหม?”
“อันนี้ใช้ได้ไหม?”
คนในตระกูลฮันมองดูท่าทางและอารมณ์ของซูโย่วอี๋ที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็พากันวางใจไปไม่น้อย
ในวันหนึ่ง ตอนที่เธอไปเดินเล่นในตอนเช้า คุณนายฮันพูดกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างเอ็นดู “เสี่ยวอี๋ อีกสองวันก็วันเกิดลูกแล้ว ลูกอยากทำอะไรไหม?”
“ให้ทุกคนมากินข้าวด้วยกันค่ะ”
ตั้งแต่เล็กจนโต ในวันเกิดของเธอทุกอย่างนั้นช่างแสนจะธรรมดา
“แม่กับพ่อก็คิดเหมือนกัน นี่เป็นปีแรกที่ลูกกลับมาบ้านตระกูลฮัน แม้ว่าก่อนหน้านี้เราจะประกาศสถานะของลูกในงานแถลงข่าวไปแล้ว แต่ลูกกับคนตระกูลอื่น ๆ ก็ยังไม่เคยพบกันเลย”
“เราจะใช้โอกาสนี้แนะนำลูกให้พวกเขาได้รู้จัก ไม่ว่าต่อไปจะได้ติดต่อกันหรือเปล่า อย่างน้อย ๆ ก็ยังพอคุ้นหน้ากันบ้าง”
ไม่ต้องถึงขั้นสนิทมากก็ได้
“ลูกเองก็ลองมองหาคนที่เข้าตามาเป็นเพื่อนกันก็ได้นะ”
สายตาของคุณนายฮันนั้นตรงไปตรงมาในแบบที่ตรงมากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เธออยากจะแนะนำให้ซูโย่วอี๋รู้จักกับชายหนุ่มสักคน
ซูโย่วอี๋เงียบไป ถ้าหากว่าพ่อกับแม่รู้ว่าเธอท้องจะมีปฏิกิริยาอย่างไรนะ
“ตอนนี้หนูยังไม่อยากมีใคร”
คุณนายฮันแค่ยิ้ม ๆ “แค่ถือซะว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้จ้ะ ถ้าชอบก็ลองพูดคุยกันดู ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เสี่ยวอี๋ของพวกเราจะต้องเลือกคนที่ดีมาเป็นสามีได้แน่นอน”
งานเลี้ยงวันเกิดถูกเตรียมการขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่โรงแรมระดับเจ็ดดาวแห่งเดียวในประเทศจีน และนั้นก็คือโรงแรมที่ไป๋เสิ่นเฉียวทำงานอยู่ โรงแรมเซิ่งชิงเฟิง
ตระกูลฮันใจป้ำถึงขั้นเลือกห้องจัดเลี้ยงที่แพงมากที่สุด เรียกได้ว่าหรูหราราวกับพระราชวังได้อย่างไม่เกินจริงเลยสักนิด
ตอนที่ฮันเอินจีบรรลุนิติภาวะ พวกเขาก็เคยจัดงานที่นี่เหมือนกัน
แต่กฎเกณฑ์ในครั้งนี้มีแต่จะสูงมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งแรก
คู่สามีภรรยาฮันเลือกคนมาร่วมงานด้วยความระมัดระวัง พวกเขาส่งคำเชิญไปยังตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของปักกิ่ง
ซูโย่วอี๋มองดูการ์ดเชิญที่กองอยู่บนโต๊ะ อันที่อยู่ด้านบนสุดเป็นของตระกูลลู่
คนที่อยู่บ้านตระกูลลู่ตอนนี้คือพ่อของลู่เฉินอย่างลู่ถิงหยวน แต่ตามธรรมเนียม ลู่เฉินจะถูกเรียกว่านายน้อยลู่ และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ในบ้านของพวกเขาจะไม่ค่อยดี คุณนายฮันจึงเขียนคำเชิญไปสองใบ
ใบหนึ่งให้ลู่ถิงหยวน เพื่อเชิญให้เขาและภรรยามาร่วมงาน
อีกใบให้ลู่เฉินแบบส่วนตัว
ปลายนิ้วของซูโย่วสัมผัสไปที่ชื่อของลู่เฉิน แต่คุณนายฮันเงยหน้ามาเห็นท่าทางของลูกสาวโดยบังเอิญ “ตอนอยู่ที่บริษัทลูกน่าจะเคยเจอลู่เฉินอยู่แหละเนอะ”
“อืม หนูเห็นหลังเขาอยู่ไกล ๆ”
ซูโย่วอี๋พูดเสียงค่อย คุณนายฮันคิดว่าลูกสาวน่าจะเสียดายที่ไม่เคยคุยกับลู่เฉินเลย
“งานเลี้ยงครั้งนี้แม่จะแนะนำลูกกับเขาเอง”
ซูโย่วอี๋ชักมือกลับมา “ไม่ต้องหรอกค่ะ… หนูไม่ได้คิดแบบนั้น”
พูดจบก็ขึ้นชั้นบนไป
สุนัขจิ้งจอกอดไม่ได้เลยถามขึ้น [ซู่จู่ คุณวางแผนจะบอกเรื่องที่คุณท้องให้พวกเขารู้เมื่อไหร่?]
เพราะตอนนี้เธอพึ่งท้องได้ไม่กี่เดือนจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเวลาผ่านไปนานเข้า ท้องของเธอจะใหญ่ขึ้นมากกว่านี้ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่
ซูโย่วอี๋ลดสายตาลง “ฉันรู้ รอให้งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ผ่านไปก่อน ฉันจะบอกพวกเขาเอง”
แม้ว่าระบบจะสามารถตรวจสอบสุขภาพของเด็กในครรภ์ได้โดยตรงโดยที่ไม่ต้องตรวจครรภ์ แต่ซูโย่วอี๋ก็ยังต้องไปโรงพยาบาลเพื่อฝากครรภ์อยู่ดี
“นายวางใจเถอะ ฉันคิดเอาไว้แล้ว”
เด็กคนนี้ไม่มีพ่อแล้ว แต่จะไม่มียาย ตา และลุงไม่ได้
ซูหยินเป็นเหมือนคนในครอบครัวจึงไม่มีบัตรเชิญ แต่กู่อวี๋เฉิงมี
ซูโย่วอี๋จึงเอามันไปให้ซูหยินด้วยตัวเอง ระหว่างทางกลับ เธอแวะไปที่ร้านขายยา
ครั้งที่แล้วที่เธอซื้อโฟลาซิน*[1] ไปกินก็เกือบจะหมดแล้ว
วันนี้ซูโย่วอี๋มาพร้อมอุปกรณ์อย่างเต็มรูปแบบ หลังแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครดูออกว่าเป็นเธอ เธอจึงเข้าไปในร้านขายยา พอหาโฟลาซินเจอเธอก็รีบจ่ายเงินและออกไป
แต่โชคร้าย ฮันเอินจีที่บังเอิญอยู่ที่นั่นมองท่าทางอันน่าสงสัยของคนที่พึ่งออกไปตาไม่กระพริบ
เธอรู้สึกว่าคนคนนั้นเป็นคนที่เธอรู้จัก แต่อีกฝ่ายปกปิกหน้ามิดชิดมาก จึงดูไม่ออกว่าเป็นใครกันแน่
จนกระทั่งเธอเห็นรถของตระกูลฮันอยู่ข้างทาง จึงรู้ทันทีเลยว่าคนที่พึ่งออกไปเมื่อครู่นี้คือซูโย่วอี๋
สีหน้าของฮันเอินจีขาวซีด หลังจากมีเรื่องกับตระกูลฮัน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เธอมีชีวิตอย่างยากลำบาก
ความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ตทำให้ความภาคภูมิใจในตัวเองของเธอหายไป
ฮันเอินจีมักจะอยู่ถึงดึกดื่น วันนึงกินข้าวแค่มื้อเดียว อีกไม่นานกระเพาะของเธอต้องมีปัญหาแน่ ๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้เธอเจ็บท้องมาก เธอก็คงไม่ออกมาซื้อยา
เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนมีรถไปรับไปส่ง ตอนนี้เธอเหมือนสุนัขหลงทางที่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก
ฮันเอินจีมองกลับมา เธอกระชับเสื้อกันลมพร้อมกับเข้าไปในร้านขายยา
เธอพูดกับพนักงานของร้านด้วยท่าทีที่แย่มาก “เจ็บท้องมาก เอายามาหน่อย”
พนักงานหยิบกล่องยาออกมาจากตู้สองกล่อง “กล่องนึงแพงหน่อยนะคะ แต่ออกฤทธิ์เร็วมาก อีกกล่องราคาถูก แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าจะออกฤทธิ์”
ฮันเอินจีได้ยินแบบนั้นก็โกรธขึ้นมา “ฉันดูเหมือนคนไม่มีเงินเหรอ?”
“ไม่ต้องพูดถึงยากล่องหนึ่งหรอก ต่อให้ซื้อทั้งร้านฉันก็ทำได้”
พนักงานนิ่งไป “ฉันก็แค่อธิบายตัวยาก็เท่านั้น คุณไม่ต้องโกรธขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
ตอนคิดเงินพนักงานยังคงพึมพำเบาๆ “คุณมีเงินแล้วกันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ฉันก็แค่คนมาทำงาน”
“ไม่รู้ว่าไปโกรธมาจากไหนแล้วเอามาลงที่ฉันอีก”
ใจของฮันเอินจีถูกสุมด้วยเปลวไฟ พอกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกไป หางตาก็ดันไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีรายละเอียดการคิดเงินของลูกค้าคนหนึ่ง
โฟลาซิน?
นี่มันยาที่คนท้องกินนี่?
ฮันเอินจีเปลี่ยนใจในทันที “นี่คือยาที่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ซื้องั้นเหรอ?”
“บอกไม่ได้ค่ะ”
ฮันเอินจีพูดต่ออย่างอดทน “ยาตัวไหนที่แพงที่สุด?”
พนักงานไม่เข้าใจ “ทำไมเหรอคะ?”
“บอกมา คนที่ซื้อโฟลาซินใช่ผู้หญิงที่สวมแว่นดำหรือเปล่า แล้วฉันจะซื้อยาที่แพงที่สุดของที่นี่ไปให้หมดเลย”
พนักงานสับสน “นี่มันละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกค้า…”
ตอนนี้ฮันเอินจีไม่ใจร้อนอีกต่อไป “แค่บอกฉันมาว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ถ้าเธอไม่พูด ฉันเองก็มั่นใจถึง 80% ว่านั้นคือเธอ”
พนักงานกัดฟัน “ใช่”
เป็นเธอจริง ๆ!
ความสับสนฉายแววในดวงตาของฮันเอินจี ในวงการก็ไม่มีข่าวลือเรื่องความรักของซูโย่วอี๋มาก่อน แม้แต่ปาปารัสซีเก่ง ๆ ก็ไม่เคยถ่ายรูปอะไรมาได้
เด็กคนนี้เป็นลูกของใครกัน?
ดูเหมือนว่าเธอไม่ไปงานเลี้ยงวันนี้เกิดในครั้งนี้ไม่ได้แล้วสิ
…
วันงานเลี้ยงวันเกิดมาถึงอย่างรวดเร็ว
คุณนายฮันจับซูโย่วอี๋แต่งตัวราวกับเจ้าหญิง เธอสวมเสื้อผ้าราคาแพงหูฉี่ เครื่องประดับมูลค่ากว่าสิบล้าน ให้เข้ากับงานเลี้ยงที่จัดในธีมต่างประเทศ
แม้แต่บนรองเท้าของเธอยังประดับด้วยเพชรระยิบระยับ
[1] โฟลาซินหรือกรดโฟลิกเป็นอาหารเสริมที่ทานในช่วงตั้งครรภ์