ตอนที่ 48 ความอันตรายของพญายม
เมื่อเห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาอับอายจนแทบมุดดินหนี
ทว่าเมื่อแอบมองชายหนุ่มตรงหน้า เธอจึงหัวใจเต้นรัวแรงไม่หยุดเช่นเดิม เสียงตึกตัก ตึกตัก คล้ายเสียงกระโดดของกวางซิกา ไม่ว่าทำวิธีไหนก็ไม่สงบลง
“ท่าน ท่านอ๋อง บ่าว เมื่อครู่บ่าวไม่…ได้ ตั้งใจขอรับ ”
ริมฝีปากเล่อเหยาเหยาสั่นระริก ประโยคเดียวยังเอ่ยตะกุกตะกัก หากไม่ตั้งใจฟังให้ดีอาจไม่รู้ว่าเธอต้องการพูดสิ่งใดกันแน่
ใบหน้าเรียวเล็กขาวใสไร้ตำหนิ ตอนนี้กลับแดงก่ำคล้ายกุ้งต้มสุก
หลังเอ่ยจบเล่อเหยาเหยาก้มใบหน้าเรียวเล็กอันแดงก่ำลง คล้ายไม่กล้าสู้หน้ากับผู้ใด
ในใจกังวลไม่หยุด เพราะกลัวว่าท่าทีของตนเมื่อครู่จะยั่วให้พญายมไม่พอใจ
เพราะเมื่อพญายมโมโหขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็จะร้ายแรงอย่างยิ่ง เธอใช้ชีวิตยังไม่คุ้ม ดังนั้นจะตายไม่ได้!
ดังนั้นตอนนี้ในใจเธอจึงทั้งอับอายและกังวล
โดยเฉพาะหลังเธอเอ่ยออกไปชายหนุ่มตรงหน้ายังคงปิดปากเงียบ เธอจึงไม่กล้าเงยหน้ามองเขาและไม่รู้เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ทว่าเธอกลับรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงมองมาที่เธอตลอดเวลาอย่างไม่ลดละ
สายตานั้นร้อนแรงดั่งนั่งบนกองไฟ จนเธอใจเต้นแรง หนังศีรษะชาวาบ เหงื่อไคลไหลออกมาไม่หยุด
เห็นชัดว่าเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที ทว่าเล่อเหยาเหยากลับรู้สึกว่าช่างยาวนานราวร้อยปี
ขณะที่เธอคิดว่าพญายมตรงหน้ากำลังโมโหอยู่เป็นแน่ กลับได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์นั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ได้ตั้งใจ ทว่าจงใจใช่หรือไม่”
“เออ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาพลักตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นรีบเงยหน้าเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ใช่แน่นอนขอรับ! เออ…”
เมื่อกลัวว่าพญายมจะเข้าใจผิด เล่อเหยาเหยาจึงเงยหน้าขึ้นอธิบายอย่างรีบร้อน แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเจอกับสายตาเย็นชาล้ำลึกดั่งทะเลสาบคู่หนึ่ง
เห็นเพียงดวงตาเย็นชาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนมองมาที่เธออย่างเกียจคร้าน
ไม่รู้ดวงอาทิตย์เหนือศีรษะงดงามเกินไปหรือเพราะสิ่งใด เล่อเหยาเหยาจึงเห็นว่าดวงตาคู่นั้นไม่ได้เยือกเย็นราวน้ำค้างแข็งอีกแล้ว ทว่าเปล่งประกายมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
คล้ายสลายเข้าไปในแสงแดดอันแวววาว ทว่าแฝงด้วยความเบื่อหน่ายและครุ่นคิด
สายตาเช่นนี้ชวนให้หลงใหลเกินไป เหมือนหากถูกเขามองด้วยสายเช่นนี้ ตนยินยอมพร้อมใจมอบวิญญาณให้กับเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาเล่อเหยาเหยาตกตะลึง ก่อนริมฝีปากแดงสดจะเผยอขึ้นเล็กน้อย สายตาจ้องยังชายหนุ่มที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่กระพริบตา
แม้ชายหนุ่มผู้นี้ในสายตาคนบนโลกจะเป็นร่างจำแลงของปีศาจและเทพเซียน แต่ตอนนี้ในสายตาของเล่อเหยาเหยา เขาเพียงทำให้เธอรู้สึกถึงบางอย่าง นั่นคือ…
ชายผู้นี้อันตรายเกินไปแล้ว
เขาเหมือนต้นฝิ่นที่ตราตรึงใจ งดงามชวนให้คนหลงใหล ทว่ามีพิษร้ายแรงถึงชีวิต!
ดังนั้นชายหนุ่มผู้นี้ ควรมองอยู่ห่างๆ ไม่ควรเข้าใกล้!
หลังนึกถึงเรื่องนี้ได้ เล่อเหยาเหยารีบกระพริบตาลงเพื่อเรียกสติกลับมา เห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถอนสายตาจากเธอ มือใหญ่ถลกชายเสื้อขึ้น ก่อนกระโดดขึ้นบนรถม้าอย่างคล่องแคล่วและงดงาม
“เข้าวัง!”
“พะยะค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทุกคนจึงไม่กล้าชักช้า ดังนั้นจึงเห็นเพียงหลังเสียงของม้าดังขึ้น รถม้าแสนหรูหราคันนั้นวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เสียงล้อบดกับพื้นถนนดังขึ้นมาไม่หยุด จากนั้นไม่นานค่อยๆ จางหายไป
เมื่อเห็นรถม้าหายลับไปแล้ว ใจที่หวาดหวั่นของเล่อเหยาเหยาจึงสงบลง
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 49 คำตักเตือน
หลังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เล่อเหยาเหยาจึงยื่นมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พร้อมแอบดีใจในใจ
ในที่สุดพญายมก็เข้าวังไปแล้ว เสี่ยวมู่จื่อเคยบอกว่าเวลาที่ท่านอ๋องเข้าวัง เธอก็จะหมดหน้าที่
เพราะทุกครั้งที่ท่านอ๋องเข้าวัง จะนำองครักษ์เพียงสี่คนไปคอยอารักขาเท่านั้น รอจนท่านอ๋องกลับจากวังก็พลบค่ำแล้ว ดังนั้นขันทีน้อยที่ติดตามท่านอ๋อง ต้องปรนนิบัติเฉพาะเวลาอาหารและตอนเย็นเท่านั้น
เมื่อคิดแล้ว เล่อเหยาเหยาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาในที่สุด
ทว่ารอยยิ้มใบหน้าของเธอนั้นพลันหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อเธอหมุนตัวกับมาเห็นใบหน้าอันเดือดดาลของหัวหน้าขันทีลี่ ในใจพลันเกิดเสียงตึกตักดังขึ้นมา เมื่อรู้ว่าโชคร้ายของตนยังไม่จากไป
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!”
น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนเป็นหัวหน้าขันทีลี่เสียดแทงเข้ามาในหู และความเคร่งเครียดในน้ำเสียงทำให้ใจคนฟังเต้นผิดจังหวะ
“เออ”
เธอรู้ดีว่าเรื่องเมื่อครู่คงทำให้ขันทีเฒ่าด้านข้างผู้นี้โมโหเป็นแน่ แม้ในใจจะรู้สึกแค้นเคือง ทว่าตอนนี้เธอเป็นคนที่อาศัยในบ้านผู้อื่นจึงต้องก้มหน้าลง ดูแล้วการโบยครั้งนี้ เธอต้องหนีไม่พ้นแน่
ขณะที่ในใจเล่อเหยาเหยาโอดครวญอย่างเศร้าโศก หัวหน้าขันทีลี่เอ่ยสั่งสอนเธอไม่หยุดหย่อนอยู่ด้านบน
น้ำเสียงแหลมสูงไม่น่าฟังนั้นดังเข้ามาในหูของเธอไม่หยุด ยังมีหัวหน้าขันทีลี่ที่ราวฉีดพ่นน้ำลายออกมาจนเต็มใบหน้าของเล่อเหยาเหยา จนเธอขยะแขยงอย่างมาก
จนในที่สุดไม่รู้ถูกหัวหน้าขันทีลี่สั่งสอนผ่านไปนานเพียงใด เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงยืนจนขาทั้งสองข้างชาไปหมด จนจำไม่ได้ว่าแอบไถ่ถามบรรพบุรุษของขันทีเฒ่าในใจไปกี่รอบ
อาจเพราะหัวหน้าขันทีลี่ด่าจนเหนื่อยแล้วจึงหยุดพัก จากนั้นจ้องเขม็งไปที่เล่อเหยาเหยา พร้อมเอ่ยถามเสียงแหลม
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้ายังไม่สำนึกผิดอีกหรือ!?”
“ขอรับ บ่าวสำนึกผิดแล้ว!” แปลกนะสิ!
ขันทีแก่ผู้นี้ ไม่รู้ฝึกลมปราณมาหรือไร พูดด่าทออยู่นานไม่เหนื่อยเลย ทว่าเธอยืนจนเมื่อยจะตายอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเมื่อหัวหน้าขันทีลี่พูดประโยคนี้ออกมา เล่อเหยาเหยารีบพยักหน้าราวโขลกกระเทียม จนแทบขอร้องให้เขามอบความสบายให้ตนเสียที
โบยก็โบยเลยสิ จะมาพูดให้มากอะไรกัน!
เล่อเหยาเหยาเอ่ยในใจ พร้อมเตรียมใจรับการถูกโบยเอาไว้
อย่างน้อยหลังถูกโบย เธอสามารถอ้างเหตุผลได้ว่าร่างกายบาดเจ็บไม่สามารถปรนนิบัติท่านอ๋องได้ และจะไม่ต้องเจอพญายมผู้นั้นอีกต่อไป
เพราะถึงอย่างไรนิสัยของพญายมผู้นั้นก็เอาแน่เอานอนไม่ได้จนยากที่จะขัดเกลา เธอยอมถูกโบยดีกว่าต้องเจอเขาอีกครั้ง
ทว่าสิ่งที่เล่อเหยาเหยาคิดอยู่ในใจ หัวหน้าขันทีลี่คล้ายจะคิดได้เช่นกัน
ท่าทีเมื่อครู่ ของเล่อเหยาเหยา หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นหัวหน้าขันทีลี่ต้องสั่งโบยทันทีโดยไม่สอบถามแน่นอน
ทว่าอาจน่าเสียดายหากโบยเล่อเหยาเหยา เพราะภายในตำหนักอ๋องเวลานี้หาขันทีน้อยคนใหม่ที่จะมาทำหน้าที่แทนเล่อเหยาเหยาไม่ได้แน่นอน เพราะข่าวลืออันน่ากลัวเกี่ยวกับท่านอ๋องนั้นมีมากเกินไปจริงๆ
ขณะที่คิดในใจ หัวหน้าขันทีลี่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
อันที่จริงเขาเป็นคนดูแลท่านอ๋องเติบใหญ่ขึ้นมา นิสัยท่านอ๋องเป็นเช่นไร เขาล้วนรู้ชัดเจนที่สุด
เดิมเขาไม่ใช่คนที่เลือดเย็นเหมือนดังที่คนอื่นมอง กลับกันท่านอ๋องเป็นคนภายนอกดูเย็นชาแต่ข้างในอบอุ่น
ขณะที่ถอนหายใจหัวหน้าขันทีลี่โบกมือให้กับขันทีน้อยที่ก้มหน้าอยู่ตรงหน้าตน พร้อมเอ่ยว่า
“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป หากมีครั้งต่อไป ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!”
“เออ?”
แค่นี้? ไม่ต้องโบยแล้ว!?
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ เล่อเหยาเหยาเงยหน้าพร้อมสองตาเบิกกว้างคล้ายไม่เชื่อ
…………………………………………………………………..
Next