ง่ายเหรอ
ถ้าง่ายยังจะปล่อยให้อิ๋งจื่อจินอยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะมาถึงหนึ่งเทอมเต็มๆ เหรอ
ยัยนั่นควรจะไสหัวออกไปตั้งแต่สอบเดือนแรกแล้ว
แต่ในเมื่อจงจือหว่านพูดแบบนี้ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธี
อิงเฟยเฟยดวงตาเปล่งประกาย “จือหว่าน เธอว่าควรจะไล่ยังไง”
อันดับที่ห้าสิบเป็นเพื่อนสนิทของเธอ เธออยากไล่อิ๋งจื่อจินออกไปนานแล้ว
“ยัยนั่นนิสัยเป็นยังไงเธอยังไม่รู้อีกเหรอ” จงจือหว่านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แกล้งให้มากหน่อยยัยนั่นก็เป็นบ้าไปก่อนแล้ว ยังจะอยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะได้อีกเหรอ”
“แกล้งเหรอ” อิงเฟยเฟยอึ้งไปชั่วขณะ พูดด้วยความลังเล “ถ้ายัยนั่นไปฟ้องจะทำไงล่ะ”
ต่อให้เป็นแค่ลูกเลี้ยง อิ๋งจื่อจินก็เป็นคนของตระกูลอิ๋ง
สี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง ใช่ว่าครอบครัวธรรมดาจะเทียบได้
จงจือหว่านยิ้มแบบมีเลศนัย “คุณอาไม่สนใจแน่นอน ส่วนอาจารย์อิ๋ง…”
เมื่อตอนปิดเทอมฤดูหนาวอาจารย์อิ๋งก็บอกแล้วว่า อิ๋งจื่อจินให้ท่าเจียงมั่วหย่วน ยังจะมีหน้าไปขอให้อิ๋งลู่เวยช่วยที่ไหนกัน
อิงเฟยเฟยถึงได้วางใจ อารมณ์ดีสุดๆ “คนในคลาสที่อยากให้ยัยนั่นไสหัวออกไปมีเยอะมาก จือหว่าน อีกเดี๋ยวฉันจะไปเรียกเพื่อนๆ มาวางแผน”
จงจือหว่านไม่พูดอะไร หยิบสมุดบันทึกภาษาอังกฤษออกมาจากกระเป๋าหนังสือแล้วทบทวนต่อ
ลู่ฟั่งที่แอบฟังอยู่ข้างๆ มานานในที่สุดก็ทนไม่ไหว ขยับเข้ามาหา “พวกเธออยากไล่ยัยบ้านนอกนั่นออกไปเหรอ”
“ยังต้องถามอีกเหรอ” อิงเฟยเฟยเหลือบมองเขา “หรือนายคิดว่ายัยนั่นไม่เกะกะ”
คลาสเด็กอัจฉริยะรุ่นไหนบ้างที่คะแนนเฉลี่ยทดสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่ำกว่าหกร้อยเก้าสิบแปด
อิ๋งจื่อจินแค่คนเดียวถ่วงคะแนนของพวกเขาตั้งเท่าไร
“จะเป็นไปได้ยังไง!” ลู่ฟั่งนึกถึงเรื่องวันนั้นที่ร้านยา เจ็บใจมาก “ยัยนั่นทำให้พี่สาวฉันต้องถูกพ่อกักบริเวณ”
พอได้ฟัง จงจือหว่านก็เงยหน้า “พี่สาวนายเหรอ”
ลู่จื่ออายุยี่สิบต้นๆ ฝีมือการรักษาย่อมสู้แพทย์แผนจีนอาวุโสที่ทำงานมาเป็นสิบๆ ปีไม่ได้
แต่อย่างไรเสียเธอก็จบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนตี้ตู รู้จักคนมาก
ได้ยินว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของลู่จื่อเกี่ยวข้องกับตระกูลเมิ่งแห่งตี้ตูนิดหน่อย
อิงเฟยเฟยสงสัย “พี่สาวนายถูกกักบริเวณ เกี่ยวอะไรกับยัยนั่นด้วย”
จงจือหว่านก็เงี่ยหูฟัง
ลู่ฟั่งเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ แสยะยิ้ม “ก็ไม่รู้ว่ายัยบ้านนอกนั่นมีดวงแจ็กพอตอะไร ฟู่อวิ๋นเซินถึงได้ถูกใจเข้า”
จงจือหว่านขมวดคิ้ว “คุณชายเจ็ดกลับมาจากยุโรปแล้วเหรอ”
“ฉันว่าเขาเองก็ไปดัดนิสัยที่ยุโรปสูญเปล่า” ลู่ฟั่งประชด “ก็ยังเป็นคุณชายเสเพลเหมือนเดิม เมื่อไรที่ผู้เฒ่าฟู่ตายเขาก็ต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่”
จงจือหว่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลู่ฟั่ง คำพูดแบบนี้นายก็กล้าพูดด้วยเหรอ”
“จือหว่าน ฉันแค่พูดเรื่อยเปื่อย พูดเรื่อยเปื่อยน่ะ” ลู่ฟั่งยกสองมือขึ้น “ไม่ได้ตั้งใจ”
ในคลาสเด็กอัจฉริยะก็มีคุณชายของตระกูลฟู่ ยังดีที่ไม่ได้ยินเข้า
ไม่อย่างนั้นเขาได้เดือดร้อนใหญ่แน่
จงจือหว่านพูดอย่างเย็นชา “คุณลู่ฟั่ง พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ขอความกรุณาอย่าเรียกฉันแบบนี้”
ถึงลู่ฟั่งจะกระอักกระอ่วน แต่กลับไม่ได้โกรธอะไร
จงจือหว่านเป็นหนึ่งในนางฟ้าที่คนในชิงจื้อต่างยอมรับ เขาเองก็ชอบเธอมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้
ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว
เขาจะต้องไล่ยัยบ้านนอกนั่นออกจากคลาสเด็กอัจฉริยะให้ได้
…
ตอนอิ๋งจื่อจินมาถึงโรงเรียนเป็นเวลาเจ็ดโมงสิบนาที
ถึงแม้เธอจะปฏิเสธฟู่อวิ๋นเซินไปแล้ว แต่ตอนหกโมงครึ่งเขาก็โทรเรียกเธออย่างตรงเวลา
ตรงหน้าประตูโรงเรียนมีคนจากสภานักเรียนที่มาทำหน้าที่ และยังมีอาจารย์ฝ่ายปกครองที่มาจับนักเรียนแต่งกายไม่เรียบร้อยกับคนที่มาสาย
ชิงจื้อมีกฎว่า นักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนไม่เพียงแต่จะต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียน ยังต้องติดตราของโรงเรียนด้วย
อิ๋งจื่อจินมองตัวเองที่อยู่ในยูนิฟอร์มขาวน้ำเงินของโรงเรียน รู้สึกขี้เหร่อย่างมีเอกลักษณ์
สองมือของเธอล้วงกระเป๋า สะพายกระเป๋าหนังสือที่ไหล่ขวา เดินเข้าไปในโรงเรียนอย่างไม่รีบร้อน
แต่ละชั้นปีจะมีตึกเป็นของตัวเอง ซึ่งตึกของมอห้าอยู่ตรงกลางพอดี
ระหว่างทางมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่เดินอย่างรีบร้อน
เวลานี้มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในโรงเรียน
เป็นชายหนุ่ม
สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว โบว์ไทสีน้ำเงิน กางเกงสูทสีดำ
ใบหน้าลูกครึ่ง เหนือจมูกโด่งมีแว่นตากรอบทอง กลิ่นอายความหัวโบราณโชยกรุ่น
ผู้หญิงที่เข้าเวรอยู่รีบก้มหน้า เรียกเสียงเบา “อาจารย์เฮ่อ”
ชายหนุ่มได้ยินก็หันไปพยักหน้ารับรู้เบาๆ “ลำบากหน่อยนะครับ”
ผู้หญิงที่เข้าเวรหน้าแดงก่ำ พูดจาติดขัด “ขะ ขอบคุณอาจารย์เฮ่อค่ะ”
นักเรียนที่อยู่ข้างหน้าหันกลับไปมอง คนที่อยู่ข้างหลังก็รีบสาวเท้า พากันซุบซิบ
“อาจารย์เฮ่อหล่อมากเลย ไม่รู้ว่ามีแฟนหรือยัง”
“ไม่ต้องคิดเลย อาจารย์เฮ่อเป็นดอกเตอร์จบนอก ความรู้กว้างขวาง พวกเราน่ะได้แค่มอง”
“ชิงจื้อเชิญอาจารย์เฮ่อมาอยู่ได้ก็เจ๋งมากเลยนะ เฮ้อ น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้อยู่คลาสนานาชาติ ไม่อย่างนั้นคงได้ฟังอาจารย์เฮ่อสอนบ้าง…”
อิ๋งจื่อจินไม่มีความสนใจจะฟังและดู ตอนที่เธอเพิ่งไปถึงชั้นสามฝีเท้าหยุดชะงักไป ดวงตาหงส์หรี่ลงทันที
ผ่านไปสักพักเธอก็ละสายตา เดินหน้าต่อโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย
ประตูห้องเรียนปิดไม่สนิท เหลือเพียงช่องเล็กๆ
อิ๋งจื่อจินสีหน้าเย็นชา เธอยกเท้าถีบประตู
ตึง เต็มไปด้วยความโหด
ซู่…
เสียงน้ำหกจากกะละมังที่ลาดเอียง
“ไอ้XX!”
ลู่ฟั่งที่หลบอยู่หลังประตูหนีไม่ทันจึงเปียกไปเต็มๆ
กะละมังตกลงมาใส่หัวเขา เจ็บจนแทบมองเห็นดาว ล้มลงที่พื้น งุนงงไปหมด
เหตุการณ์นี้ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในคลาส สายตาตะลึงปนเปกับสายตารังเกียจ
“จือหว่าน ลู่ฟั่งก็ไม่ระวังเกินไปหรือเปล่า” อิงเฟยเฟยแสยะยิ้ม “สติปัญญาอย่างเขายังคิดจะตามจีบเธอ คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้าชัดๆ”
จงจือหว่านไม่ตอบ มองไปที่นอกประตู
เด็กสาวเดินเข้ามาในตอนนี้ สองขาเรียวยาว
แม้จะใส่เครื่องแบบนักเรียนธรรมดาๆ แต่ก็ยากที่จะบดบังความสวยของเธอได้
ราวกับกิ่งที่มีดอกซากุระบานสะพรั่ง ดุจหิมะที่ปกคลุมยอดเขา
ความงามที่มีพร้อมทั้งความเชิดหยิ่งและอานุภาพรุนแรง ทว่ากลับเจือไปด้วยเสน่ห์อันมหาศาล สะกดสายตาของทุกคนได้อย่างง่ายดาย
“…”
เพียงชั่วพริบตาก็เกิดความเงียบทั้งห้อง
พวกเขามองเด็กสาวที่เดินไปยังมุมที่ไม่สะดุดตาที่สุดอย่างอึ้งๆ เธอหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาค่อยๆ เช็ด
จนกระทั่งเธอนั่งลงแล้วถึงได้มีคนทยอยละสายตาไป
ภายในห้องเรียนเกิดเสียงซุบซิบไม่หยุด
“โห นี่ใช่ยัยบ้านนอกนั่นจริงเหรอ”
“ตัวปลอมมั้ง ตอนปิดเทอมหน้าหนาวไปศัลยกรรมมาเหรอ”
“ศัลยกรรมมันทำที่บุคลิกได้ด้วยเหรอ พูดตามตรง บุคลิกของยัยนั่น นางฟ้าจงกับนางฟ้าอิ๋งยังสู้ไม่ได้เลย”
นางฟ้าอิ๋งก็ย่อมหมายถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลอิ๋ง
นางฟ้าทั้งสามของชิงจื้อ อยู่ในคลาสเด็กอัจฉริยะมอห้าถึงสองคน
“พวกนายพูดเหลวไหลอะไร” พอได้ยินแบบนี้อิงเฟยเฟยก็โมโหจนหัวเราะ “แค่ลูกเลี้ยงเอามาเทียบจือหว่านได้เหรอ”
จงจือหว่านเป็นคุณหนูใหญ่ที่แสนมีเกียรติของตระกูลจง หนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐี แล้วอิ๋งจื่อจินเป็นใคร
สองคนนี้เอามาเทียบกันได้เหรอ
จงจือหว่านยังไม่พูดอะไรก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ไม่มั้งๆ ฉันรู้สึกว่าวันนี้ดูๆ ไป นางฟ้าอิ๋งเทียบกับเธอ เธอต่างหากที่ควรเป็นตัวจริง”