ตระกูลมู่เป็นหนึ่งในตระกูลเศรษฐีของตี้ตู ครอบครัวใหญ่กับครอบครัวญาติเมื่อรวมๆ กันก็มีจำนวนสมาชิกของตระกูลที่มากพอสมควร
คุณนายมู่แต่งเข้าตระกูลมู่มายี่สิบกว่าปี อันที่จริงก็เคยเจอมู่เฮ่อชิงแค่ไม่กี่ครั้ง
แต่เธอก็รู้ว่ารถประจำตัวมู่เฮ่อชิงเป็นรถมายบัคสีดำ
รถมายบัคคันนี้สั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งประเทศจีนมีเพียงคันเดียว แต่ว่า…
คุณนายมู่ขมวดคิ้ว
ใช่ว่าเธอจะมองไม่ออกว่านั่นคือลูกเลี้ยงตระกูลอิ๋ง ก็เพราะแบบนี้เธอถึงได้ลังเล
ด้วยสถานะของมู่เฮ่อชิง คนมีอำนาจของตระกูลอื่นในตี้ตูต่างก็ต้องนอบน้อมต่อเขา แล้วเขาจะรู้จักลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่เกียรติได้อย่างไร
คุณนายมู่เหม่อลอย ก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา “มั่นหวา รอเดี๋ยวนะ ขอฉันโทรศัพท์หน่อย”
ถ้าเป็นรถของมู่เฮ่อชิงจริง เธอจะเข้าไปโดยตรงไม่ได้ แบบนั้นเท่ากับไม่เคารพ
แต่ถ้าไม่ใช่เธอก็ขี้เกียจจะเข้าไป
จงมั่นหวาฝืนยิ้มให้ จำต้องยืนอยู่ตรงนั้น มือสั่นเล็กน้อยอยู่ตลอดเพราะความอับอายที่เกิดขึ้นภายในใจไม่หยุด เธอพยายามข่มความโกรธ เบือนสายตาหนี ไม่อยากหันไปมองอีก
…
บนรถมายบัค
มู่เฉิงแค่เหลือบมองโทรศัพท์มือถือ ไม่สนสายเรียกเข้า “คุณหนูอิ๋ง ในที่สุดก็เจอตัวแล้ว”
ด้วยศักยภาพของตระกูลมู่ การสืบหาคนคนหนึ่งเป็นเรื่องง่ายมาก
ยิ่งไปกว่านั้นอิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้จงใจปิดบัง
อิ๋งจื่อจินก้มหน้า “ค่ะ มีธุระกับฉันเหรอคะ”
มู่เฉิงเหลือบมองมู่เฮ่อชิงแล้วถึงพูดขึ้น “พรุ่งนี้คุณท่านจะไปจากเมืองฮู่เฉิงแล้ว ก่อนไปอยากพบคุณอีกครั้งน่ะครับ”
วันนั้นหลังกลับไปถึงที่พักในฮู่เฉิงเขาก็ติดต่อไปหาตระกูลมู่ในตี้ตู
มู่เฉิงไม่ได้บอกว่าหมอเทวดาคือใคร แค่ถามอย่างคร่าวๆ ถึงได้รู้ว่าฝีมือการรักษาของคุณหนูอิ๋งคนนี้น่าทึ่งขนาดไหน
ต่อให้เป็นพวกระดับปรมาจารย์ในแวดวงแพทย์แผนโบราณพวกนั้น เกรงว่าก็คงได้แต่เลื่อมใส
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ขอแค่ผู้เฒ่ามู่ไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้า สุขภาพก็จะแข็งแรงขึ้นมากค่ะ”
มู่เฮ่อชิงแกล้งไอกลบเกลื่อน สีหน้าเคร่งขรึม “ฉันจะทำตาม”
มู่เฉิงขากระตุกเกือบเหยียบคันเร่ง
ตั้งกี่ปีมาแล้วไม่มีใครเกลี้ยกล่อมมู่เฮ่อชิงได้สำเร็จ คุณหนูอิ๋งพูดทีเดียวได้ผลทันที
นี่มันช่าง…
“คุณหนูอิ๋งครับ ทางเราไม่รู้จะให้อะไร” มู่เฉิงแอบปาดเหงื่อ หยิบกล่องวิจิตรออกมาใบหนึ่ง “นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของคุณท่าน โปรดรับไว้ด้วยครับ”
นี่เป็นเข็มเงินกับเข็มทองที่ตระกูลมู่ซื้อมาจากแวดวงแพทย์แผนโบราณโดยเฉพาะ ราคาหลักสิบล้านขึ้นไป
อิ๋งจื่อจินสายตาจับจ้องชั่วขณะ ไม่ปฏิเสธ เธอรับมา “ขอบคุณมากค่ะ”
เข็มเงินกับเข็มทองที่สั่งทำเป็นพิเศษจะทำให้ประสิทธิภาพการรักษามากขึ้นหลายสิบเท่า
เธอกำลังต้องการอยู่พอดี
“ยังมีสิ่งนี้อีกครับ” มู่เฉิงยื่นกระดาษให้แผ่นหนึ่ง “นี่เป็นกิจการของคุณท่านในเมืองฮู่เฉิง รายได้และเงินหมุนเวียนแต่ละปีประมาณห้าสิบล้าน อาจน้อยไปหน่อย”
บนกระดาษเขียนชื่อโรงพยาบาลอย่างชัดเจน
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอนึกไม่ถึงว่าโรงพยาบาลแผนจีนขนาดใหญ่ในฮู่เฉิงจะเป็นกิจการของตระกูลมู่ในตี้ตู
“อย่าปฏิเสธเลยนะ” มู่เฮ่อชิงกระแอมอีกครั้ง “เธอรักษาคนเป็น ยกให้เธอก็เหมาะสมแล้ว”
นิ่งไปเล็กน้อย พูดอย่างภูมิใจ “ขอแค่เธอรับไว้ฉันจะเลิกแตะต้องบุหรี่กับเหล้าแน่นอน”
มู่เฉิง “?”
เดี๋ยวนะ นี่ถือเป็นการข่มขู่หรือเปล่า
“ขอบคุณน้ำใจของผู้เฒ่ามู่มากค่ะ แต่สิ่งนี้หนูขอไม่รับไว้” อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง ยิ้มเล็กน้อย “หนูเป็นคนขี้เกียจ แต่ว่าบางครั้งช่วยไปดูโรคที่ซับซ้อนให้ที่โรงพยาบาลได้ค่ะ”
เธอต้องการเงิน ถือโอกาสเข้าวงการนี้สนุกๆ
“งั้นก็ได้” มู่เฮ่อชิงขมวดคิ้ว “ฉันเองก็คิดไม่รอบคอบ เอาแบบนี้ ฉันจะให้มู่เฉิงจัดห้องตรวจโรคให้เธอโดยเฉพาะ ไม่ให้ใครมารบกวนเธอมากมาย”
“แต่รายได้ของโรงพยาบาลนี้จะโอนเข้าบัญชีของเธอ”
พูดจบก็กลัวเด็กสาวปฏิเสธ มู่เฮ่อชิงจึงให้มู่เฉิงรีบขับรถออกไปด้วยความเร็วสูง
“…”
อิ๋งจื่อจินหันกลับมา เอากล่องเก็บใส่กระเป๋าหนังสือ “วันนี้อยากกินอาหารญี่ปุ่น”
ฟู่อวิ๋นเซินรับกระเป๋าหนังสือของเธอมา ท่าทางสบายๆ “พี่ชายช่วยถือ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มีข้อความวีแชทเข้า
ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า พอเห็นรูปโปรไฟล์นกกระเรียนก็เลิกคิ้ว
[เด็กบ้า เห็นฉันก็ไม่ทักทายสักคำ เก่งนักเหรอ]
เขายิ้มมุมปาก ตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
[กลัวว่าถ้าเอ่ยปากจะทำให้ท่านโมโหอายุสั้นน่ะสิครับ]
[…]
[เด็กบ้า อยู่ให้ห่างๆ แม่หนูคนนั้นเลยนะ เดี๋ยวจะทำเขาเดือดร้อน]
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองเด็กสาวข้างกาย ยิ้มเล็กน้อย
[ไม่ได้หรอกครับ เน็ตหมด แค่นี้นะครับ]
พอมู่เฮ่อชิงเห็นข้อความนี้ก็อยากบล็อกฟู่อวิ๋นเซิน
เขาขยับนิ้ว สุดท้ายก็อดทนได้
ไม่โกรธ…เขาจะโกรธไม่ได้!
“คุณท่าน เมื่อครู่ทางบ้านท่านห้าโทรมา คงอยากถามว่าคุณท่านจะกลับเมื่อไรครับ” มู่เฉิงพูด “ให้ตอบไหมครับ”
มู่เฮ่อชิงหลับตาพลางพูดขึ้น “ไม่ต้อง”
…
วันต่อมา
อิ๋งจื่อจินไปเร็วขึ้นหน่อย ถึงโรงเรียนตอนเจ็ดโมง
แต่ครั้งนี้คลาสเด็กอัจฉริยะกลับไม่เริ่มทบทวนบทเรียนตอนเช้าล่วงหน้าเฉกเช่นปกติ
พวกนักเรียนไปยืนกันอยู่หน้าห้องเรียน เอามือบีบจมูก สีหน้ารังเกียจ
ด้านหลังห้องมีขยะอยู่เต็ม กลิ่นเหม็นตลบอบอวล
“สกปรกเกินไปหรือเปล่า ใครทำเนี่ย”
“ห้องเราไม่เคยสกปรกขนาดนี้…”
จงจือหว่านเห็นก็ขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น เวรเมื่อวานไม่ได้ทำความสะอาดเหรอ ใครเป็นเวรน่ะ”
กรรมการชั้นเรียนอึ้ง “อิ๋งจื่อจิน แต่ว่า…”
แต่เห็นๆ อยู่ว่าตอนเขาออกไปถังขยะมันว่างเปล่า
“แต่เต่ออะไร แสดงว่ายัยนั่นไม่ได้ทำเวรน่ะสิ” อิงเฟยเฟยแสยะยิ้ม “ทั้งยังทำห้องจนมีสภาพเป็นแบบนี้ ยัยนั่นคิดจะทำให้คลาสเราดูแย่”
คลาสเด็กอัจฉริยะต้องทำให้ดีที่สุดในทุกด้าน ด้านความสะอาดก็ไม่มีข้อยกเว้น
แบบนี้พวกเขาจะได้ธงแดงได้ยังไง
ทันใดนั้นลู่ฟั่งก็ตะโกนขึ้น “มาแล้ว ยัยนั่นมาแล้ว”
พวกนักเรียนรีบแหวกทางทันที
อิ๋งจื่อจินเดินเข้ามา ยังคงหน้าสดและอยู่ในเครื่องแบบโรงเรียนที่เรียบง่าย
เธอกวาดตามองนักเรียนที่ยืนอยู่โดยรอบ เดินตรงไปที่ถังขยะแล้วเหลือบมอง
ภายในถังขยะมีหนังสือเรียนของเธอ หนังสือติว รวมถึงแบบฝึกหัดที่เมื่อวานอาจารย์เติ้งให้เธอ
ทั้งหมดถูกคนฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลอะคราบน้ำมัน สภาพไม่เหลือชิ้นดี
เด็กสาวมองที่พื้นอย่างเงียบๆ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้แต่นิดเดียว
แต่กลับเกิดความกดดันขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องเรียนอย่างบอกไม่ถูก
“อิ๋งจื่อจิน เมื่อวานเวรเธอไม่ใช่เหรอ” อิงเฟยเฟยสบโอกาสพูดประชด “เธอทำเวรแบบนี้เหรอ”
“เอาล่ะ เลิกพูดเถอะ” จงจือหว่านยกมือห้าม “พวกเรามาช่วยทำความสะอาดเถอะก่อนที่สภานักเรียนจะมา”
“ทำไมล่ะ” อิงเฟยเฟยพูดอย่างเย็นชา “ยัยนี่เป็นคนทำเองก็ควรให้ทำคน…”
ยังไม่ทันพูดจบ
อิ๋งจื่อจินก็ขยับ
เธอเงยหน้า ก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวอย่างไร้อารมณ์ มือข้างหนึ่งลากอิงเฟยเฟยออกมาจากกลุ่มนักเรียน
จัดการจับศีรษะของอิงเฟยเฟยกดเข้าไปในถังขยะต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง