หุ้นเหรอ
พอได้ยินคำนี้เจียงมั่วหย่วนก็ข่มความหงุดหงิดไว้ “หุ้นบริษัทมีอะไร”
เลขาปาดเหงื่อ “ไม่รู้ทำไม หุ้นบริษัทร่วงกราวเลยครับ ตอนนี้ลงมาห้าจุดแล้วครับ!”
หุ้นลงห้าจุดก็คือลงมาห้าเปอร์เซ็นต์
หากใครถือหุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปอยู่ในมือห้าสิบล้านหุ้น ก็จะเสียหายไปแล้วสองล้านห้าแสน
สีหน้าของเจียงมั่วหย่วนเปลี่ยนไปทันที “รีบเรียกที่ปรึกษาการเงินมาเดี๋ยวนี้”
เลขารีบออกไป
ห้านาทีต่อมาเขาก็พาที่ปรึกษาการเงินกลับมา
ที่ปรึกษาการเงินถือคอมพิวเตอร์พลางโค้งตัวให้เจียงมั่วหย่วน “ประธานเจียง”
“ทำไมหุ้นตกเร็วขนาดนี้” ทั่วทั้งตัวเจียงมั่วหย่วนแผ่ซ่านรังสีอำมหิต “เมื่อเช้าก็เห็นๆ อยู่ว่ายังปกติดี”
“ขอโทษครับประธานเจียง ผมเองก็เพิ่งพบความผิดปกติเรื่องหุ้น” ที่ปรึกษาการเงินเหงื่อแตกท่วมศีรษะ “เพราะทางนั้นทำกันเร็วมาก ก็ไม่รู้พวกเขารับซื้อหุ้นบริษัทไปมากขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นก็เทขายพร้อมกัน”
“พอเป็นแบบนี้ก็เลยทำให้หุ้นตกอย่างรวดเร็ว บริษัทเสียหายหนักมาก”
เจียงมั่วหย่วนสีหน้าเย็นชา “ผมไม่อยากฟังสาเหตุ ผมอยากฟังแค่ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะจัดการได้”
“คือ…” ที่ปรึกษาการเงินลำบากใจมาก “ทางนั้นรับซื้อหุ้นจากรายย่อยโดยให้ราคาสูง จากนั้นก็เทขายในราคาที่ต่ำมาก เว้นเสียแต่ทางนั้นจะเลิกรับซื้อครับ”
ผู้ถือหุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปไม่มีทางขายหุ้นทิ้งกันส่งเดช แต่ผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่มีทางสนว่าเจียงซื่อกรุ๊ปจะเป็นหรือตาย ขอแค่ได้กำไรก็พอแล้ว
เลขาตกใจ “ทำแบบนี้พวกเขาก็เสียหายเยอะเหมือนกันนะ”
เป็นวิธีที่เสียหายทั้งคนอื่นและตัวเอง มีจุดประสงค์อะไร
เจียงมั่วหย่วนเม้มริมฝีปากแน่น ข่มอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม “ฝีมือใคร”
“สืบไม่พบเลยครับ” ที่ปรึกษาการเงินเช็ดเหงื่อ “สืบได้แค่ว่าคนที่เทขายอยู่ยุโรป ส่วนที่เหลือไม่ทราบเลยครับ”
สามารถทำให้หุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปตกได้เร็วขนาดนี้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม้แต่มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของตี้ตูก็ยังทำไม่ได้
ส่วนทางยุโรป มหาเศรษฐีที่สามารถข่มทับมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของตี้ตูได้ก็มีน้อยจนนับนิ้วได้
แต่มหาเศรษฐียุโรปทำไมอยู่ๆ ก็มาลงมือกับเจียงซื่อกรุ๊ปได้ล่ะ
เจียงมั่วหย่วนเงียบไม่พูดอะไร เส้นเลือดปูดที่หน้าผาก เห็นได้ชัดว่าโมโหสุดขีด
ถ้าเป็นมหาเศรษฐียุโรปจริง ถ้าอย่างนั้นก็สามารถทำให้เจียงซื่อกรุ๊ปล้มละลายได้อย่างง่ายดาย
เพราะอะไร
เลขากับที่ปรึกษาการเงินไม่กล้าส่งเสียง ยืนเหงื่อแตกอยู่ข้างๆ
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เลขาก้าวขึ้นหน้า ดูหน้าจอ “ท่านสาม สายจากคุณลู่เวยครับ”
เจียงมั่วหย่วนกลับไม่รับ เขาลุกขึ้น เดินเข้าห้องทำงานด้วยสีหน้าบึ้งตึง “วางไปก่อน บอกว่าผมยุ่งอยู่ แจ้งผู้ถือหุ้นให้มาประชุมต่อ”
เจียงซื่อกรุ๊ปเป็นเลือดเนื้อของผู้เฒ่าเจียง เขาต้องลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด
…
อิ๋งลู่เวยที่กำลังรอขึ้นเครื่องบินอยู่ที่สนามบินตี้ตูมองโทรศัพท์มือถืออย่างอึ้งๆ เหม่อลอยไม่ได้สติ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกเจียงมั่วหย่วนกดตัดสาย เมื่อก่อนต่อให้ประชุมอยู่ เจียงมั่วหย่วนก็จะเห็นเธอมาเป็นอันดับแรก
เกิดอะไรขึ้น
หรือเขาจะเชื่อคำพูดในเน็ตที่เรื่องทั้งหมดเธอเป็นคนเล่นเองกำกับเองอย่างนั้นเหรอ
โชคดีที่เวลานี้เลขาได้ส่งข้อความวีแชทเข้ามา
[คุณลู่เวยครับ อย่าเพิ่งร้อนใจ ที่บริษัทเกิดเรื่องใหญ่ ท่านสามกำลังยุ่งมาก เห็นใจด้วยครับ]
พอเห็นข้อความนี้ อิ๋งลู่เวยก็โล่งอกขึ้นมาหน่อย
เธอเงยหน้ามองผู้จัดการส่วนตัวในสภาพที่มีน้ำตาคลอเบ้า “ทางคุณว่าไงบ้าง”
“บริษัทตัดสินใจให้นักร้องโนเนมคนหนึ่งช่วยรับเคราะห์แทนคุณ” ในที่สุดสีหน้าของผู้จัดการส่วนตัวก็ดีขึ้น “ช่วงสองสามวันนี้คุณอย่าเพิ่งทำอะไร รอผมบอกให้คุณโพสต์เวยปั๋วคุณค่อยโพสต์”
เขาตั้งใจไปที่บริษัทด้วยตัวเองมารอบหนึ่งเพื่อไม่ให้บันทึกการสนทนารั่วไหล
ข้อตกลงหลังจากนั้นก็เป็นการคุยกันแบบต่อหน้า ไม่มีการทำธุรกรรมโอนเงินออนไลน์ ระมัดระวังถึงขีดสุด
นักร้องโนเนมคนนั้นมีชื่อเสียงไม่มาก แบบนี้ยังจะได้รับความสนใจขึ้นมาบ้าง และก็ไม่แคร์ว่าผลจะเป็นอย่างไร ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
อิ๋งลู่เวยวางใจได้สักที เธอเสยผม ยิ้มพลางพูด “งั้นก็ชดเชยให้เธอมากหน่อยแล้วกัน จำไว้ว่าต้องแอบทำ หาที่ที่ไม่มีกล้องวงจรปิด”
เธอไม่เชื่อว่าอยู่ๆ อิ๋งจื่อจินจะเสกกล้องวงจรปิดขึ้นมาได้
ก็แค่นักร้องโนเนม มารับเคราะห์แทนเธอก็ถือเป็นเกียรติแล้ว
…
ตกเย็น อิ๋งจื่อจินกลับบ้านตระกูลจง
จงจือหว่านกลับมานานแล้ว พอเห็นอิ๋งจื่อจินเข้ามา สีหน้าที่เดิมทีเย็นชาก็บึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม
แค่เหลือบมองเล็กน้อยก็ละสายตากลับ
อิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้สนใจเธอ เดินตรงขึ้นไปชั้นบน
จงจือหว่านมองตามหลัง สายตาจับจ้อง เจือไปด้วยความอยากรู้
เวยปั๋วที่ผู้เฒ่าจงโพสต์ในวันนั้นได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั้งตระกูลจง
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่มีอะไรอีก แอคเคาท์เชิงพาณิชย์พวกนั้นก็สร้างข่าวลือจริงๆ
ไม่อย่างนั้นไม่เท่ากับตระกูลจงถูกดึงลงไปแปดเปื้อนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเหรอ
จงจือหว่านเม้มริมฝีปาก ข่มความไม่พอใจและสงสัยในจิตใจ ทำให้ตัวเองจดจ่ออยู่กับเรื่องเรียน
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นที่หนึ่งของสายชั้น คุณหนูใหญ่ตระกูลจง
อิ๋งจื่อจินถูกไล่ออกจากคลาสเด็กอัจฉริยะไปแล้ว การเรียนก็ยังตกต่ำ
เทียบกับเธอไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เธอไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยด้วย
อย่างไรซะต่อให้ผู้เฒ่าจงจะเลอะเลือนกว่านี้ก็ควรรู้จักหนักเบา
ที่ชั้นบน
ภายในห้องทำงาน
ผู้เฒ่าจงกำลังคุยกับชาวเน็ตในเวยปั๋วอย่างออกอรรถรส
เวลานี้ชายชรากำลังสบายใจ ยกนิ้วโป้งให้หลานสาว “จื่อจิน สุดยอด ขนาดตาติดต่อสำนักงานทนายความซีเฟิงยังต้องใช้เวลาหลายวันเลย แต่เพียงชั่วพริบตาหลานก็ติดต่อได้แล้ว”
“ฟ้องได้เยี่ยมมาก ใครใช้ให้มารังแกหลานสาวของตา พวกคนหน้าไม่อาย”
ผู้เฒ่าจงโมโห อารมณ์ประหนึ่งอยากถืออาวุธออกไปเอาเรื่อง
อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเล็กน้อย รู้สึกจนปัญญา ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลายลง เพิ่มเติมคือความเหนื่อยล้า
เธอก้าวขึ้นหน้าเอากล่องขนมวางบนโต๊ะ “คุณตาคะ ให้คุณตาค่ะ กินวันละชิ้น”
“หลานทำเหรอ” ผู้เฒ่าจงตื่นเต้นดีใจ พูดชมทันที “หลานตาเป็นคนเก่ง”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ ไปยืนด้านหลังผู้เฒ่าจง เอามือวางบนบ่าของเขาแล้วบีบนวดตามจุดลมปราณ
“จื่อจิน หลานมีเวยปั๋วทำไมไม่บอกตา” ผู้เฒ่าจงแอบไม่พอใจ “ตามีคนติดตามสองแสนแล้ว ช่วยเรียกคนมาติดตามได้นะ เร็วเข้า เราสองคนมากดติดตามกันเองหน่อย”
อิ๋งจื่อจิน “…”
ต้องยอมรับเลยว่า ในฐานะที่เธอเพิ่งสัมผัสกับเทคโนโลยีของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้ไม่นาน ยังตามกระแสไม่ทันเท่าคนแก่
เธอเอียงหน้ามองเวยปั๋วของผู้เฒ่าจงแล้วก็พบว่าเขายังถ่ายคลิปวิดีโอลงเองเป็นด้วย
ร้ายกาจไม่เบา
ผู้เฒ่าจงพูดต่อ “เมื่อกี้ตาดูแล้วนะ คราวนี้หลานมีคนทั่วไปมาติดตามเพิ่มขึ้นเยอะมาก แถมยังเป็นแฟนคลับที่ชอบเพราะหน้าตา หลานโพสต์สักรูปให้พวกเขาเชยชมหน่อยเป็นไง”
“คุณตา” อิ๋งจื่อจินเพิ่มแรงกดอย่างใจเย็น “หนูไม่ใช่ดารานะคะ”
เธอก็แค่สนใจในเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็แค่ใช้ชีวิตเกษียณ
“ก็จริง ติดตามมากไปก็ไม่ดี” ผู้เฒ่าจงพยักหน้า “ตาไปบอกตาแก่ฟู่แล้วนะ ให้หลานชายของเขาทำตัวดีๆ หน่อย อย่ามาหมายปองหลาน”
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้ว “หมายปองหนูเหรอคะ”
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา อ่านข้อความวีแชทที่ฟู่อวิ๋นเซินส่งมาให้หลังแยกกัน ถึงได้รู้ว่าผู้เฒ่าจงกำลังพูดเรื่องอะไร
[จริงสิเด็กน้อย หลายวันก่อนคุณตาของเธอพูดกับคุณปู่ของพี่ชายว่า พี่ชายคิดไม่ซื่อกับเธอ อยู่ๆ พี่ชาย…ก็ตกเป็นจำเลยเฉย]
[พี่ชายสาบานเลยว่า พี่ชายไม่ได้ป่าเถื่อนแบบนั้น]
อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง ตอบกลับคำเดียว
[อืม]
คิดเล็กน้อย ตอบไปอีกสองคำ
[ขอบคุณพี่ชาย]
จากนั้นก็คิดอีก ดึงสองคำเมื่อกี้กลับ
ในเสี้ยววินาที
แต่พอดึงกลับมาทางด้านนั้นก็ส่งข้อความมาทันที
[เอ๊า พี่ชายเห็นแล้ว ต่อไปห้ามดึงกลับ พูดต่อหน้าพี่ชาย ไม่ต้องอาย]
อิ๋งจื่อจินออกจากวีแชท เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เอาใหญ่
เอาใหญ่แล้วจริงๆ
…
วันที่สาม
กระแสในเน็ตเริ่มซาลง ชาวบ้านที่มุงดูก็เริ่มหายไป
บรรดาแอคเคาท์เชิงพาณิชย์ที่รอแล้วรอเล่าไม่ได้รับจดหมายจากทนายก็พากันออกมาโพสต์อีกครั้ง แต่ละแอคเคาท์อวดดีไม่เบา
[ก็บอกแล้วว่าแค่ขู่ ไม่มีปัญญาฟ้องหรอก พวกเธอก็ไม่เชื่อกัน]
[วางท่าเสียดิบดี แถมยังไปเชิญสำนักงานทนายความซีเฟิงมาโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่ข้างในกลวง น่าขำเป็นบ้า]
[ฟ้องสิ จะฟ้องไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ฉันยังไม่ได้จดหมายจากทนายเลยล่ะ โทษนะ ครั้งหน้ายังจะกล้าอีก]
พอเห็นเวยปั๋วที่แอคเคาท์พวกนี้โพสต์ เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็โล่งอก ในใจยังหวาดกลัวไม่หาย
ไม่ฟ้องก็ดี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ได้ทุนการศึกษาของเทอมนี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเรียนนิติศาสตร์ด้วย ถ้ามีคดีติดตัวไม่เท่ากับเรียนมาสูญเปล่าเลยเหรอ
อิ๋งจื่อจินก็แค่ขู่เท่านั้นสินะ ไม่ได้เก่งกาจอะไร
ก็เพราะเธอรู้ว่าคนธรรมดาเวลาเจอเรื่องแบบนี้ใช้กฎหมายสู้กลับลำบาก เธอถึงได้กล้าสร้างข่าวลือด่าทอสารพัด
เด็กสาวได้ใจ เธอเข้าเวยปั๋วทีมสนับสนุนอิ๋งลู่เวยแล้วเริ่มทำภารกิจของวันใหม่ เพิ่มยอดติดตามและคนเข้าชมให้อิ๋งลู่เวย
ในเวลานี้เอง อยู่ๆ สำนักงานทนายความซีเฟิงที่เงียบไปสองวันก็โพสต์เวยปั๋ว
แอทสำนักงานทนายความซีเฟิง : [กรุณาเช็กด้วย ^_^]