พอคำพูดนี้ออกมา พ่ออิงกับคุณนายอิงต่างอึ้งไปตามๆ กัน
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ สีหน้าหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“คุณตำรวจ พวกคุณหมายความว่าไงคะ”
ตบหน้าเธอเต็มๆ อย่างนั้นเหรอ
ผู้กำกับการพยักหน้า ไม่ได้โมโห “ตามนั้นเลยครับ”
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งโมโหควันออกหู พูดเน้นย้ำอีกครั้ง “ฉันเป็นย่าของเด็กคนนั้นนะ!”
ผู้กำกับการยังคงสุภาพมีมารยาท แม้คำพูดจะเริ่มไม่ไว้หน้าแล้วก็ตาม “ต่อให้คุณนายเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่มีประโยชน์ครับ”
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยว ที่มากกว่าคือความอับอาย
เธอโกรธหน้าดำหน้าแดงจนเกือบเป็นลม
เธอได้รับการให้เกียรติมาตลอดในเมืองฮู่เฉิง เคยถูกพูดประชดแบบนี้ที่ไหนกัน
“ให้พวกเขาออกไป” ผู้กำกับการส่ายมือ ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้
คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งจึงใช้ความอาวุโสข่มขู่ไม่ได้อีก ถูกไล่ออกไปทั้งแบบนี้
เธอยืนอยู่ปากประตูสถานีตำรวจ อยากเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี
ขายหน้าจนไม่เหลือแล้ว คุณนายผู้เฒ่าอิ๋งยังจะมีอารมณ์สนใจเรื่องของอิงเฟยเฟยได้อย่างไร เธอขึ้นรถกลับทันที
“ที่รัก ทำไงดี” คุณนายอิงลนลาน “ตระกูลอิ๋งออกหน้ายังช่วยไม่ได้ แบบนี้เฟยเฟยไม่ต้องติดคุกแน่แล้วเหรอคะ”
พ่ออิงสีหน้าบึ้งตึง พอได้ยินแบบนี้ก็ตบหน้าคุณนายอิงหนึ่งฉาด
“โง่เง่า รู้ไหมว่าผู้กำกับการคนนั้นเป็นใคร”
คุณนายอิงถูกตบก็มึนไปหมด เอามือจับใบหน้า ยืนอึ้งไม่ได้สติกลับมา
“เขาถูกย้ายมาจากตี้ตู ปกติไม่ได้อยู่ฮู่เฉิง” พ่ออิงพูดเสียงลอดไรฟัน “ถึงขนาดเขามาด้วยตัวเอง คุณรู้หรือเปล่าว่าเรื่องนี้มันรุนแรงขนาดไหน!”
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เขาไม่มีทางไปขอร้องตระกูลอิ๋งหรอก
คุณนายอิงตกใจหน้าเสีย “แต่ แต่นั่นเป็นแค่ลูกเลี้ยง ทำไมถึงได้…”
“เพราะคุณตามใจจนได้เรื่อง!” พ่ออิงไม่อยากฟังภรรยาพูด แสยะยิ้ม
“คุณรอดูเรื่องนี้ทำลายครอบครัวอิงได้เลย”
คุณนายอิงยืนอยู่ที่เดิม กลางวันแสกๆ แต่กลับรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
ในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ว่า ดูเหมือนเธอได้ไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรเข้าแล้ว
…
ภายในสถานีตำรวจ
ตำรวจหญิงออกไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ถามด้วยความแปลกใจ “ผู้กำกับการคะ พวกเขาไม่รู้หรือเปล่าว่าเรื่องนี้มีสองตระกูลจากตี้ตูเข้ามายุ่งด้วย”
ไม่อย่างนั้นจะเอาความกล้ามาจากไหนมาอ้างเรื่องถอนฟ้องแทนคนอื่น
เดี๋ยวคงได้ตกใจจนถึงขั้นตายได้
“ต่อให้ไม่มีทางตี้ตูเข้ามายุ่ง เรื่องนี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาตกลงกันเองได้” ผู้กำกับการดื่มน้ำ วางแก้วลง “ชาวเน็ตหมิ่นประมาทเด็กสาวคนหนึ่งอย่างรุนแรง ยังจะมีหน้าพูดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต”
ตำรวจหญิงเห็นด้วย ถามต่อ “ผู้กำกับการคะ ต้องหานักจิตวิทยาให้เด็กคนนั้นหรือไม่คะ กลัวว่าเรื่องจะฝังใจเธอ”
ขนาดเธอที่เป็นผู้ใหญ่อ่านคอมเมนต์พวกนั้นในเวยปั๋วยังรู้สึกรับไม่ได้
แล้วนับประสาอะไรกับเด็กสาว
“มีคนไปติดต่อแล้ว” ผู้กำกับการพยักหน้า “คุณไปจัดการพวกคำให้การ จากนั้นก็ส่งให้สำนักงานทนายความซีเฟิง”
ตำรวจหญิงออกไปทำงาน
ผู้กำกับการครุ่นคิด หยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์ “คุณอิ๋ง สวัสดีครับ คุณนายผู้เฒ่าของตระกูลอิ๋งเพิ่งมาเลยโทรมาแจ้งครับ”
ภายในร้านขายสัตว์เลี้ยง อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไร “ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่” ผู้กำกับการพูดต่อ “อีกไม่กี่วันจะมีนักจิตวิทยาจากตี้ตูมาที่ฮู่เฉิง คุณมาเจอได้นะครับ”
ไม่ใช่แค่คนที่มีปัญหาทางจิตถึงจำเป็นต้องพบนักจิตวิทยา นักจิตวิทยาช่วยนักเรียนผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนก็ได้เช่นกัน
“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
กดตัดสาย สายตาของอิ๋งจื่อจินกลับมาที่หมูตรงหน้าอีกครั้ง
ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ตัวกลมๆ แม้แต่เท้าเล็กๆ ยังอ่อนนุ่มสีชมพู
จมูกอ่อนเชิดขึ้น อยู่ระหว่างดวงตาดำขลับ กะพริบไปกะพริบมา
อีกทั้งยังเอาหูมาถูฝ่ามือของเธอ
พนักงานที่อยู่ข้างๆ แนะนำอย่างกระตือรือร้น “คุณผู้หญิง นี่คือหมูแคระ เป็นสัตว์เลี้ยงที่ขายดีอันดับหนึ่งของร้านเรา เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างหมูแทมเวิร์ธกับหมูกลอสเตอร์ไชร์ เป็นที่นิยมมากของผู้ดีในยุโรปค่ะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “งั้นเอาตัวนี้ค่ะ”
ผลการวิจัยพบว่า ในบรรดาสัตว์จำนวนแสนกว่าชนิดทั่วโลก สติปัญญาของหมูอยู่ในอันดับที่สิบ เทียบเท่ากับเด็กวัยสามสี่ขวบ ไม่ใช่แค่ฉลาด ยังเชื่องมากอีกด้วย
เพราะแบบนี้เธอถึงได้ชอบหมู
ฟู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ข้างเธอ กำลังแหย่หนูตะเภาเล่น พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้น
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก เขาสามารถมองเห็นขนตาที่หลุบลงของเธอ
หากเขาเข้าไปใกล้อีกนิดก็จะสัมผัสถูกแขนของเธอ
เวลานี้เธอดูสดชื่นขึ้น ไม่ได้ดูเย็นชาแบบปกติอีกต่อไป
ชวนให้นึกถึงแสงแดดในยามเช้า สายลมยามบ่าย ดวงจันทร์ยามราตรี
ราวกับมีฟองสบู่ลอยออกมาจากผิวหนังที่ขาวผ่องเป็นยองใยของเธอ ทั้งหมดตกกระทบที่มือของเขา อ่อนนุ่มละมุนละไม
ดวงตาของฟู่อวิ๋นเซินหลุบลง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวรักษาระยะห่างที่เหมาะสม
ไม่ดูห่างเหินและไม่ใกล้ชิดจนเกินไป
เป็นสุภาพบุรุษมาก
หมูแคระหนึ่งตัวราคาไม่ใช่ถูกๆ สามารถขายออกไปได้ง่ายขนาดนี้ พนักงานย่อมกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม “คุณผู้หญิงตั้งชื่อให้มันได้นะคะ ฉันจะไปจัดการขั้นตอนให้”
อิ๋งจื่อจินเขี่ยหูเล็กๆ ของหมูแคระ คิดอย่างจริงจัง “เอาเชื่อมู่มู่แล้วกันค่ะ”
“มู่ที่แปลว่าคิดถึงน่ะเหรอ” ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ “เด็กน้อย มีรักก่อนวัยอันควรมันไม่ดีนะ”
เขายังคงทำตัวเป็นห่วงเหมือนพ่อสูงวัย
“ไม่ใช่ นี่เป็นชื่อเพื่อนสนิทของฉัน” อิ๋งจื่อจินอุ้มหมูแคระขึ้นมาพินิจพลางครุ่นคิด “ฉันว่าบางมุมของมันคล้ายเพื่อนฉันมาก เอาไว้ดูแก้คิดถึงได้”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินถามด้วยความสนใจ “มุมไหนเหรอ”
อิ๋งจื่อจินลูบหัวหมูแคระ “ซื่อบื้อจนน่ารัก กินได้”
ฟู่อวิ๋นเซิน “…”
ใช้ได้ สมกับเป็นเพื่อนสนิท
แต่สุดท้ายอิ๋งจื่อจินก็ตั้งอีกชื่อหนึ่ง
ชื่อว่า ตูตู
ตูตูมีอายุเพียงสองเดือน เดินยังไม่แข็ง เซไปเซมา
อิ๋งจื่อจินอุ้มตูตูขึ้นมาวางไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง
ฟู่อวิ๋นเซินตามหลังเธอหนึ่งก้าว เหลือบมองโทรศัพท์รุ่นเก่าของตัวเอง
ในนั้นมีข้อความส่งมา ไม่มีชื่อ เป็นเบอร์เปล่า
[พี่ ทำไมไม่เอาเจียงซื่อกรุ๊ปให้ตาย หยุดมือทำไม เปลืองเงินจะตาย ไม่รู้เหรอว่าเสียหายแค่แดงเดียวหัวใจผมก็เจ็บปวดทุรนทุรายแล้ว]
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ตอบ เก็บโทรศัพท์กลับไป
ผู้เฒ่าเจียงเคยช่วยชีวิตเขาไว้ เขาไม่มีทางทำลายเจียงซื่อกรุ๊ปจนป่นปี้
แต่ว่า…
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินเชิดขึ้น
แต่ดึงเจียงมั่วหย่วนให้ลงจากตำแหน่งประธานบริหาร เรื่องนั้นกลับไม่เป็นปัญหา
…
หุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปแกว่งมาตลอดห้าวัน เสียหายไปมากถึงพันล้านภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้
ในขณะที่บรรดาผู้บริหารระดับสูงกำลังจะสิ้นหวัง ทันใดนั้นหุ้นก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
ทางเจียงซื่อกรุ๊ปไม่รู้ตั้งแต่ต้นจนจบว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
แต่ทางนั้นกลับสามารถควบคุมหุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปได้ตามใจชอบ ทำให้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนต่างเกิดความรู้สึกหวาดกลัวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่โชคดีที่เจียงซื่อกรุ๊ปมีรากฐานที่แน่นพอ หากเป็นตระกูลเล็กๆ ตระกูลอื่นคงได้ล้มละลายทันที
แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ ความน่าเชื่อถือของเจียงมั่วหย่วนก็ลดลงฮวบฮาบ
ผู้ถือหุ้นจำนวนไม่น้อยต่างสงสัยในตัวเขาว่ายังจะมีความสามารถอยู่ในตำแหน่งประธานบริหารต่อไปได้อีกหรือไม่
เจียงมั่วหย่วนอารมณ์เสียอย่างรุนแรง เขาโยนเอกสารหลายฉบับลงบนโต๊ะ อยากพักผ่อน แต่กลับปวดหัวเหลือเกิน แม้แต่จะหลับตายังทำไม่ได้
โดยเฉพาะหลังจากที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเวยปั๋วช่วงไม่กี่วันมานี้ อารมณ์ก็ขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิม
เขาจุดบุหรี่หนึ่งมวน เดินไปยังผนังกระจก มองลงไปข้างล่างแล้วค่อยๆ พ่นควันออกมา
สายตามองไปเรื่อย ไม่กี่วินาทีต่อมาทันใดนั้นสายตาของเขาก็จับร่างของคนคุ้นเคยได้
เจียงมั่วหย่วนอึ้ง ขมวดคิ้ว
ทำไมถึงได้…
เขาเริ่มไม่แน่ใจ มองกลับไปอีกครั้ง