พอคำพูดนี้ออกมา แม้แต่พวกผู้ถือหุ้นที่มาด้วยกันก็สีหน้าเปลี่ยน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณนายจงกับจงจือหว่านที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะพูด
ถึงแม้จงจือหว่านจะเป็นที่หนึ่งของชั้นมอห้า แต่ก็ไม่เคยคลุกคลีกับกิจการของตระกูล และก็ไม่มีพรสวรรค์ด้านการทำธุรกิจ
ส่วนคุณนายจงเป็นแม่บ้านเต็มตัว ช่วงหลายปีมานี้ที่แต่งเข้าตระกูลจงก็รับหน้าที่ปรนนิบัติผู้เฒ่าจงอยู่ในคฤหาสน์
อย่าว่าแต่ให้พูดแทรก เอาแค่วันนี้เรื่องที่หุ้นของจงซื่อกรุ๊ปร่วงเธอก็ไม่รู้
ตอนนี้สถานการณ์ของสี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง ตระกูลจงพิเศษที่สุด
เพราะมีเพียงตระกูลจงที่ผู้เฒ่าจงยังกุมอำนาจอยู่
ตระกูลอิ๋งกับตระกูลเจียง ผู้เฒ่าทั้งสองเสียไปแล้ว กลุ่มบริษัทก็ตกอยู่ในมือทายาทรุ่นต่อมา
ส่วนตระกูลฟู่ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูลเศรษฐีทั้งสี่ ถึงแม้ผู้เฒ่าฟู่จะยังอยู่ แต่เนื่องจากสุขภาพที่ย่ำแย่ นอกจากมีหุ้นอยู่ในมือแล้ว บริษัทก็ให้ฟู่หมิงเฉิงรับช่วงต่อไป
แต่ตระกูลจงไม่เหมือนกัน
ผู้เฒ่าจงยิ่งแก่ชรา สุขภาพก็ยิ่งดี จิตใจก็ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
โดยเฉพาะช่วงหนึ่งเดือนมานี้ เขาสามารถแบกถังน้ำขึ้นตึกสิบชั้นโดยที่ไม่หอบ แรงดียิ่งกว่าเด็กหนุ่มเสียอีก
มีคนในตระกูลจงเริ่มนั่งไม่ติดตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว
แต่ในมือของผู้เฒ่าจงถือหุ้นของเจียงซื่อกรุ๊ปอยู่ห้าสิบสี่เปอร์เซ็นต์ เรื่องใหญ่ๆ ทั้งหมดก็ต้องให้ผู้เฒ่าจงเป็นคนตัดสินใจ
คนพวกนี้ก็จนปัญญา ได้แต่คาดหวังให้ผู้เฒ่าจงตาย
รอมาหลายปีก็ยังไม่สมหวัง ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม
จงเทียนอวิ๋นเป็นคนนั้นที่รอไม่ได้มากที่สุด เขาได้รับการดูแลจากผู้เฒ่าจงก็จริง แต่ในใจกลับไม่ยินยอม
ถ้าพ่อของเขาไม่ด่วนจากไป ไม่แน่ก็อาจได้เป็นคนตัดสินใจในจงซื่อกรุ๊ปไปแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพ่อของเขาตายเพราะช่วยชีวิตผู้เฒ่าจง
ถ้าผู้เฒ่าจงรู้สึกละอายใจจริงก็ควรให้เขาสืบทอดจงซื่อกรุ๊ปต่อ
แต่จงเทียนอวิ๋นรอมาสิบกว่าปี ผู้เฒ่าจงก็ยังไม่มีความประสงค์นั้น
ช่วงนี้เขาอยากหาทางจับผิดผู้เฒ่าจงมาตลอด
เดิมทีเรื่องเวยปั๋วคราวก่อนที่ผู้เฒ่าจงใช้แอคเคาท์ของจงซื่อกรุ๊ปช่วยแก้ต่างให้ลูกเลี้ยงคนนั้น มันก็เป็นเรื่องไม่สมควรอยู่แล้ว
เพียงแต่จงเทียนอวิ๋นนึกไม่ถึงว่า สุดท้ายผลลัพธ์กลับออกมาดี
อีกทั้งจงซื่อกรุ๊ปยังได้รับความประทับใจจากคนทั่วไปอย่างล้นเหลือเพราะการโพสต์ครั้งนั้นของผู้เฒ่าจง หุ้นขึ้นไปไม่น้อย
จงเทียนอวิ๋นรอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็ได้โอกาสนี้
อัญมณีล้ำค่าของเฝ่ยชุ่ยไจหายไปแล้ว
จงซื่อกรุ๊ปเผชิญกับความเสียหายครั้งใหญ่ ผู้เฒ่าจงยากที่จะหนีพ้นความผิด
เขาสามารถใช้ข้ออ้างนี้บีบให้ผู้เฒ่าจงลงมาได้อย่างสิ้นเชิง แล้วเอาหุ้นมาไว้ในมือ พอถึงเวลานั้นจงซื่อกรุ๊ปก็จะเปลี่ยนนาย
“เทียนอวิ๋น ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว” ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น “พวกเราไม่ควรจะไปหาเบาะแสของอัญมณีล้ำค่าก่อนเหรอ”
อัญมณีล้ำค่าของเฝ่ยชุ่ยไจเป็นผลงานของปรมาจารย์แกะสลักท่านหนึ่งเมื่อห้าสิบปีก่อน ถูกเก็บรักษาอยู่ในตระกูลจงจวบจนทุกวันนี้
ปรมาจารย์แกะสลักท่านนี้ใช้หยกที่สูงเท่าครึ่งตัวคนมาแกะสลักเป็นพระแปดสิบแปดรูป ฝีมือการแกะสลักระดับนี้เรียกได้ว่าวิจิตรตระการตา สุดท้ายได้ตั้งชื่อให้ว่า ‘โลกสิบทิศ’
ลำพังแค่ตัวหยกชิ้นนี้ก็มูลค่าเกือบสิบล้านแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพอนำมาแกะสลักเป็นผลงานด้วยฝีมือของระดับปรมาจารย์ ราคาขายอยู่ที่ห้าร้อยล้าน
ราคานี้สูงเกินไป ถ้าไม่ใช่ระดับมหาเศรษฐี อีกทั้งหลงใหลในหยกแกะสลัก คนปกติไม่มีทางซื้อ
ดังนั้นช่วงหลายปีมานี้จึงถูกวางอยู่ที่เฝ่ยชุ่ยไจมาตลอด มีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด
ผ่านมาหลายปีโลกสิบทิศก็อยู่ดีมาตลอด ไม่มีใครคาดคิดว่าสักวันหนึ่งมันจะหายไป
“ประธานสือ ตามหาโลกสิบทิศเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่คุณยูจีนมาถึงฮู่เฉิงแล้วนะครับ” จงเทียนอวิ๋นไม่หวั่นไหว “เซ็นสัญญาไปแล้วด้วย ก็ต้องให้คำตอบเขาก่อน”
ขณะพูดเขาก็มองสีหน้าเย็นชาของผู้เฒ่าจงแล้วยิ้มพลางพูด “อีกทั้ง จงซื่อกรุ๊ปก็มีแค่ผู้เฒ่าที่พูดจามีน้ำหนักหรือเปล่า”
ผู้ถือหุ้นสือได้ยินแบบนี้ก็ไม่กล้าพูดต่อ
คนที่ซื้อโลกสิบทิศในครั้งนี้เป็นบริษัทข้ามชาติที่มาจากยุโรป มีกิจการในประเทศจีนด้วยเช่นกัน
จงซื่อกรุ๊ปไม่ติดสิบอันดับแรกของประเทศจีนเสียด้วยซ้ำ แล้วจะเทียบชั้นกับบริษัทข้ามชาติได้อย่างไร
มีแค่ให้ผู้เฒ่าจงไปทำการรับประกันเท่านั้น ถึงจะทำให้อีกฝ่ายไม่เอาเรื่องจงซื่อกรุ๊ป พวกเขาก็จะมีเวลาไปตามหาเบาะแสของโลกสิบทิศ
“ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว” จงเทียนอวิ๋นกวาดตามองสองแม่ลูกคุณนายจงกับจงจือหว่าน พูดจาดูถูก “ท่านผู้เฒ่า ลูกชายหลายคนของท่านผู้เฒ่าก็ไม่อยู่ วันนี้ไม่ว่ายังไงท่านผู้เฒ่าก็ต้องไปกับพวกเรา”
บอดี้การ์ดพวกนี้จงเทียนอวิ๋นพามาโดยเฉพาะ ฝีมือสุดยอดมาก
รับมือกับคนหนุ่มเป็นเรื่องง่ายมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแก่แค่คนเดียว
จงจือหว่านเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนกัน ลนลานขึ้นมาทันที “คุณปู่…”
“หว่านหว่าน อย่าบุ่มบ่าม” คุณนายจงจับลูกสาวไว้ พูดเสียงเบา “คุณปู่ของลูกยังเป็นประธานใหญ่ของจงซื่อกรุ๊ปอยู่ พวกเขาไม่มีทางทำอะไร”
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้พวกเธอไปจะทำอะไรได้
ผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าคือถูกจับไปด้วยกันหมด
จงเทียนอวิ๋นไม่ได้เห็นสองแม่ลูกคู่นี้อยู่ในสายตา เขาส่ายมือด้วยความรำคาญ “เอาไป ใครกล้าขวางก็พาไปด้วยให้หมด”
จงจือหว่านเอาสองมือปิดปาก แม้แต่จะร้องไห้ยังไม่กล้า
พ่อบ้านจงที่อยู่ข้างๆ ก็ร้อนใจเหลือเกิน แต่เขาถูกบอดี้การ์ดสองคนคุมตัวไว้ แม้แต่จะโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้
ในขณะที่พ่อบ้านจงได้แต่มองดูบอดี้การ์ดจับตัวผู้เฒ่าจง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตกกระทบที่นอกห้อง
คล้ายเสียงของประดับตกแต่งแตกกระจาย
ตามมาด้วยไอเย็นแผ่ซ่านราวกับสายลมที่พัดผ่านผิวทะเลสาบ
“ก็ลองดูสิ”
เด็กสาวเปิดประตูเข้ามาจากด้านนอก เธออยู่ในชุดเสื้อกันหนาวกางเกงขายาวที่เรียบง่าย ศีรษะสวมหมวกเบสบอลที่เอาไว้กันแดด
เธอย้อนแสง ใบหน้าถูกกลบ ดูเลือนรางไม่ค่อยชัด
จงจือหว่านเงยหน้ามองไป อึ้งไปชั่วขณะ
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้เฒ่าจงไม่ได้โทรหา ทำไมอิ๋งจื่อจินถึงเป็นฝ่ายมาเองล่ะ
พอเห็นหลานสาว ในที่สุดสีหน้าของผู้เฒ่าจงก็เปลี่ยน ร้อนใจขึ้นมาทันที “จื่อจิน ทำไมมาในเวลานี้ล่ะ ตามีธุระอยู่ ไว้วันอื่นค่อยมานะ”
เขาอายุปูนนี้อยู่มาพอแล้ว จะเอาหลานๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้
เดิมทีจงเทียนอวิ๋นก็ไม่หวังดีอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะทำเรื่องอะไรได้บ้าง
อิ๋งจื่อจินกลับไม่ไปไหน เธอยิ้มพลางพยักหน้า “คุณตา”
“แกเป็นใคร” จงเทียนอวิ๋นขมวดคิ้ว ไม่พอใจ “ตระกูลจงมีคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
อย่างน้อยใบหน้าแบบนี้เจอครั้งเดียวก็ไม่มีทางลืม
“เธอไม่ใช่คนตระกูลจง เป็นเด็กที่ตระกูลอิ๋งรับเลี้ยงไว้” คุณนายจงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เทียนอวิ๋น ไม่ว่ายังไงท่านผู้เฒ่าก็เป็นผู้อาวุโส นายทำแบบนี้มันบาปกรรมนะ”
“ที่แท้ก็ลูกเลี้ยงคนนั้น” จงเทียนอวิ๋นไม่สนใจคำพูดของคุณนายจง พอได้ฟังก็แสยะยิ้มดูถูก “ฉันก็นึกว่าใคร ท่านผู้เฒ่าดูเหมือนจะเลอะเลือนจริงๆ สินะ”
ผู้เฒ่าจงตะคอกใส่ “จงเทียนอวิ๋น หุบปากทุเรศของแกไปเลยนะ!”
จงจือหว่านเห็นว่ามาถึงขนาดนี้แล้วผู้เฒ่าจงยังคงปกป้องอิ๋งจื่อจิน ในใจก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
เธอกำมือ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จื่อจิน ฉันรู้ว่าเธอทำเพื่อคุณปู่ แต่เธอช่วยอะไรไม่ได้ อย่าเพิ่มความยุ่งยากจะได้ไหม”
ขนาดผู้เฒ่าจงยังจนปัญญา อิ๋งจื่อจินจะทำอะไรได้
“โฮ่ ท่านผู้เฒ่า หลานสาวคนนี้น่าสนใจดีนะ” จงเทียนอวิ๋นทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “แม้แต่ลูกเลี้ยงยังรู้จักมาขวางผม แต่หลานสาวท่านผู้เฒ่าคนนี้ไม่เพียงแต่จะนั่งนิ่ง ยังช่วยต่อว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้ด้วย”
“ขนาดผมเป็นคนนอกผมยังทนดูไม่ได้ นี่เป็นการอบรมเลี้ยงดูของบ้านท่านผู้เฒ่าเหรอครับ”
จงจือหว่านหน้าแดงขึ้นมาทันที ดวงตามีน้ำตาคลอ สั่นไปทั้งตัว
ความคิดที่อยู่ในใจถูกเปิดโปง เธอรู้สึกอับอายเหลือเกิน เงยหน้าไม่ขึ้น และก็ไม่กล้ามองผู้เฒ่าจง
อิ๋งจื่อจินไม่พูดอะไร เธอถกแขนเสื้อขึ้น
“แกจะทำอะไร” จงเทียนอวิ๋นส่ายหน้า “คงไม่ได้คิดว่าผู้หญิงตัวคนเดียวจะ…”
คำพูดที่เหลือได้ถูกอุดอยู่ในลำคอพร้อมเสียงร้องโวยวาย พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เท้าของอิ๋งจื่อจินยังคงเหยียบแขนของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง พอได้ยินก็หันหน้าไป เหมือนกำลังยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หืม จะอะไรเหรอ”
ผู้เฒ่าจงตะลึง “…”
พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง หลานสาวของเขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ
ทำไมเขามองไม่ออกเลยล่ะ
ผู้เฒ่าจงขยี้ตา สงสัยอย่างรุนแรงว่าอาการสายตายาวของตัวเองหนักแล้วหรือเปล่า มองเห็นไม่ชัดว่าบอดี้การ์ดพวกนี้ล้มไปได้อย่างไร
จงจื่อหว่านดวงตาเบิกโพลงยิ่งกว่า รู้สึกเหลือเชื่อ
คุณนายจงเองก็คาดไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินจะจัดการบอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
ภายในเวลาไม่กี่วินาที
นี่มัน…
“ดีมากๆ มิน่าถึงมีความกล้าขนาดนี้ ที่แท้ก็มีฝีมืออยู่บ้าง” หลังจากที่จงเทียนอวิ๋นหายตะลึงก็โมโหขั้นสุด “เธอคิดว่าแค่นี้จะขวางฉันได้เหรอ”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะสนใจ
เธอเตะบอดี้การ์ดบนพื้นไปหนึ่งทีแล้วหันไปมองด้านนอกประตู