อาศัยจังหวะที่เพลงยังเล่นไม่จบ เธอจะปล่อยให้คนเห็นอิ๋งจื่อจินไปมากกว่านี้ไม่ได้
อิ๋งลู่เวยแทบไม่ต้องคิด ต่อให้ต้องพังคอนเสิร์ตตัวเองก็ตาม ก็ต้องหยุดให้ได้
พอเห็นสตาฟพวกนี้ก็กำลังดื่มด่ำกับบทเพลงของอิ๋งจื่อจิน เธอจึงตะโกนอย่างเสียสติ “ฉันบอกให้พวกคุณปิดเสียงไง!”
พวกสตาฟไม่สนใจเธอ
ล้อเล่นหรือเปล่า นี่มันเพลงของ วีร่า โฮลท์ซ เลยนะ
พวกเขาได้ฟังก็นับเป็นบุญหูมาก
อิ๋งลู่เวยโกรธจนตัวสั่น
เนื่องจากควบคุมอารมณ์ไม่ได้ สะเทือนใจอย่างรุนแรง น้ำตาจึงไหลพรั่งพรูอยู่ตลอด
อิ๋งลู่เวยไม่มีเวลาสนใจอะไรมาก เธอค้นกรรไกรจากกล่องเครื่องมือที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เดินขึ้นหน้า ตัดสายที่มีทั้งสีแดงสีน้ำเงินพวกนั้น
สตาฟได้สติกลับมา ตกใจการกระทำของเธอรีบเข้าไปห้ามทันที “คุณผู้หญิง!”
“หลบไป” ภาพลักษณ์เสแสร้งของอิ๋งลู่เวยหายไปหมด ยังมีความอ่อนโยนสง่างามแบบตอนปกติที่ไหนกัน เธอยกมือตบหน้าสตาฟคนนั้น “ฉันบอกให้ไสหัวไป!”
อิ๋งลู่เวยตัดสายพวกนั้นต่อ ทันใดนั้นได้มีเสียง ‘แชะ’ ดังมาจากด้านหลัง
เป็นเสียงถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอ
ดวงตาของอิ๋งลู่เวยเบิกโพลงในทันที ใบหน้าซีดเผือด
สิ่งที่ทำให้ในใจของเธอพังทลายลงทั้งหมดก็คือ เธอตัดสายไฟไปตั้งมากขนาดนั้น กลับไม่ส่งผลต่อคอนเสิร์ตแม้แต่น้อย
“ยายแก่ คิดจะทำอะไรน่ะ” สองมือของเจียงหรานล้วงประเป๋ากางเกง แสยะยิ้มมองเธอ “คิดจะทำลายงานคอนเสิร์ตเหรอ ฝันอยู่หรือเปล่า”
ลูกน้องอยู่ด้านหลังของเขา กำลังบันทึกภาพอย่างเต็มที่
“ไป เข้าไปลากตัวยายแก่นี่ออกมา พาไปหน้าเวที” เจียงหรานตบมือ ยิ้มพลางพูด
“เธอไม่อยากฟังก็ต้องฟัง”
…
ด้านนอกหอประชุมใหญ่ฮู่เฉิง
รถลีมูซีน ลินคอล์น สเตรทช์ สีดำคันหนึ่งเข้ามาจอด
ประตูถูกเปิดออก เจียงมั่วหย่วนก้าวลงมาจากรถ
ใต้ตาของเขาเป็นสีเขียวคล้ำ เห็นได้ชัดว่าทำงานอดหลับอดนอนต่อเนื่องหลายวันอีกแล้ว
เลขาได้ยินเสียงปรบมือเกรียวกราวจากภายในหอประชุม เขาหันไปยิ้ม “ท่านสามครับ ดูท่าการแสดงของคุณหนูลู่เวยจะประสบความสำเร็จมากนะครับ”
เจียงมั่วหย่วนพยักหน้า
ที่เขาชอบอิ๋งลู่เวยไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาสองคนถูกจับคู่กันตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะทั่วทั้งเมืองฮู่เฉิงมีเพียงอิ๋งลู่เวยไฮโซอันดับหนึ่งคนนี้ที่คู่ควรกับเขาในทุกด้านโดยเฉพาะเปียโน
พอเขาทำงานเหนื่อยก็จะฟังอิ๋งลู่เวยเล่นเปียโน ร่างกาย และจิตใจก็จะรู้สึกผ่อนคลาย
โชคดีที่วันนี้งานเสร็จเร็ว ยังมาร่วมงานคอนเสิร์ตทัน
เลขาเดินตามเจียงมั่วหย่วนเข้าไป ได้ยินเสียงเปียโนที่ทุ้มต่ำ เขาก็พูดด้วยความตะลึง “ท่านสามครับ ฝีมือของคุณลู่เวยพัฒนาขึ้นอีกแล้วครับ”
เขายังไม่เคยฟังเพลงบรรเลงที่ไพเราะเท่านี้มาก่อน สายตาของเจียงมั่วหย่วนก็ขยับ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ประตูใหญ่ปิดอยู่ เขาเข้าไปทางประตูด้านข้างเป็นเรื่องบังเอิญที่ว่า เสียงสุดท้ายของเปียโนได้จบลงพอดี
“ติง!”
ราวกับโดนใจของคนฟัง เสน่ห์อันแรงกล้าที่ไม่อาจหาคำมาบรรยายได้ ทำให้ผู้ฟังตกอยู่ในห้วงนั้นอยู่นาน
สายตาของเจียงมั่วหย่วนหยุดชะงักในทันที ดวงตาเบิกโพลง เขามองร่างนั้นที่อยู่หน้าเปียโนสีทอง หัวใจราวกับมีมือมาบีบไว้ หดเกร็งอย่างรุนแรง
นั่นอิ๋งจื่อจิน!
เลขาที่อยู่ข้างๆ ก็ตะลึงเหมือนกัน ที่มากกว่าคือความเหลือเชื่อ “ท่านสาม ทำไมถึงได้เป็น…”
เสียงของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงปรบมือที่ดังขึ้นอีกครั้ง
“แปะๆ” จั๋วหลานหันก็ยืนปรบมือ เธอยิ้ม “สุดยอด สุดยอดเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าชีวิตนี้ของฉันจะโชคดีได้ฟังเพลงสามเพลงที่ขึ้นชื่อเรื่องความยากระดับโลกได้ถูกนำกลับมาเล่นอีกครั้ง”
เพลงตะวันกับจันทราอาจไม่เท่าไร อย่างไรเสียก็เคยมีนักเปียโนหลายคนหยิบมาเล่น
แต่การที่เพลงสงครามศักดิ์สิทธิ์กับเพลงบทเพลงแห่งฟลอเรนซ์ได้ปรากฏอีกครั้ง ก็เพียงพอให้สั่นสะเทือนไปทั้งวงการดนตรี เธอได้มาฟังเวอร์ชันเล่นสด ชาตินี้ก็ไม่เสียดายแล้ว
มิน่าต่อให้ วีร่า โฮลท์ซ ทิ้งไว้แค่สามบทเพลง แต่ก็เป็นสุดยอดเพลงที่โดดเด่นจนไม่อาจลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ดนตรีของยุโรปได้
เพลงแบบนี้เรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้
อิ๋งจื่อจินค่อยๆ ยืนขึ้น เธอพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”
“อิ๋งจื่อจินใช่ไหมจ๊ะ” ในดวงตาของจั๋วหลานหันมีความชื่นชมอย่างยากจะปิดบัง “เธออายุเพียงเท่านี้ก็เล่นได้ขั้นเทพขนาดนี้แล้ว ฉันล่ะอายตัวเองจริงๆ”
หยุดเล็กน้อยแล้วถามต่ออย่างอ่อนโยน “มีอาจารย์คอยสอนหรือเปล่า”
อิ๋งลู่เวยถูกลูกน้องของเจียงหรานสองคนลากเข้ามา พอได้ยินคำถามนี้ก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี
“อืม…” อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาเล็กสอนค่ะ”
“ว่าไงนะ” จั๋วหลานหันตะลึง น้ำเสียงกลับขรึมลง เธอโมโหแต่ไม่ใช่โมโหอิ๋งจื่อจิน
“อิ๋งลู่เวยฝีมือขั้นไหนมีเหรอที่ฉันจะไม่รู้ เขาไม่คู่ควรสอนเธอหรอก”
เชออวี้รู้จักจั๋วหลานหันมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเธอโมโหขนาดนี้
“อาจารย์จั๋วครับ เด็กไม่ได้โกหกครับ” เขากระแอมหนึ่งที พูดเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อครู่อิ๋งลู่เวยก็บอกว่าเธอสอนเด็กคนนี้เล่นเปียโนมาหนึ่งปีครับ”
[…ลู่เวยบอกว่าตัวเองเป็นคนสอนจริง แถมบนเวยปั๋วก็เขียนไว้]
[ปกติฉันไม่เล่นเน็ต ก็แค่ชอบลู่เวย ชอบเธอเล่นเปียโน ถึงได้มาฟังคอนเสิร์ตของเธอ ฉันไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากชอบเธออีกแล้วแม้แต่น้อย น่าขยะแขยง]
[ขำเป็นบ้า อิ๋งลู่เวยบอกว่าตัวเองเป็นคนสอนเหรอ ตอนไปทำหน้านี่เพิ่มชั้นให้หนาเป็นพิเศษเหรอ หนาไม่เบา]
[พวกแฟนคลับที่เมื่อกี้บอกว่าน้องเขาเล่นได้แย่กว่าอิ๋งลู่เวยหายหัวไปไหนหมดแล้ว ขอถามหน่อย เจ็บหน้าไหม]
พอเชออวี้เตือนความจำขึ้นมาแบบนี้ จั๋วหลานหันก็นึกออกแล้ว
สีหน้าของเธอขรึมลงมากกว่าเดิม “น่าสนใจดีนะ น่าสนใจจริงๆ หลายปีมานี้ฉันไม่เคยได้ยินว่า คนฝีมือแย่ปั้นคนให้เก่งขั้นเทพขึ้นมาได้”
“จั๋ว อย่าอ้อมค้อมสิ” บาร์ตขอไมโครโฟนแล้วพูดขึ้น
“คนพวกนี้น่ะ ตัวเองฝีมือห่วยยิ่งกว่าขยะ ยังจะมองว่าตัวเองสูงส่ง ชอบสอนคนอื่นไม่รู้เสียเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่ขยะ”
อิ๋งลู่เวยหน้าซีดลงเรื่อยๆ ตัวสั่นไม่หยุด
เธอทนคำดูถูกแบบนี้ไม่ไหว
แถมยังท่ามกลางสายตาจำนวนมาก แฟนคลับมากมายขนาดนี้ ไหนจะจงมั่นหวา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเจียงมั่วหย่วน
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เธอทำตัวเองทั้งนั้น เพื่อที่จะเหยียบอิ๋งจื่อจินให้จมดิน เธอได้ย้ำกับคนอื่นหลายครั้งว่าไม่ว่าเธอจะสอนยังไงอิ๋งจื่อจินก็เล่นไม่เป็น
ปรากฏว่าวันนี้ มือที่มองไม่เห็นได้ตบหน้าเธออย่างแรงเต็มๆ
“ก็แค่เล่นเพลงตะวันกับจันทราไม่ใช่เหรอ” จั๋วหลานหันกลับไปนั่งอีกครั้ง ท่าทางใจเย็น เธอมองอิ๋งลู่เวยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ “ขึ้นไปเล่นตอนนี้สิ ทำให้พวกเราดูหน่อยว่าเธอสอนคนอื่นยังไง”
อิ๋งลู่เวยเล่นไม่ได้ เธอจะขึ้นไปได้ยังไง
แต่เจียงหรานที่อยู่ด้านหลังเอาเท้าเขี่ยเธอหนึ่งที แสยะยิ้ม “ยังไม่ขยับอีก”
อิ๋งลู่เวยไม่รู้ว่าตัวเองเดินขึ้นเวทีได้ยังไง เธอนั่งลงตรงหน้าเปียโนของตัวเอง วางมือสั่นลงไปบนแป้น เสียงดนตรีที่ไม่ต่อเนื่องถูกบรรเลงด้วยมือของเธอ ไม่มีความเป็นเพลง
มีเพลงที่อิ๋งจื่อจินเล่นก่อนหน้านี้เป็นตัวเปรียบเทียบก็เห็นความต่างอย่างชัดเจน
“พอเถอะๆ” บาร์ตทนเห็นเพลงตะวันกับจันทราโดนหยามเกียรติแบบนี้ไม่ได้
“เล่นได้ขยะขนาดนี้ คุณยังมีหน้า แต่ผมขายหน้าแทน”
“ตึง!”
มีเสียงแสบแก้วหูดังมาจากเปียโน แป้นกดพังไปหนึ่งช่อง
นิ้วของอิ๋งลู่เวยงอลง เล่นต่อไปไม่ได้อีก
สายตาจำนวนมากดุจหนามแหลมคมที่ทิ่มแทงอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของเธอแดงก่ำอีกครั้ง เหงื่อซึมเปียกกระโปรง
ตอนนี้ทุกคนต่างรู้แล้วว่าอิ๋งลู่เวยก็แค่ยกเพลงตะวันกับจันทรามาเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกทุกคน
“ดีมาก ดีมาก” จั๋วหลานหันโมโหจนหัวเราะ “แอบอ้างชื่อเสียงของ วีร่า โฮลท์ซ เพื่อยกสถานะของตัวเอง ฉันขอถามหน่อย เธอคู่ควรเหรอ”
ริมฝีปากของอิ๋งลู่เวยสั่น พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เธอวางแผนทุกอย่างไว้อย่างดี
แต่ทั้งหมดนี้ยังสู้สามเพลงของ วีร่า โฮลท์ซ ที่อิ๋งจื่อจินเล่นไม่ได้
จนกระทั่งถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ
“อิ๋งลู่เวย เธอดูถูกเปียโน” สายตาของจั๋วหลานหันเย็นชา “ลงไป”
สมองของอิ๋งลู่เวยตื้อไปหมด เดินโซเซลงจากเวที
จบแล้ว ครั้งนี้ชีวิตเธอจบอย่างสิ้นเชิงแล้ว
…
คนที่รับชมถ่ายทอดสดมีเพียงแสนกว่าคน ยังไม่ถือว่าเยอะ
อย่างไรเสียอิ๋งลู่เวยก็ไม่ได้มีฐานคนดูที่เป็นคนทั่วไป แฟนคลับก็หายไปเยอะมาก
แต่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการขึ้นเป็นประเด็นร้อน
แถมยังด้วยความเร็วดุจจรวด ทะยานติดชาร์ตอย่างรวดเร็ว
เวลานี้คอนเสิร์ตยังไม่จบ
แฮชแท็กภาพลักษณ์อิ๋งลู่เวยพังทลาย
แฮชแท็กแฟนคลับอิ๋งลู่เวยถอนตัวกลับมากระทืบซ้ำ
แฮชแท็กจั๋วหลานหันต่อว่าอิ๋งลู่เวยดูถูกเปียโนต่อหน้าทุกคน
แฮชแท็กอิ๋งจื่อจินคือ วีร่า โฮลท์ซ
แอทจอมแฉสะท้านโลกไซเบอร์ : [ข่าวล่าคืนนี้ มีข่าวเมาท์มาเสิร์ฟทุกท่านอีกแล้วครับ มีชาวเน็ตรายงานมาว่าวันนี้นักเปียโนสาวสวยชื่อดังของประเทศจีนท่านหนึ่งเปิดคอนเสิร์ต บอกว่าจะเล่นเพลงตะวันกับจันทรา ปรากฏว่าเล่นไม่ได้นะครับ]
[ความสนุกอยู่ตรงที่ ลูกศิษย์ที่นักเปียโนสาวสวยท่านนี้สอนออกมากลับเล่นได้ จากนั้นเธอก็ไปทำเรื่องแบบนี้]
ด้านล่างมีคลิปวิดีโอ
ภาพในคลิปเป็นตอนที่อิ๋งลู่เวยกำลังเอากรรไกรตัดสายไฟของอุปกรณ์เครื่องเสียงอย่างบ้าคลั่ง