เขาตกใจจนกระโดดขึ้น “นี่ๆ…”
อิ๋งจื่อจินมองไพ่สามใบที่ตัวเองเปิด แววตาเริ่มขรึมลง “หยุดพูด”
รองอธิการบดีเอามือปิดปากตัวเอง กลั้นหายใจ
ไพ่ใบแรกเป็นคนห้อยหัว ลำดับที่สิบสอง เป็นใบที่สิบสามของสำรับใหญ่ กลับหัว ไพ่ใบที่สองเป็นอัศวินรถม้า ลำดับที่เจ็ด เป็นใบที่แปดของสำรับใหญ่ กลับหัว ไพ่ใบที่สามไพ่เปล่า ในไพ่ทาโรต์มีใบที่ว่างเปล่า ไพ่เปล่าใช้เป็นไพ่เสริมมาตลอด เวลาที่ไพ่ใบอื่นหายไปก็ใช้ไพ่เปล่าเข้ามาแทน
แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่อิ๋งจื่อจินจะใช้ไพ่ทาโรต์ทำนายไม่ได้หยิบไพ่เปล่าเข้ามา
นี่ก็คือความแตกต่างของไพ่ทาโรต์แท้กับไพ่ทาโรต์ที่แพร่หลายในท้องตลาด
ไพ่ทาโรต์แท้ถึงจะมีพลังทำนาย
เมื่อไพ่เปล่ากลายเป็นไพ่ที่ถูกเลือก นั่นก็แสดงว่ามีความหมาย
รองอธิการบดีทำนายไม่เป็น แต่เขาก็เข้าใจเรื่องไพ่ทาโรต์
ไม่ว่าจะเป็นไพ่คนห้อยหัวที่กลับหัวหรือไพ่อัศวินรถม้ากลับหัว ความหมายก็ไม่ดีทั้งนั้น
หมายถึงความล้มเหลวและสถานการณ์เลวร้าย
ซึ่งก็หมายความว่าสถานการณ์ของนอร์ตันในเวลานี้ไม่สู้ดีนัก
ส่วนไพ่เปล่าใบนี้ รองอธิการบดีมองไม่ออก
“เขาไปจากที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน ไปหาวัตถุดิบเล่นแร่แปรธาตุใหม่ๆ” เสียงของอิ๋งจื่อจินขรึมลง “แต่เขาก็เพิ่งเคยไปที่นั่นครั้งแรก ก็เลยแย่มาก แต่ในอนาคตภายในหนึ่งปี เขาไม่มีอันตรายถึงชีวิต นี่ถือเป็นข่าวดี”
พอฟังถึงตรงนี้รองอธิการบดีก็โล่งอก
เทพพยากรณ์บอกว่าไม่มีก็คือไม่มี
แต่อธิการบดีไปที่ไหนกันแน่
คงไม่ใช่วงการเล่นแร่แปรธาตุหรอกนะ
แต่นอร์ตันก็ไม่ได้เพิ่งเคยไปวงการเล่นแร่แปรธาตุครั้งแรก
“คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังให้ความสนใจที่นี่ ฉันจำเป็นต้องไปแล้ว” อิ๋งจื่อจินเก็บไพ่ “ฉันช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของไฟร์วอลล์มหาวิทยาลัยให้แล้ว ต่อไปอย่าใจกว้างขนาดนั้น”
รองอธิการบดียังคงคิดเรื่องที่สถานที่แบบไหนกันที่จะไปหาวัตถุดิบเล่นแร่แปรธาตุได้ พอได้ยินประโยคนี้ก็สะดุ้งตกใจเกือบล้ม “พะ…เพิ่มความแข็งแกร่งของไฟร์วอลล์เหรอครับ”
อิ๋งจื่อจินมองเขา
สายตานี้ราวกับกำลังมองเศษเหล็ก
“ขอบคุณมากเลยครับ” รองอธิการบดีปาดเหงื่อ “เฮ้อ นี่ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน ตอนนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าเหลือเกิน เกรงว่าตัวตนของคุณจะต้องถูกเจอในไม่ช้าก็เร็ว”
“อืม” อิ๋งจื่อจินสะพายกระเป๋าเป้ ดวงตาหงส์หรี่ลง “ตอนนี้ยังไม่หรอก”
…
เรื่องของเฮ่อสวินลือจากคนที่หนึ่งไปสอง สองไปสาม จนตอนนี้รู้ไปทั่วทั้งชิงจื้อแล้ว
คลาสนานาชาติของสามระดับชั้นต่างรู้สึกอับอาย
เมื่อก่อนพวกเขาให้ความเคารพเฮ่อสวินมาก นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ถือเป็นนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยนอร์ตัน เดี๋ยวนะ แถมยังหยิ่งได้ขนาดนั้น ทำให้ใครดูกัน
วันนี้ชั้นมอหกก็กลับมากันแล้ว
อีกหนึ่งสัปดาห์ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จะออกมา ต้องเลือกคณะที่เรียนแล้ว
ชิงจื้อมีนักวางแผนเลือกคณะโดยเฉพาะ ทำการวิเคราะห์ด้านถนัด และไม่ถนัดของนักเรียนแต่ละคน เพื่อวางแนวทางเลือกคณะในมหาวิทยาลัยให้
“ทิงหลาน ได้ยินข่าวหรือยัง” หัวหน้าห้องวิ่งกลับมาจากห้องพักอาจารย์ด้วยความตื่นเต้น ตบโต๊ะหัวเราะร่า “คนแซ่เฮ่อใจแคบนั่นถูกมหาวิทยาลัยนอร์ตันยึดใบจบการศึกษาไปแล้ว สมน้ำหน้า สะใจจริงโว้ย!”
เวินทิงหลานยังคงไม่ชินกับการเข้าสังคม เขาแค่พยักหน้า “ได้ยินแล้ว ขอบคุณ”
“ทิงหลาน หมอนั่นมันสมองเพี้ยน นายอย่าเก็บคำพูดของเขามาใส่ใจเลยนะ” หัวหน้าห้องนึกถึงคำพูดของอิ๋งจื่อจินแล้วเริ่มปลอบเวินทิงหลาน “ไอคิวนายตั้ง สองร้อนยี่สิบแปด นี่มันอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากในโลก มหาวิทยาลัยตี้ตูก็ไม่ได้แย่ นายอยู่เหนือพวกเราอยู่แล้ว”
ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาถามต่อ “ทิงหลาน นายคิดไว้หรือยังว่าจะเลือกคณะอะไร สาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูอยู่ชั้นแนวหน้าของโลกเลยนะ”
“ไม่อยากเรียนฟิสิกส์” เวินทิงหลานเงียบไปชั่วครู่ “รอผลสอบออกมาค่อยว่ากัน”
“จริงด้วยๆ ยังมีอาจารย์ชีวะแซ่ไป๋ที่สอนชั้นมอห้า” หัวหน้าห้องตีหัวตัวเอง “ทางโรงเรียนบอกว่ายัยป้านั่นให้คนมาขโมยบัตรประจำตัวสอบของนาย ตอนนี้รับกรรมไปแล้ว”
“อาจารย์ฝ่ายวิชาการบอกว่าอาจารย์แซ่ไป๋นั่นถูกจับเข้าคุกไปแล้ว ทิงหลาน นายมีระบบสะท้อนเวรกรรมในตัวหรือเปล่า คนที่ทำไม่ดีกับนายรับกรรมกันไปหมดแล้ว ไม่ได้การฉันต้องกราบไหว้นายด้วย”
ฟังถึงตรงนี้เวินทิงหลานก็เหลือบตาขึ้น ดวงตาฉายแววสงสัย
ทำไมเขารู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับพี่สาวของเขาทั้งนั้น
หนึ่งปีที่พี่สาวของเขาอยู่ฮู่เฉิงยังได้เกิดอะไรขึ้นอีกกันแน่
“พวกนายคุยกันไปก่อน” เวินทิงหลานเก็บกระเป๋า “ฉันขอกลับบ้านหน่อย”
…
อิ๋งจื่อจินกลับมาเมื่อวาน
เรื่องที่เธอไปยุโรปมีแค่เวินเฟิงเหมียน เวินทิงหลาน ผู้เฒ่าจง กับฟู่อวิ๋นเซินที่รู้
เธอกลับบ้านก่อนแล้วถึงไปเยี่ยมผู้เฒ่าจงที่บ้านตระกูลจง
วันนี้เป็นวันทำงาน
จงจือหว่านไปเรียน คุณนายจงไปนวดสปา
เดิมทีผู้เฒ่าจงก็อยู่ที่บริษัท หลังจากที่ได้ยินว่าเธอกลับมาแล้วก็มอบหมายงานให้ลูกน้องทำ
“จื่อจิน อย่าหาว่าตาดุเลยนะ ทำไมหลานหนีไปคนเดียวล่ะ” ผู้เฒ่าจงปวดหัวมาก “ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่หลานสุขภาพไม่แข็งแรง แต่หลานเป็นเด็กผู้หญิง เกิดเจอคนไม่ดีจะทำอย่างไร”
ตอนแรกเขาไม่รู้ อิ๋งจื่อจินไปถึงยุโรปวันที่สองถึงโทรหาเขา
จะตามไปก็ไม่ทัน หาตัวไม่เจอ
“คนพวกนั้นน่าจะเข้าโรงพยาบาลมากกว่า”
“…”
ผู้เฒ่าจงคิด สุดท้ายก็พูดขึ้น “จื่อจิน หว่านหว่านมีอคติกับหลานมาก แต่นี่เป็นความผิดของหว่านหว่าน หลานไม่ต้องเกรงใจเพราะตา”
“คุณตาวางใจได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น “หนูนัดคนไว้ พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่นะคะ”
ผู้เฒ่าจงโบกมือให้อย่างมีความสุข
หลังจากหลานสาวออกไปแล้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล
คงไม่ใช่ไอ้หนุ่มหน้าเหม็นตระกูลฟู่นั่นหรอกนะ ผู้เฒ่าจงรู้สึกว่าไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีกแล้ว เขาอารมณ์เสียขึ้นมาทันที หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์
“ตาเฒ่าฟู่ ฉันบอกตั้งกี่รอบแล้วว่าให้ดูหลานชายแกให้ดีๆ หลานชายย่อมมีบุญของหลานชายอะไรกัน เพ้อเจ้อทั้งนั้น!”
…
สามสิบนาทีต่อมา
ใจกลางเมือง
อิ๋งจื่อจินลงจากรถแท็กซี่
หน้าผับที่อยู่หัวถนน ชายหนุ่มพิงประตูกระจก ขาเรียวยาวงอเล็กน้อย
ท่าทางเสเพลก็เป็นความงดงามแบบหนึ่ง
เขารู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น ความเย็นชาบนใบหน้าหายไป
ดอกตาดอกท้อโค้งมน ดุจสายลมตะวันออกพัดผ่าน ชวนให้เย็นสบาย
ฟู่อวิ๋นเซินยกมือลูบศีรษะของเธอตามความเคยชิน พูดเสียงทุ้มพลางยิ้ม “เด็กน้อย เที่ยวเสร็จกลับมาแล้วเหรอ”
อิ๋งจื่อจินนึกถึงเรื่องที่ก่อนเธอกลับมารองอธิการบดีให้เธอช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของระบบป้องกันทางกายภาพของมหาวิทยาลัยนอร์ตัน
เธอนวดศีรษะ ถอนหายใจ “ก็ประมาณนั้น”
“ต่อไปอย่าไปที่ไกลแบบนั้นคนเดียวจะดีกว่า” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ กดปิดไป “รู้ว่าเธอก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว แต่ข้างนอกมีคนเลวอยู่เยอะ”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก
คำพูดนี้เหมือนคุณตาของเธอจริงๆ
“ไปกินข้าวก่อน” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบดูเวลา “ทางนั้นมีร้านอาหารเปิดใหม่”
ระยะทางไม่ไกลทั้งสองคนจึงเดินไป
เดินไปได้ห้านาทีอิ๋งจื่อจินก็รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ
รู้สึกปวดท้องเป็นระลอก ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่เมื่อเทียบกับตอนแขนหัก แต่กลับชวนให้รู้สึกทนไม่ไหว
เธอหยุดเดิน ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ยาวริมถนน หายใจช้าๆ
อาการปวดกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เหมือนทะเลพิโรธ
อิ๋งจื่อจินเงียบไป
เธอมองข้ามร่างกายของตัวเองมาตลอด
ตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา เนื่องจากเลือดในตัวพร่องไปมาก ใช้พลังงานเยอะ ร่างกายจึงมาถึงขีดสุด
นอนไม่พอ กินไม่ดี ประจำเดือนก็จะไม่มา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องตรงเวลา
นี่เป็นประจำเดือนที่มาครั้งแรกหลังจากเธอปรับสมดุลในร่างกายให้ดีแล้ว ซึ่งก็ทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไป
ปรากฏว่ามาทีก็ปั่นป่วนอย่างรุนแรง ที่ปวดขนาดนี้เป็นเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายย่ำแย่ ฟู่อวิ๋นเซินก็หยุดด้วย เขาเห็นสีหน้าของเด็กสาวเริ่มซีดลง บนหน้าผากก็มีเหงื่อผุด สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปทันที
“เยาเยาเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหน”
“ฉันไม่เป็นไร” มือของอิ๋งจื่อจินจับเก้าอี้ หายใจถี่เร็ว แต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ปวดประจำเดือน เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ฟู่อวิ๋นเซินก็เงียบไป “…”
เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเรื่องแบบนี้ รอบตัวเขาไม่มีผู้หญิง ก็มีแค่เนี่ยเฉาที่เคยเล่าให้ฟัง แต่นี่เป็นความรู้ทั่วไปเขาก็รู้อยู่บ้าง สภาพร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนปวดจะเป็นจะตาย แต่บางคนกินไอศกรีมก็ยังไม่เป็นอะไร
ฟู่อวิ๋นเซินถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก ก้มตัวผูกเสื้อคลุมไว้ที่เอวของอิ๋งจื่อจิน
“อยู่ตรงนี้ไม่ได้” เขาพูด “เยาเยา ลุกขึ้น พี่ชายจะอุ้มไป”
ตรงนี้เป็นถนนคนเดินพอดี ทั้งยังอยู่ข้างใน รถเข้ามาไม่ได้
“ไม่เป็นไรจริงๆ” อิ๋งจื่อจินกดที่ท้อง “เดี๋ยวก็หายแล้ว”
เมื่อก่อนเธอเคยบาดเจ็บตั้งหลายครั้ง ปล่อยไว้สักพักเดี๋ยวก็หายดี
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร เดี๋ยวเลือดก็ไหลเป็นแม่น้ำแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินใจเย็น “เอาแบบนี้ ข้างหน้ามีสาขาของห้างเซ็นจูรี่ ไปพักที่นั่นก่อน พี่ชายจะเรียกรถไปโรงพยาบาล”
สถานการณ์ฉุกเฉินไม่มีเวลาให้คิดเท่าไรเขาเอามือค่อยๆ ช้อนตัวเธอขึ้นมา ฟู่อวิ๋นเซินหันไปมองบนเก้าอี้ เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ถึงได้เดินหน้า เดิมทีก็ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ อิ๋งจื่อจินไม่มีแรงแล้ว
เธอหันหน้าเล็กน้อย ได้กลิ่นหอมของไม้กฤษณาที่คุ้นเคย สดชื่นอ่อนโยน มีพลังที่ช่วยให้จิตใจสงบ ราวกับแช่อยู่ในน้ำพุร้อน ลมหายใจของเธอเริ่มสงบลง หลับตาลง ค่อยๆ สงบใจ
…
ภายในห้างเซ็นจูรี่
หลังจากที่หญิงสาวออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ดึงดูดสายตาลูกค้าคนอื่นๆ ทันที
“คุณนายน้อยฟู่ ชุดนี้เหมือนตัดมาเพื่อคุณโดยเฉพาะเลยค่ะ” พนักงานเคาน์เตอร์พูดด้วยน้ำเสียงตะลึง
“นางแบบยังใส่ไม่สวยเท่าเลยนะคะ”
ซูหร่วนยิ้มเล็กน้อย “ชมเกินไปแล้วค่ะ”
วันมะรืนตระกูลฟู่จะมีงานเลี้ยง เธอเพิ่งกลับมา จะทำขายหน้าไม่ได้
“คุณนายน้อยฟู่ ลองดูนะคะว่ารับเครื่องประดับไปด้วยเลยหรือไม่” พนักงานเคาน์เตอร์กระตือรือร้นแนะนำ แต่กลับเห็นซูหร่วนขมวดคิ้วมองไปตรงทางเข้าห้าง
พนักงานเคาน์เตอร์ก็มองตาม อึ้งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็นึกถึงข่าวเม้าท์
มีข่าวเม้าท์ว่าเดิมทีซูหร่วนเป็นคู่หมั้นที่ผู้เฒ่าฟู่จองไว้ให้ฟู่อวิ๋นเซิน แต่ซูหร่วนไม่ถูกใจความเสเพล จึงหันไปแต่งงานกับหลานชายคนโตของตระกูลฟู่ ซึ่งก็คือพี่ใหญ่ของฟู่อวิ๋นเซิน
ซูหร่วนย่อมสังเกตเห็นแล้วว่าฟู่อวิ๋นเซินอุ้มผู้หญิงอยู่ เธอขมวดคิ้วอารมณ์ไม่ดี
ตอนนั้นเธอไม่เลือกเขาก็ถูกต้องแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้มีบ้านเล็กบ้านน้อยเต็มไปหมด
“ฉันไม่อยากเห็นเขา มีเขาต้องไม่มีฉัน มีฉันต้องไม่มีเขา” ซูหร่วนเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองฟู่อวิ๋นเซิน
“พวกคุณให้เขาออกไปเดี๋ยวนี้”