ฟางรั่วถงเป็นคนธรรมดา แต่กลับมีคนติดตามถึงสามล้าน ความนิยมถือว่าสูงมากทีเดียว
เนื่องจากเธอหน้าตาสวย ทั้งยังเกิดในตระกูลร่ำรวย และที่สำคัญที่สุดคือหลังจากที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ยังคงยืดหยัดไม่ย่อท้อ พยายามเรียนรู้ รักความก้าวหน้า
คนที่มีพลังบวกแบบนี้ดึงดูดความสนใจจากชาวเน็ตได้มาก บ้างก็สงสารเธอ แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยกลางคน
ในบ้านมีลูกที่อายุเท่าเธอ ก็เลยเกิดความเห็นใจฟางรั่วถง
ทุกวันจะมีแฟนคลับมาให้กำลังใจฟางรั่วถงในเวยปั๋ว อวยพรให้เธอหาไขกระดูกที่เข้ากันได้เจอในเร็ววัน เอาชนะโรคร้ายได้
หลังจากที่เธอโพสต์เวยปั๋ว คอมเมนต์ด้านล่างก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป
[ในที่สุดถงถงก็หาไขกระดูกที่เข้ากันได้เจอแล้วเหรอ ยินดีด้วยจ้า พอหายแล้วเธอก็จะไม่เจ็บปวดแล้วนะ]
[ไขกระดูกที่เข้ากันได้จะต้องหายากมากแน่ๆ ถงถงดูซูบไปมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว]
[รอดูไลฟ์หลังจากที่ถงถงหายดี ต่อไปเธอก็กระโดดโลดเต้นได้โดยที่ไม่ต้องกังวลแล้ว]
บรรดาแฟนคลับต่างมาอวยพรและแสดงความยินดี
ฟางรั่วถงอ่านคอมเมนต์จบหนึ่งรอบก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก
เธอรอวันนี้มานานแล้ว อย่างไรเสียโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ไม่เหมือนมะเร็งระยะสุดท้าย ยังรักษาได้เพียงแต่เธอไม่เหมือนผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวคนอื่นๆ เธอไม่ได้เป็นโดยกำเนิด จวบจนทุกวันนี้ก็ยังสืบไม่พบว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
จากข้อสันนิษฐานของแพทย์ระบุว่า อาจเพราะเมื่อหนึ่งปีก่อนเธอถูกรังสีอะไรเข้า จึงทำให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ตระกูลฟางลงมือสืบเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรมาตลอด
หากว่ากันตามเหตุผล รังสีในปริมาณที่น้อยไม่มีทางทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับเซลล์ได้ แต่ฟางรั่วถงก็ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องรับรังสีปริมาณมาก
สุดท้ายตระกูลฟางทำได้เพียงยอมแพ้ เดิมทีพวกเขาหาไขกระดูกที่เข้ากันได้เจอแล้ว แต่ตอนทดสอบมักปรากฏการต่อต้านอย่างรุนแรงอยู่เสมอ
อาจเป็นเพราะรังสี โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของฟางรั่วถงเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็เลยมีเงื่อนไขมากขึ้น
หมอส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่
ฟางรั่วถงก็ไม่รีบร้อน รอด้วยความอดทน
สิบนาทีต่อมาผลตรวจก็ออกมา
หมอส่วนตัวหยิบมาดู พูดด้วยความดีใจ “คุณรั่วถงครับ ไม่พบการต่อต้านครับ! ไม่มีแม้แต่น้อย ปาฏิหาริย์มากครับ!”
“จริงเหรอ” ฟางรั่วถงก็ตื่นเต้นดีใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะหายแล้วเหรอ!”
“ผมจะไปบอกคุณท่านเดี๋ยวนี้” หมอส่วนตัวพยักหน้า “คุณรั่วถง วันนี้ดึกมากแล้ว คุณเองก็รอมานาน ไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ เช้าพรุ่งนี้ผมจะทำการผ่าตัดให้”
“ค่ะๆ” ฟางรั่วถงโบกมือ ทันใดนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เดี๋ยวนะ เวินทิงหลาน ได้ยินไหม ไขกระดูกของนายใช้ได้”
“ตอนนี้นายเซ็นชื่อยินยอมซะ พอถึงเวลาฉันจะได้ไม่ต้องบีบบังคับนาย”
เวินทิงหลานยังคงเงียบ หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อยินยอมบริจาคไขกระดูก
การบริจาคไขกระดูกไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ใช้ไขกระดูกของเขานิดหน่อยแลกกับการไม่ให้ตระกูลฟางทำอะไรเวินเฟิงเหมียนกับอิ๋งจื่อจิน มันคุ้มมากๆ
“แบบนี้สิถูกต้อง” ฟางรั่วถงยิ้มอีกครั้ง “พวกนายเฝ้าเขาไว้ให้ดี ฉันพักผ่อนอยู่ที่ห้องข้างๆ”
…
เมืองฮู่เฉิง
บ้านตระกูลเวิน
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเวลานี้
เวินเฟิงเหมียนจะยืนขึ้น แต่กลับถูกฟู่อวิ๋นเซินจับไว้ “คุณอานั่งเถอะครับ”
เขาลุกเดินไปที่ประตู พอเปิดประตูก็เห็นคนสามคนที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนังคนที่ยืนนำเป็นชายชรา ปกเสื้อด้านซ้ายของเขามีตราเข็มกลัด มหาวิทยาลัยตี้ตู สาขาคอมพิวเตอร์
ตรานั้นเป็นสีทองสว่าง นี่ก็แสดงว่าชายชราคนนี้เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู ตราอันทรงเกียรติแบบนี้แต่ละสาขามีแค่อันเดียว
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว เอามือลง “พวกคุณเองเหรอ”
“ทำไมนายมาอยู่ที่นี่” เห็นได้ชัดว่าศาสตราจารย์สูงวัยรู้จักเขา แววตาเหลือเชื่อตั้งแต่แรกเห็น
“อย่าหาว่าฉันงั้นงี้เลยนะ ทำไมนายหนีจากตี้ตูกลับมาที่ฮู่เฉิง หรือต้องให้ฉันคุกเข่าขอร้อง นายถึงจะยอมเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตู”
“ไม่ต้องครับ” ฟู่อวิ๋นเซินยกมุมปาก “ผมเป็นคนเรื่อยเปื่อย ไม่อยากเรียนหนังสือ”
“ไสหัวไปเลย” ศาสตราจารย์โมโห “วันนี้ฉันไม่ได้มาหานาย ฉันมาหาอัจฉริยะอีกคน”
ตรงหน้าประตูค่อนข้างเสียงดัง ไม่มีทางที่เวินเฟิงเหมียนจะไม่ได้ยิน
เขาจึงเดินออกมาถาม “อวิ๋นเซิน คนของมหาวิทยาลัยตี้ตูเหรอ”
“ครับ” มือข้างหนึ่งของฟู่อวิ๋นเซินล้วงกระเป๋า “พวกซ่อมคอมครับ”
“ซ่อมคอมอะไร โปรแกรมคอมพิวเตอร์! พวกเราทำเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์!” ศาสตราจารย์สูงวัยเน้นย้ำ “นายพูดเสียอย่างกับว่าพวกเราเป็นช่างรื้อคอมพิวเตอร์” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้นยิ้มไม่พูดอะไร
ศาสตราจารย์จัดปกเสื้อ กระแอมเสียงแล้วพูดอย่างจริงจัง
“คุณเวินใช่ไหมครับ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ รู้สึกเหมือนเคยเจอคุณที่ไหน”
“ผมเป็นพวกหน้าโหลน่ะครับ” เวินเฟิงเหมียนยิ้ม “คุณอาจจำผิดคนแล้ว”
“ก็เป็นไปได้” ศาสตราจารย์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พูดเข้าประเด็น “ผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ คุณมีลูกชายที่ความสามารถโดดเด่นมาก ทำไมไม่ให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตูของเราล่ะครับ”
“ไม่เข้าก็ไม่เป็นไร ผมให้เขามาเป็นผู้ช่วยของผมโดยตรงได้ เข้าทีมวิจัยของผม”
พอพูดถึงตรงนี้ศาสตราจารย์ก็หันไปทำสายตาภาคภูมิใจใส่ฟู่อวิ๋นเซิน
ไอ้หนู คิดว่าฉันจะหาอัจฉริยะคนใหม่ไม่ได้แล้วงั้นเหรอ
ฟู่อวิ๋นเซินพิงประตู ขาสูงยาวงอเล็กน้อย สีหน้าเฉื่อยชา
“ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” เวินเฟิงเหมียนพยักหน้า “ทิงหลานจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนอร์ตัน สุดท้ายก็เลยไม่ได้เลือกคณะไป”
“ว่าไงนะ” ศาสตราจารย์เกือบกระตุกหนวด พูดด้วยความตกใจ “มหาวิทยาลัยนอร์ตันเหรอ”
ฟู่อวิ๋นเซินแอบยิ้ม “ก็เขาไม่ถูกใจลุงไง”
“หุบปาก” ศาสตราจารย์ถลึงตาใส่เขา พูดด้วยความเจ็บปวดใจ “มาช้าไปๆ ถูกแย่งตัวไปแล้ว”
แต่คนสอบได้อันดับหนึ่งในรุ่นก่อนๆ มหาวิทยาลัยนอร์ตันก็ไม่เคยมาแย่งกับพวกเขา
ครั้งนี้ถึงขั้นแย่งเพชรชั้นยอด
มิน่าเวินทิงหลานถึงไม่เลือกคณะ
“งั้นเอาแบบนี้” ศาสตราจารย์ยังคงหยิบนามบัตรของตัวเองออกมา “ถ้ามีโอกาส ผมจะรอเขาเรียนจบแล้วกลับมาทำงานที่ตี้ตูนะครับ”
หลังออกจากบ้านตระกูลเวิน ศาสตราจารย์สูงวัยยังคงครุ่นคิดว่าเขาเคยเจอเวินเฟิงเหมียนที่ไหน ถึงเขาจะแก่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์
ผ่านไปนานในที่สุดเขาก็นึกออก
“ซี้ด…ไม่ถูกสิ” ศาสตราจารย์ขมวดคิ้ว พูดพึมพำ “เขาตายไปแล้วนะ”
ต่อให้ยังอยู่ก็ไม่มีทางอยู่ฮู่เฉิง แถมยังอยู่ในที่คับแคบแบบนั้น
เขาคงจำผิดจริงๆ นั่นแหละ
เขาส่ายหน้า สั่งให้ผู้ช่วยจองตั๋วเครื่องบินขากลับ
…
หนิงชวน
ฟางจื้อเฉิงฟังหมอส่วนตัวรายงานจบก็มีสีหน้าเบิกบาน “จริงเหรอ”
“จริงครับคุณท่าน” หมอส่วนตัวพยักหน้า “อีกทั้งเท่าที่ตรวจดูสุขภาพของเขาก็ดีมาก ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ดีอะไรเลยครับ”
“งั้นก็ดี” ฟางจื้อเฉิงโล่งอก “งั้นตอนนี้คุณไปหักขาเขาก่อน ป้องกันเขาหนีไป”
หมอส่วนตัวขานรับ
“จากนั้นพอเขาบริจาคไขกระดูกให้คุณหนูเสร็จแล้วก็แอบกำจัดทิ้งซะ” ฟางจื้อเฉิงดื่มชา “ถือโอกาสเอาอวัยวะอื่นๆ ที่มีประโยชน์ของเขาเก็บไว้ด้วย”
“ทางตี้ตูมีเศรษฐีคนนึงอยากได้ไตไม่ใช่เหรอ ลองส่งไปดูว่าสอดคล้องกับเงื่อนไขที่เขาต้องการหรือเปล่า”
ต่อให้ไม่สอดคล้องก็พอจะได้หน้าบ้าง
สอดคล้องยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ตระกูลฟางก็จะได้ตีสนิทตระกูลในตี้ตู ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น
ขณะที่ฟางจื้อเฉิงกำลังพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก
หนวกหูมาก ทั้งยังมีเสียงตะโกน
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น” ฟางจื้อเฉิงตบโต๊ะ “ยามล่ะ อู้งานกันหมดหรือไง!”
หมอส่วนตัวก็สงสัยเหมือนกัน
คฤหาสน์ของตระกูลฟางใหญ่มาก
อย่างไรเสียหนิงชวนก็ไม่เหมือนฮู่เฉิงกับตี้ตูที่พื้นที่เป็นเงินเป็นทองไปหมด ตระกูลฟางถึงขั้นยังมีสนามแข่งม้าขนาดใหญ่ด้วย
ที่นี่เป็นคฤหาสน์ อยู่ห่างจากประตูรั้วเหล็กไกลหลายร้อยเมตร ตลอดทางมียามจำนวนมาก ต่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายก็ไม่มีทางที่เสียงจะดังมาถึงที่นี่ อีกอย่างใครกันที่กล้าบุกมาถึงบ้านตระกูลฟาง
“คุณไปจัดการธุระก่อน” ฟางจื้อเฉิงโบกมือให้หมอส่วนตัว “ผมจะออกไปดูหน่อย จะปล่อยให้พวกเขารบกวนการพักผ่อนของคุณหนูไม่ได้”
หมอส่วนตัวจึงเก็บความสงสัย รีบร้อนออกไปจากที่ห้องรักษา
ฟางจื้อเฉิงออกไปนอกห้อง พอเขาลงบันได ยังไม่ทันได้มองว่าเกิดอะไรขึ้น
“พลั่กๆ!”
เสียงของแข็งตกกระทบพื้น ยามเจ็ดแปดคนถูกโยนเข้ามาตรงเท้าของฟางจื้อเฉิง
ตะวันตกดินไปแล้ว แสงไฟยามราตรีสะท้อนใบหน้าเย็นชาของเด็กสาว ดวงตาหงส์ที่แข็งกร้าวเวลานี้จับจ้อง ราวกับใบมีดแหลมคมที่พุ่งฝ่าอากาศ มือขวาของเธอยังลากยามอยู่อีกคน
ปล่อยมือ ใช้เท้าเตะ
ยามล้มไปบนพื้นลุกไม่ขึ้น
ฟางจื้อเฉิงตะลึงงัน น่องขาสั่น
เขารู้สึกเหลือเชื่อ เด็กสาวที่ดูเหมือนอ่อนแอสามารถล้มผู้ชายได้มากขนาดนี้
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจฟางจื้อเฉิง เธอหอบเล็กน้อย เดินตรงไปยังห้องรักษาที่อยู่ด้านหลัง
นับตั้งแต่ลงจากเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่ เธอได้ใช้กำลังภายใน ย่นระยะเวลาเดินทางด้วยรถยนต์จากครึ่งชั่วโมงเหลือสิบนาที
โชคดีที่ร่างกายไหว
ในที่สุดฟางจื้อเฉิงก็ได้สติกลับมา แต่ฟันของเขาก็กำลังสั่น ตกใจกลัว
พอเห็นเด็กสาวเดินไปทางห้องรักษา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “คิดจะทำอะไรน่ะ!”
เขาสืบเรื่องครอบครัวของเวินทิงหลานมาแล้ว เป็นคนบ้านนอกกันหมด
อีกทั้งตระกูลฟางพาเวินทิงหลานมาที่นี่อย่างลับๆ ทำไมถึงมีคนมาเร็วขนาดนี้
แต่ก็ไม่มีเวลาให้ตัวเองกลัวหรือสงสัยมากนัก ฟางจื้อเฉิงมือสั่นเอารีโมทออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วกดปุ่ม
“ติ๊ดๆ” เสียงฉุกเฉินดังต่อเนื่อง สะท้อนอยู่ภายในคฤหาสน์ตระกูลฟาง
สัญญาณเตือนภัยระดับหนึ่ง!