อิ๋งเย่ว์เซวียนเห็นจงมั่นหวารับโทรศัพท์ก็แอบโล่งอก
อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องฟังจงมั่นหวาบ่นแล้ว
เธอเตรียมกลับห้องตัวเองไปพักผ่อน
แต่พอเดินไปได้สองก้าวก็ได้ยินจงมั่นหวาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เหลือเชื่อ
“ว่าไงนะ ขอร้องอิ๋งจื่อจินเหรอ เธอบ้าไปแล้วหรือว่าฉันฟังผิด”
เท้าของอิ๋งเย่ว์เซวียนหยุดชะงัก หันไปด้วยความสงสัย “คุณแม่?”
“ไอบีไออะไร” จงมั่นหวารู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องตลก “เธอคิดว่าไอบีไอเป็นใคร ตลาดสดเหรอ คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าไอบีไอคือสำนักสืบสวนสากล”
“เอาล่ะ หยวนลี่ซือ เธอหย่ากับพี่สามของฉันไปแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลจงแล้ว ทำไมฉันต้องช่วยเธอด้วย”
“ได้ ถอยกันคนละก้าว ต่อให้เธอยังเป็นพี่สะใภ้ของฉัน ฉันก็ไม่มีทางไปขอร้องอิ๋งจื่อจิน ชีวิตนี้ไม่มีวัน”
ฟังถึงตรงนี้อิ๋งเย่ว์เซวียนก็รู้แล้วว่าจงมั่นหวาคุยโทรศัพท์กับใคร แม่ของจงจือหว่าน คุณนายจง
เธอก็รู้เรื่องที่จงจือหว่านถูกผู้เฒ่าจงส่งไปอยู่เมืองนอกแล้ว ส่วนคุณนายจงถูกขับไล่ออกจากตระกูลจง อย่างไรเสียถ้าไม่มี ‘การสั่งสอน’ พวกนั้นของคุณนายจง จงจือหว่านก็ไม่มีทางเดินมาถึงขั้นนี้
ตอนเด็กๆ ก็ใช่ว่าจงจือหว่านจะไม่เคยทำอะไรเธอ
“น่าตลกจริง” จงมั่นหวาไม่อยากฟังแล้ว “ถ้าเด็กคนนั้นเก่งขนาดนี้ฉันจะตัดหัวให้เธอเลย ให้ฉันไปขอร้องเหรอ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
พูดจบเธอก็ไม่รอให้คุณนายจงพูดอะไรต่อ กดตัดสายทิ้งทันที
“เสี่ยวเซวียน ไม่รู้ว่าอดีตป้าสะใภ้คนนี้ของลูกพอออกจากบ้านคุณตาแล้วไปโดนอะไรมาถึงได้สติเพี้ยน” จงมั่นหวาสงบสติอารมณ์ แสยะยิ้ม “ถึงกับมาบอกแม่ว่า น้องสาวของลูกให้ไอบีไอไปจับตัวเขาไว้ ลูกว่ามันน่าขำไหมล่ะ”
ไอบีไอ สำนักสืบสวนสากลเชียวนะ!
มีแค่เหตุการณ์ระดับโลกเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้หน่วยงานระดับสูงอย่างไอบีไอออกโรงได้
พอออกจากตระกูลจง ข้างนอกก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้จักคุณนายจง
“น้องจื่อจินเหรอคะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนตะลึง “น้องจื่อจินเกี่ยวข้องกับไอบีไอเหรอคะ”
“จะเกี่ยวข้องอะไรได้” จงมั่นหวามีสีหน้าเย็นชา “ถ้าจะบอกว่ามีความเกี่ยวข้องจริง อย่างมากก็แค่ครั้งก่อนไอบีไอช่วยออกแถลงการณ์ยืนยันความบริสุทธิ์ให้จงซื่อกรุ๊ป”
“แต่นั่นก็เพราะเกี่ยวพันถึงคดีโจรกรรมระดับโลก คนร้ายก็เป็นคนที่เคยก่อคดี อีกอย่างไอบีไอช่วยจงซื่อกรุ๊ป จะเกี่ยวอะไรกับเด็กคนนั้นได้”
เธอส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ดังนั้นแม่ถึงได้บอกว่าอดีตป้าสะใภ้ของลูกบ้าไปแล้ว คิดว่าน้องสาวของลูกเป็นใคร จะรู้จักคนของไอบีไอได้เหรอ คู่ควรเหรอ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนครุ่นคิดก็รู้สึกว่าจริง
ไอบีไอ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย สี่ตระกูลเศรษฐีของฮู่เฉิงก็ยังเข้าไปคลุกคลีด้วยไม่ได้ บางทีอาจมีแค่พวกตระกูลชั้นแนวหน้าของตี้ตูถึงจะมีเกียรติได้พบนักสืบกับตำรวจสากลของไอบีไอ
“งั้นเกิดอะไรขึ้นกับคุณป้าเหรอคะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนถามด้วยความลังเล “คุณป้าถูกไอบีไอจับจริงเหรอคะ”
“ก็อาจจะมั้ง” จงมั่นหวายังคงนึกขำ “เดิมทีแม่คนนั้นก็ไม่ใช่คนที่จิตใจใสซื่ออะไร ใครจะไปรู้ว่าไปก่อเรื่องอะไรอีก”
อิ๋งเย่ว์เซวียนพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมาก
…
อีกด้านหนึ่ง
หนิงชวน
พอถูกจงมั่นหวาตัดสายทิ้ง คุณนายจงก็รู้สึกหนาวเป็นระลอก หนาวจนตัวสั่น เดิมทีเธอกับคุณนายฟางดื่มน้ำชาคุยกันอยู่ที่นี่ ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ถ้าวันไหนตระกูลฟางไม่มีศัตรูมาหาถึงที่ นั่นสิแปลก แต่คุณนายจงคาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่เธอจะทำให้อิ๋งจื่อจินมาอ้อนวอนเธอกลับเป็นเธอที่ถูกจับเสียก่อน
แถมหน่วยงานที่ออกคำสั่งยังเป็นไอบีไอ!
ตอนที่คุณนายจงได้ยินเกือบเป็นลมหมดสติ
เธอมีเล่ห์เหลี่ยมก็จริง แต่ก็เป็นเพียงคุณนายคนหนึ่งแม้แต่ทำธุรกิจยังไม่เคยจึงไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้
เธอเองก็ไม่รู้ว่าอิ๋งจื่อจินเกี่ยวข้องอะไรกับไอบีไอ แต่เธอคิดว่าตราบใดที่อิ๋งจื่อจินไม่เอาเรื่อง ไอบีไอก็ทำอะไรเธอไม่ได้
คุณนายจงถึงได้โทรไปขอร้องจงมั่นหวา แต่ไม่เพียงแต่จงมั่นหวาจะไม่ช่วยเธอยังไม่เชื่อเธออีกด้วย
มือของคุณนายจงกำลังสั่น
เธอรู้ว่าตัวเองไม่มีทางโทรหาผู้เฒ่าจง
ด้วยความลำเอียงที่ผู้เฒ่าจงรักอิ๋งจื่อจินมากกว่า อย่าว่าแต่จะไม่ให้อิ๋งจื่อจินปล่อยเธอเลย จะยิ่งซ้ำเติมด้วยซ้ำ
ฟางจื้อเฉิงเองก็หมดอาลัยตายอยาก
พวกเขาถูกขังอยู่ในคฤหาสน์ รอแค่คนของไอบีไอมาถึงพร้อมเพรียงก็จะดำเนินการตามคำสั่งให้จบ
ฟางจื้อเฉิงทำตัวมีอิทธิพลมาหลายปีขนาดนี้ แต่กลับโดนจับเขาจึงไม่อาจยอมได้
เขาพุ่งเข้าไปจับบ่าของคุณนายจง พูดเสียงสั่น “ไหนแกบอกว่าพวกเวินทิงหลานมันไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรไง หา!”
“ทำไมไอบีไอถึงมาได้ ทำไม!”
คุณนายจงสีหน้าตื่นตระหนก หวาดกลัวขั้นสุด
“แกหาคนยังไงกันแน่” ฟางจื้อเฉิงโมโหอกแทบระเบิด “คราวนี้ได้เรื่อง ไม่ใช่แค่ถงถงไม่ได้รับการรักษา ตระกูลฟางก็จบลงไปด้วย!”
ด้วยความสามารถของไอบีไอ พอเขาถูกจับตาเรื่องที่เขาทำเมื่อก่อนต่อให้ปกปิดไว้ดีแค่ไหนก็จะถูกสืบออกมาได้หมด
เรื่องแล้วเรื่องเล่า เขาหนีไม่พ้นแน่นอน
“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร” มือเท้าของคุณนายจงเย็นเฉียบ “นังนั่นมันมาจากบ้านนอก พ่อกับน้องชายของมันก็ป่วย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลอิ๋งรับมาอยู่ฮู่เฉิง แม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม…”
ถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งจื่อจินไปจากตระกูลอิ๋งแล้ว ไม่มีตระกูลอิ๋งคอยคุ้มกะลาหัว เธอคงไม่กล้าลงมือ
ฟางจื้อเฉิงหน้าบึ้งไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นประตูห้องโถงก็ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือนักสืบหนุ่มคนนั้น สายตาของเขามองไปที่คุณนายจง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “หยวนลี่ซือใช่ไหม เบื้องบนสั่งเรียกชื่อนี้ ตามมาหน่อย”
…
กว่าอิ๋งจื่อจินจะตื่นก็เป็นเวลาเที่ยงของอีกวันแล้ว
ขนตาของเธอขยับ ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ลืมตาขึ้น
หน้าต่างถูกดึงม่านมาปิดไว้เพื่อบังแสงแดดที่ร้อนแรง
เธอเอามือยันเตียงลุกขึ้นมานั่งหลังจากมองไปรอบตัว นั่งนึกอยู่สักพักเธอถึงคิดได้ว่ากำลังอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ตรงข้างหัวเตียงมีน้ำอยู่หนึ่งแก้ว อิ๋งจื่อจินเอามือไปจับก็พบว่ายังอุ่นอยู่ เธอดื่มไปหนึ่งอึกก็รู้สึกได้ถึงรสเค็มนิดหน่อยเป็นน้ำเกลือเจือจาง
ดื่มเสร็จเธอถึงลงจากเตียงไปเปลี่ยนชุดแล้วออกจากห้อง
ภายในห้องรับแขก
เวินเฟิงเหมียนกับเวินทิงหลานนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ตรงหน้ามีชามกับตะเกียบวางอยู่
ไม่ต่างอะไรจากวันปกติ
อิ๋งจื่อจินจับศีรษะสีหน้าผ่อนคลายลง เดินเข้าไปหา
“เยาเยา ตื่นแล้วเหรอ” พอเห็นเธอ เวินเฟิงเหมียนก็กวักมือเรียก “นั่งสิ อวิ๋นเซินบอกว่าลูกใช้แรงไปเยอะ ต้องบำรุงหน่อย”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก สายตากวาดมองไปบนโต๊ะอาหาร หลังจากที่พบว่าไม่มีตับหมูเธอก็พยักหน้า “หนูไม่ระวังตัวเอง”
หยุดเล็กน้อยแล้วถามต่อ “พ่อคะ หลังจากหนูออกไปไม่ได้มีคนมาใช่ไหมคะ”
เธอต้องใช้ญาณพยากรณ์ให้น้อยลงแล้ว ไม่อย่างนั้นจะสูญเสียพลังงานไปมากกว่าเดิม
“มี” เวินเฟิงเหมียนตักน้ำแกง “เป็นศาสตราจารย์สาขาคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยตี้ตู อยากรับเสี่ยวหลานเข้าไปเรียน”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด
ใช่ว่าเธอจะมองไม่ออกว่าเวินเฟิงเหมียนพยายามเลี่ยงตี้ตูมาตลอด
การที่เขายอมตกลงให้เวินทิงหลานไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันได้เร็วขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะสาเหตุนี้
“หนูออกไปข้างนอกหน่อยนะคะพ่อ” พอกินเสร็จอิ๋งจื่อจินก็ลุกขึ้น “กลับมาเย็นๆ ค่ะ”
เวินเฟิงเหมียนขมวดคิ้ว “เยาเยา สุขภาพของลูก…”
“หายดีแล้วค่ะ แค่หมดแรงนอนพักก็ดีขึ้นแล้วค่ะ”
ฟังถึงตรงนี้เวินเฟิงเหมียนก็ไม่ขวางเธออีก เขาพูดขึ้น “ได้ ระวังตัวด้วยนะ มีอะไรก็โทรหาพ่อ”
เขามองตามหลังลูกสาวที่เดินออกไป แต่คิ้วกลับยังคงขมวดอยู่ ผ่านไปสักพักเขาถึงถอนหายใจเบาๆ ขอให้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาของทางตี้ตูเป็นพอ เรื่องที่เวินเฟิงเหมียนไม่รู้คือรถของฟู่อวิ๋นเซินยังคงรออยู่ด้านล่าง
อิ๋งจื่อจินขึ้นไปนั่งข้างคนขับ รัดเข็มขัดนิรภัย ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “ขอบคุณ”
เธอคาดการณ์ได้ว่าลำพังแค่เธอคนเดียวอาจช่วยเวินทิงหลานออกมาจากบ้านตระกูลฟางไม่ได้ ดังนั้นพอขึ้นไปนั่งบนเฮลิคอปเตอร์เสร็จเธอถึงส่งข้อความวีแชทหาฟู่อวิ๋นเซิน
เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะส่งเจ้าหน้าที่ไอบีไอมาโดยตรง
แบบนี้มันเล่นใหญ่เกินไป
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ตอบ เขาหมุนพวงมาลัยรถแล้วถามขึ้น “เยาเยา ดื่มน้ำเกลือหรือยัง”
“ดื่มแล้ว” อิ๋งจื่อจินนึก “ไม่ค่อยอร่อย”
“ยาดีขมคอ” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มมุมปาก พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เด็กน้อย เข้าใจหลักการนี้หรือเปล่า”
พอได้ยินแบบนั้นอิ๋งจื่อจินก็หันหน้าไป “คุณเติมอย่างอื่นนอกจากเกลืออีกเหรอ”
ตอนเธอลุกขึ้นหัวยังมึนอยู่ ด้วยความที่รีบร้อนดื่มจึงรับรู้ได้แค่รสเค็ม
“ยาจีนชนิดหนึ่ง” ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า ยิ้มพลางพูด “ดีต่อร่างกาย”
เขาไม่ได้บอกว่าเป็นยาอะไร พูดต่อ “หยวนลี่ซือถูกจับแล้ว พี่ชายจะพาเธอไปดู”
หยวนลี่ซือเป็นชื่อจริงของคุณนายจง
แววตาของอิ๋งจื่อจินถึงวูบไหวเล็กน้อย “ได้”
…
สามสิบนาทีต่อมา
รถมาเซราติได้หยุดลงที่อาคารแห่งหนึ่ง
อาคารแห่งนี้มองผิวเผินไม่มีอะไรพิเศษ แต่ในความเป็นจริงคือจุดรวมตัวของไอบีไอ
เพียงแต่ปกติที่นี่ไม่มีแม้แต่คนเข้าเวร
คุณนายจงถูกพามาที่นี่เมื่อคืนนี้ หนึ่งวันหนึ่งคืนเธอได้กินแค่ขนมปังแห้งๆ หนึ่งก้อน ดื่มน้ำหนึ่งแก้ว ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะพูด ส่วนโทรศัพท์มือถือของเธอถูกยึดไปแล้ว ขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้
คุณนายจงไม่เคยประสบเคราะห์กรรมแบบนี้มาก่อน ในขณะที่เธอกำลังจะสติแตก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก
คนที่เข้ามาเป็นตำรวจสากลของไอบีไอ
เขามองเธอด้วยสายตาเย็นชา “ผู้บัญชาการต้องการเจอคุณ”
พอได้ยินแบบนี้คุณนายจงก็ตัวสั่น กลัวยิ่งกว่าเดิม
แต่เธอกลับจำต้องบากหน้าเดินออกไป ถูกพาไปยังห้องสอบสวน
คุณนายจงฝืนข่มความกลัว เงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม