ร้านขนมร้านนี้เป็นของสองสามีภรรยาที่เปิดด้วยกัน ทำเองกับมือ แต่ละวันมีจำกัดด้วยเหตุนี้จึงมีแค่ในเมืองที่อยู่ติดกับฮู่เฉิง แต่เนื่องจากรสชาติเป็นที่เลื่องลือจึงมีคนไปต่อคิวซื้อมากมายทุกวัน
เคยมีตระกูลในฮู่เฉิงบอกอยากช่วยสองสามีภรรยาคู่นี้ขยายร้านให้แต่ก็ถูกปฏิเสธ
อิ๋งเทียนลี่ว์ไปเมื่อตอนเที่ยง ต่อคิวอยู่สามชั่วโมงกว่าจะได้ซื้อ
ช่วงสองวันนี้เขาก็คิดได้หลายเรื่องสิ่งที่เขาทำได้มันสายไปหลายปีแล้ว ชดเชยอะไรให้ไม่ได้ทำได้เพียงเติมเต็มในแต่ละด้าน เขาไม่ใช่พี่ชายคนโตที่สมบูรณ์แบบแต่เขาจะตั้งใจทำ
หูของอิ๋งเย่ว์เซวียนมีเสียงดังหึ่งๆ มือของเธอค้างกลางอากาศ อิ๋งเทียนลี่ว์เดินเฉียดไหล่ไปอย่างสิ้นเชิง รอยยิ้มของเธอค่อยๆ ชะงักลง สีหน้าเริ่มซีดเซียว ทั้งรู้สึกแย่ ทั้งอับอาย
อิ๋งเย่ว์เซวียนมองอิ๋งเทียนลี่ว์อย่างอึ้งๆ ดวงตาแดงก่ำ ต่อให้เธอจะเป็นคนความรู้สึกช้ากว่านี้ก็ตระหนักได้อยู่ดีว่าช่วงหลายวันมานี้อิ๋งเทียนลี่ว์หลบหน้าเธอไม่ใช่เพราะงานยุ่ง แต่เป็นเพราะรู้ว่าเธอไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของเขา ที่แท้วันนั้นอิ๋งเทียนลี่ว์ที่อยู่ข้างนอกก็ได้ยินหมดแล้วจริงๆ แต่เขากลับไม่บอกเธอ ปล่อยให้เธอหลงดีใจไปเอง
จงมั่นหวานึกไม่ถึงว่าอิ๋งเทียนลี่ว์จะไปหาอิ๋งจื่อจิน ทั้งยังตั้งใจเอาขนมของอิ๋งเย่ว์เซวียนไปให้อิ๋งจื่อจิน สีหน้าของเธอแย่ลง บึ้งตึง แต่กลับไม่พูดตำหนิออกมา เธอเป็นคนให้กำเนิดอิ๋งเทียนลี่ว์ ย่อมรู้ว่าเขามีนิสัยอย่างไร หัวรั้น เถรตรง ถ้าเธอหัวร้อนใส่เขาตอนนี้ เขาต้องตั้งแง่ใส่เธออย่างเต็มที่แน่นอน ไม่แน่อาจทำให้แขกทั้งงานรู้ว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนต่างหากที่เป็นลูกเลี้ยงของตระกูลอิ๋ง ต่อให้เธอไม่ยอมรับแขกพวกนี้ก็จะยังคงสงสัย แบบนั้นแล้วชื่อเสียงของอิ๋งเย่ว์เซวียนก็จะไม่ดี
แต่มีเหรอที่จงมั่นหวาจะไม่รู้ว่าอิ๋งเทียนลี่ว์ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร เขากำลังแสดงออกว่า อิ๋งจื่อจินต่างหากที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา
จงมั่นหวาเอามือจับตรงหัวใจ โมโหเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนที่เห็นอิ๋งเย่ว์เซวียนหน้าซีด ยิ่งรู้สึกปวดใจเข้าไปใหญ่ “เสี่ยวเซวียน ไม่ต้องเสียใจนะแม่กับพ่ออยู่ข้างลูกเสมอ”
“พี่ใหญ่ของลูกก็แค่เป็นแบบนี้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ อย่างไรเขาก็รักลูกที่สุดนะ”
“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้เสียใจ” อิ๋งเย่ว์เซวียนรีบก้มหน้า พูดเสียงสั่น แต่ยังคงยิ้ม
“หนูควรดีใจ เดิมทีหนูก็ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของพี่ใหญ่อยู่แล้ว น้องจื่อจินลำบากมามากขนาดนั้น แล้วพี่ใหญ่จะไม่สงสารเธอได้อย่างไร”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่น้ำตาก็ยังคงไหลออกมาอย่างที่ห้ามไม่ได้
อิ๋งเย่ว์เซวียนเอามือเช็ด แต่ยิ่งเช็ดน้ำตากลับยิ่งไหล ท่าทีที่ผู้เฒ่าจงมีต่อเธอเปลี่ยนไป เธอยังพอรับได้ อย่างไรเสียเธอก็รู้ว่าตัวเองเป็นหลานสายนอก ย่อมสู้จงจือหว่านที่แซ่จงไม่ได้ แน่นอนว่าเมื่อก่อนผู้เฒ่าจงไม่ปฏิบัติต่อพวกเธอแตกต่าง
แต่อิ๋งเย่ว์เซวียนก็ค่อยๆ ทำใจมาตลอด
แบบนี้ต่อให้วันหน้าผู้เฒ่าจงลำเอียงรักจงจือหว่านมากกว่า เธอจะได้ไม่ต้องเสียใจมากนัก
แต่อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่เหมือนกัน
อิ๋งเทียนลี่ว์มีเธอเป็นน้องสาวคนเดียว ย่อมตามใจเธอเอาใจเธอแค่คนเดียว ไม่มีใครมาแบ่งเอาความรักไป ดังนั้นเธอถึงได้กลัว แต่เรื่องที่เธอกลัวที่สุดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
อิ๋งเย่ว์เซวียนค่อยๆ หายใจเข้าออก พูดเสียงเบา
“หนูไปห้องน้ำหน่อยนะคะแม่”
จงมั่นหวาก็รู้ว่าอิ๋งเย่ว์เซวียนรู้สึกไม่ดี จึงวางแก้วไวน์ในมือลง “เดี๋ยวแม่ไปเป็นเพื่อนนะ”
โชคดีที่เวลานี้คนในงานเลี้ยงยังมีไม่มาก มีแค่คุณชายคุณหนูไม่กี่คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขารู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปถาม
อิ๋งจื่อจินมองถุงที่อิ๋งเทียนลี่ว์ยื่นให้ เงียบไปเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่รู้ว่าจะปฏิเสธน้ำใจที่จริงใจของคนอื่นอย่างไร และก็เพราะร่างกายของเธอบกพร่อง ด้วยเหตุนี้ใครดีกับเธอ เธอก็จะคืนกลับให้ร้อยเท่า เพียงแต่อิ๋งเทียนลี่ว์ ตอนนี้เธอยังไม่คิดจะรับน้ำใจของเขา
ฟู่อวิ๋นเซินพิงโต๊ะอาหาร ขายาวงอเข่าเล็กน้อยใบหน้าหล่อเหลาดูเป็นคุณชายเสเพล
เขายื่นมือออกไปรับถุงขนม ยิ้มมุมปาก “รบกวนคุณชายอิ๋งจริงๆ ที่ต้องไปไกลขนาดนั้น เด็กน้อยไม่ชินกับคนแปลกหน้า ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับคุณ ผมจะช่วยรับแทนเธอแล้วกัน”
มือของอิ๋งเทียนลี่ว์ชะงัก แววตาเริ่มขรึมลง
เขาย่อมรู้ว่าหลังจากที่ฟู่อวิ๋นเซินกลับมาจากยุโรปก็ใกล้ชิดกับอิ๋งจื่อจิน แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เกินเลย กลับช่วยเธอไว้มากด้วยซ้ำ ถึงแม้ทุกคนในฮู่เฉิงต่างบอกว่า ฟู่อวิ๋นเซินเป็นเพียงคุณชายเสเพลที่รู้จักแต่เที่ยวสนุก ชอบเอาอกเอาใจสาว แต่อิ๋งเทียนลี่ว์ไม่เคยสนใจมาตลอด
ถ้าฟู่อวิ๋นเซินเป็นคุณชายเสเพลจริง ต่อให้มีผู้เฒ่าฟู่คอยปกป้อง มีเหรอจะอยู่รอดในตระกูลฟู่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากขนาดนี้ได้
คนที่ทำให้คนอื่นมองไม่ออกทั้งหมดต่างหากถึงจะน่ากลัวที่สุด
อิ๋งเทียนลี่ว์ก็รู้ว่า ถ้าอยากให้อิ๋งจื่อจินยอมรับเขายังต้องใช้เวลาอีกนานถึงขนาดที่เขาได้เตรียมใจที่จะชดเชยให้ตลอดชีวิตแล้ว สุดท้ายเขาก็เอาถุงขนมยื่นให้ฟู่อวิ๋นเซิน แต่ก่อนไปเขายังได้พูดเตือน
“เธอยังเด็ก คุณห้ามรังแกเธอ”
“เด็กน้อย พี่ใหญ่ของเธอคนนี้…” ฟู่อวิ๋นเซินเอาถุงขนมวางบนโต๊ะ หยุดเล็กน้อย น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ
“ดูเหมือนจะตั้งแง่ไม่น้อยเลยนะ”
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างใจเย็น
“งั้นแสดงว่าคุณยังไม่เคยสังเกตเห็นว่า คุณตาของฉันก็ตั้งแง่กับคุณมากเหมือนกัน”
ฟู่อวิ๋นเซินได้ฟังดวงตาดอกท้อก็เริ่มโค้งมน ผุดรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์
“เพราะคุณปู่ของพี่ชายขโมยขนมของเขาเหรอ”
“ไม่ใช่” อิ๋งจื่อจินเทน้ำผลไม้ ดื่มไปหนึ่งอึกแล้วตอบ “เพราะคุณอยากแทนที่เขา เป็นคุณตาของฉัน”
“…”
…
หลังจากอิ๋งเทียนลี่ว์เอาขนมให้อิ๋งจื่อจินเสร็จก็ไม่ได้ไปหาจงมั่นหวากับอิ๋งเย่ว์เซวียน แต่ไปหาเจียงเหิง คุณชายที่สนิทกับเขา
ตระกูลเจียงก็เป็นตระกูลใหญ่ในฮู่เฉิงเหมือนกัน เป็นรองก็แค่สี่ตระกูลเศรษฐีนั้น เจียงเหิงอายุเท่าเขา สนิทกันมากที่สุดทั้งสองคนเดินไปที่โซนสูบบุหรี่
“เทียนลี่ว์ นี่มันเรื่องอะไรกัน” ในที่สุดเจียงเหิงก็ได้ถามในสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจ “ทำไมนายไปหาลูกเลี้ยงบ้านนายคนนั้นล่ะ”
“เมื่อกี้ฉันเห็นเย่ว์เซวียนร้องไห้ด้วยไม่ไปปลอบหน่อยเหรอ” อิ๋งเทียนลี่ว์ถอดชุดสูทยื่นให้พนักงานโรงแรม สีหน้าเรียบเฉย
“จื่อจินต่างหากที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของฉัน” เจียงเหิงตะลึง ดวงตาเบิกโพลง “ว่าไงนะ!”
“เด็กทารกที่ถูกอาของฉันขโมยไปทิ้งก็คือจื่อจิน” อิ๋งเทียนลี่ว์ตอบ “ตอนนั้นอันที่จริงพ่อแม่ฉันตามหาเด็กกลับมาไม่ได้ เพื่อไม่ให้หุ้นของอิ๋งซื่อกรุ๊ปตกถูกตระกูลอื่นหัวเราะเยาะ พวกเขาก็เลยรับเลี้ยงเสี่ยวเซวียน”
เจียงเหิงสูดลมหายใจเข้า “เป็นอย่างนั้นจริงเหรอ”
เรื่องน้ำเน่าในตระกูลเศรษฐีมีอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องแบบนี้เขาก็เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก
“ฉันก็เพิ่งรู้หลังจากกลับมา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้เรื่องอะไร” อิ๋งเทียนลี่ว์จุดบุหรี่ ยิ้มประชดตัวเอง
“ฉันขอให้ประกาศสถานะของจื่อจิน แต่พ่อแม่ฉันไม่ยอม” เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “นายรู้ไหม ฉันโทรหาพ่อ บอกว่าพวกเขาไม่ยอมประกาศก็ไม่เป็นไร ฉันช่วยตรวจดีเอ็นเอให้ได้ แต่นายรู้ไหมเขาตอบว่าอะไร”
เจียงเหิงไหลไปตามน้ำ เขาถามต่อ “ว่าอะไร”
“เขาบอกว่าฉันทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้คนอื่นเชื่อ เขาก็ไม่มีทางทำอะไรกับสถานะคุณหนูใหญ่ของเสี่ยวเซวียน” อิ๋งเทียนลี่ว์พูดอย่างเย็นชา
“นายก็รู้ว่าถ้าเทียบกับพ่อแม่ ชื่อเสียงของฉันในแวดวงเศรษฐีของฮู่เฉิงยังน้อยมาก”
“ดังนั้นคนรุ่นเดียวกับพ่อแม่ฉัน คนรุ่นเดียวกับย่าฉัน ไม่มีทางเชื่อหรอก แต่การยอมรับจากพวกเขาต่างหากที่สำคัญ”
ไม่ได้รับการยอมรับสถานะ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อีกทั้งสี่ตระกูลเศรษฐีก็แค่ทำดีต่อกันภายนอกมาตลอด ในความเป็นจริงลับหลังแผนสูงแก่งแย่งชิงดี ถ้าเขากับผู้เฒ่าจงออกมาเปิดเผยความจริง ไม่แน่อาจถูกคนอื่นคิดว่ารวมหัวกันมาเล่นงานเพื่อหวังทรัพย์สมบัติของตระกูลอิ๋ง
พอเป็นแบบนั้นเครือญาติที่ไม่ใช่สายตรงของตระกูลจงกับตระกูลอิ๋งก็จะมีเหตุผลเล่นงานแล้ว
“พ่อแม่นาย…” เจียงเหิงส่ายหน้าผ่านไปสักพักเขาถึงค่อยๆ พูดออกมา “แต่มันก็ปกติน่ะนะ”
ตระกูลเศรษฐีส่วนใหญ่หวังแค่ผลประโยชน์ เรื่องอย่างวางแผนเล่นงานกันเองก็มีอยู่ไม่น้อย อิ๋งเย่ว์เซวียนยอดเยี่ยมขนาดไหนใครๆ ก็รู้ ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนที่หน้าตาสวยโดดเด่น แต่อัธยาศัยดีกับคนแปลกหน้าก็คุยอย่างสนิทสนมได้อย่างรวดเร็ว เจียงเหิงก็ชอบคุยกับเธอ
อีกทั้งเขาก็ได้ยินมาว่าตอนอิ๋งเย่ว์เซวียนไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนรัฐบาลของยุโรปยังได้เข้าร่วมทีมวิจัยวิทยาศาสตร์อีกด้วย ได้ยินว่าหัวเรือใหญ่ของทีมวิจัยนี้เป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงวิชาการ เธอเพิ่งอายุสิบเจ็ดอนาคตยังอีกยาวไกล
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เดิมทีอิ๋งเย่ว์เซวียนเป็นเด็กที่จงมั่นหวากับอิ๋งเจิ้นถิงเลี้ยงมาจนโต อบรมเลี้ยงดูมาสิบหกปีความผูกพันย่อมมีมากกว่าลูกสาวแท้ๆ ที่เพิ่งกลับมาได้แค่ปีเดียวแน่นอน
เมื่อก่อนเจียงเหิงเคยเจออิ๋งจื่อจินอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องบุคลิกหรือความรู้ความสามารถก็เทียบกับอิ๋งเย่ว์เซวียนไม่ได้เลยจริงๆ
แต่ครั้งนี้ได้มาเจออีกครั้ง เขาก็ตะลึงอยู่นาน
“ฉันต้องคิดหาทาง” อิ๋งเทียนลี่ว์เขี่ยขี้บุหรี่ลงในถาด ขมวดคิ้ว
“หาคนที่มีบารมียิ่งกว่า ช่วยเปิดเผยสถานะของจื่อจิน แบบที่พ่อแม่ฉันปฏิเสธไม่ได้”
“ไม่ค่อยมีความเป็นไปได้” ฟังถึงตรงนี้เจียงเหิงก็ส่ายหน้า
“คนแบบนั้นไม่มีหรอกในฮู่เฉิง เว้นเสียแต่นายจะไปหาตระกูลมู่ตระกูลเนี่ยที่อยู่ตี้ตู แถมยังต้องเป็นรุ่นปู่ของมู่เฉินโจว”
มันจะเป็นไปได้ยังไง
ตระกูลพวกนี้เป็นตระกูลใหญ่ของตี้ตู มีเหรอจะว่างมายุ่งเรื่องของสี่ตระกูลใหญ่ในฮู่เฉิง
ขณะที่เจียงเหิงกำลังพูด ทันใดนั้นสายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นตรงทางเข้าห้องจัดงาน
เขาอึ้งสะกิดไหล่ของอิ๋งเทียนลี่ว์แล้วใช้คางชี้ “เทียนลี่ว์ ดูนั่นสิ”
“อะไร” อิ๋งเทียนลี่ว์หันไป