ซิวเหยียนเอากระเป๋าสัมภาระมาทั้งหมดห้าใบ เป็นไซส์ใหญ่สุดทั้งนั้น
เด็กผู้หญิงทั่วไปแค่ยกใบเดียวก็กินแรงมาก พวกเธอพักห้องสไตล์ฝรั่งที่ชั้นสาม ไม่มีลิฟท์
เถิงอวิ้นเมิ่งเป็นคนนิสัยดี พอได้ยินซิวเหยียนพูดแบบนี้ก็ลุกขึ้นมาจริงๆ เตรียมไปช่วยยก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวออกไปก็มีมือมาจับบ่าไว้แล้วกดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้
อิ๋งจื่อจินดื่มชาพุทราแดงผสมเก๋ากี้คำสุดท้ายเสร็จก็วางแก้วลง เหลือบตาขึ้น พูดเสียงขรึม
“ไม่มีมือเหรอ” ผู้ช่วยที่กางร่มให้ซิวเหยียนเงยหน้าด้วยความตะลึง เกือบสงสัยว่าตัวเองได้ยินผิด
ไม่ว่าจะในกองถ่ายหรือที่โรงเรียนก็ไม่ต้องรอให้ซิวเหยียนเอ่ยปาก คนอื่นๆ ก็พากันแย่งเข้ามาช่วยเธอทำหมด ต่อให้ซิวเหยียนไม่ได้เดบิวต์เพราะคว้าอันดับสองในรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 มาด้วยความสามารถของตัวเอง ลำพังแค่เธอเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิวก็มีคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนรีบเข้ามาประจบเธอแล้ว
ตระกูลซิวในตี้ตูเป็นตระกูลใหญ่ที่เทียบเคียงได้กับตระกูลเนี่ยกับตระกูลมู่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซิวเหยียนก็โด่งดังในวงการบันเทิงมากเหมือนกัน ดึงดูดแฟนคลับเหนียวแน่นได้กลุ่มใหญ่ เพราะตอนที่เธอเข้าร่วมรายการวัยรุ่นสร้างฝัน 101 เธอปกปิดตัวตน ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซิว และเธอก็ไม่ได้พึ่งที่บ้าน
เธออาศัยความสามารถในการร้องเต้นของตัวเองจนเดบิวต์ได้สำเร็จ
ตัวตนของซิวเหยียนเพิ่งถูกเปิดเผยออกมาเมื่อไม่นานมานี้
มีทั้งชาติตระกูลและความสามารถ ใครก็ชอบ
ซิวเหยียนเองก็ตะลึงมาก
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแบบที่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น จากนั้นถึงได้หันไปตั้งใจมองทางแปลงดอกไม้ พอเห็นใบหน้าของเด็กสาวคนนั้น เธอก็หรี่ตาลง
จากนั้นเธอก็นึกถึงดาราที่เคยเจอมาในวงการบันเทิงอย่างรวดเร็ว รวมถึงพวกคุณหนูในตระกูลน้อยใหญ่ของตี้ตู
ไม่มีสักคนที่ตรงกัน
อ่อ คนทั่วไป
ซิวเหยียนพับแว่นกันแดดแล้วแขวนไว้ตรงคอเสื้อ ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังยิ้ม
“ก็ใช่น่ะสิ ตรงนี้มีพวกเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ฉันจะมีมือไปทำไม”
เธอดูเวลา ไม่ได้โมโห “เอาแบบนี้พวกเธอยกขึ้นไป ฉันให้ใบละพันโอเค?”
“ในนี้มีเครื่องสำอางของฉันขนกลับมาจากเมืองนอกทั้งนั้น ตอนยกก็ระวังด้วยกระแทกพังไปพวกเธอจะชดใช้ไม่ไหว”
ทั้งสองคนไม่ขยับแม้แต่น้อยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเดินเข้าไปหาสีหน้าของซิวเหยียนเริ่มบึ้งลงทีละนิด
ผู้ช่วยอดพูดแทนเธอไม่ได้ “พี่เหยียนเป็นผู้หญิง พวกเธอช่วยยกหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“แล้วพวกเราไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ” เถิงอวิ้นเมิ่งทำเสียงไม่พอใจ
“ที่นี่ไม่ใช่วงการบันเทิง พวกเราก็ไม่ใช่แฟนคลับของเธอด้วย ต้องเอาใจเหรอมือของฉันมีประกัน มีค่าไม่แพ้มือของเธอหรอกนะ” ผู้ช่วยสะอึกคำพูด กระอักกระอ่วน เริ่มจนตรอก
ซิวเหยียนเงียบไปชั่วครู่ ยิ้มพลางพูด
“พูดมีเหตุผลฉันเองดีกว่า งั้นฉันขอให้พวกเธอช่วยฉันยกได้ไหม”
เธอรู้จักแค่เถิงอวิ้นเมิ่ง แต่กลับไม่รู้จักอีกคน
เถิงอวิ้นเมิ่งเป็นอัจฉริยะจากโรงเรียนมัธยมในสังกัดมหาวิทยาลัยตี้ตู เคยได้เหรียญทองในการแข่งขันวิชาการระดับนานาชาติมากมาย
ประเทศจีนมีโครงการที่ปกป้องพวกอัจฉริยะมาตลอด เถิงอวิ้นเมิ่งก็เป็นหนึ่งในนั้น
อัจฉริยะแบบเถิงอวิ้นเมิ่ง หลังจากที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็จะเป็นเป้าหมายที่พวกตระกูลใหญ่กับอิทธิพลใหญ่ๆ ต่างอยากรับเข้าทำงาน
ตระกูลซิวก็เช่นกัน
ถ้าอยากจะตั้งตัวในตี้ตู คนมีความสามารถต่างหากที่สำคัญ ครั้งนี้ที่ซิวเหยียนมาค่ายติวก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับอัจฉริยะพวกนี้เพียงแต่เธอชินแล้วกับการให้คนอื่นช่วยทำเรื่องต่างๆ
อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น เอาลูกอมยัดใส่มือเถิงอวิ้นเมิ่งหนึ่งเม็ด “ไปเถอะ”
เธอหันตัวเดินขึ้นตึกโดยไม่มองซิวเหยียน
เถิงอวิ้นเมิ่งย่อมตามไปติดๆ สำหรับเธอแล้ว หน้าตาของทีมเธอย่อมสำคัญกว่า และเธอก็ไม่จำเป็นต้องไปเอาใจคุณหนูใหญ่ตระกูลซิวด้วย พอเห็นสองคนนั้นเดินออกไป ซิวเหยียนก็ประคองรอยยิ้มที่มุมปากไว้ไม่อยู่แล้ว
ไม่เคยมีใครหักหน้าเธอแบบนี้
“พี่เหยียนสองคนนั้นทำเกินไปแล้ว” ผู้ช่วยบ่น
“อย่างน้อยทุกคนก็ต้องติวอยู่ที่นี่ด้วยกันหนึ่งเดือน เพื่อนกันทั้งนั้นช่วยยกกระเป๋าแค่นี้ก็ไม่ได้”
“ตอนนั้นพี่เฉินพูดแล้วว่า พี่เหยียนถ่ายละครไปด้วยเรียนไปด้วยก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องร่วมลงแข่งเลยจริงๆ”
ไอเอสซีเป็นงานแข่งวิชาการระดับนานาชาติก็จริง แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าตาพวกคนเก่งๆ ในแวดวงวิชาการ
อนาคตของซิวเหยียนต้องสืบทอดกิจการของตระกูลซิว ไหนจะวงการบันเทิงอีก มีเวลาว่างเหรอ
“ขึ้นไปก่อนแล้วกัน” ซิวเหยียนใส่แว่นดำอีกครั้ง ยิ้มมุมปาก
“ถูกต้อง มีเวลาหนึ่งเดือน หนทางยังอีกยาวไกล”
…
คฤหาสน์ตระกูลมู่
คุณนายมู่กลับมาจากข้างนอกก็ได้รับรายงานจากคนรับใช้
เธอชะงักตกใจเล็กน้อย “เธอบอกว่าวันนี้เช้ามู่เหวยเฟิงอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะคุณนายห้า” คนรับใช้พูดอย่างนอบน้อม “เมื่อเช้าตอนที่พ่อบ้านสั่งให้คนยกอาหารไปให้คุณชายเหวยเฟิง ตอนแรกคุณชายเหวยเฟิงก็ยังกินดีๆ อยู่ จากนั้นก็อ้วกเป็นเลือดออกมา”
“พ่อบ้านทำอะไรไม่ถูกเลยรีบเรียกหมอประจำบ้านไป หนูเห็นชัดเลยค่ะว่ากองเลือดใหญ่มาก”
ตระกูลมู่ก็ทุ่มเทไปมากกับการรักษาโรคให้มู่เหวยเฟิง เชิญหมอจากโรงพยาบาลตี้ตูมาประจำอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลมู่โดยเฉพาะ
แต่ก็ช่วยทำได้แค่ประคองอาการ รักษาถึงแก่นแท้ของโรคไม่ได้
คุณนายมู่สีหน้าเปลี่ยน “คงไม่ได้มีใครลงมือใช่ไหม”
คนรับใช้อึ้ง “คุณนายห้า ทำไมคิดแบบนี้ล่ะคะ”
คุณนายมู่นวดขมับ “ฉันเห็นเธอพูดว่าอยู่ๆ ก็มีอาการ เลยคิดว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”
ตระกูลมู่มีการห้ามคนในตระกูลทำร้ายกันเอง โดยเฉพาะการแอบทำร้ายลับหลัง
เธอก็เคยมีความคิดแบบนี้ แต่เธอไม่กล้า
แต่มู่เหวยเฟิงชะตาอาภัพจริง ขนาดเธอไม่ได้ทำอะไรเขาก็ใกล้ตายแล้ว
คุณนายมู่ส่ายมือ “ออกไปเถอะ”
คนรับใช้ถือไม้กวาดเดินออกไป
คุณนายมู่กลับห้องตัวเอง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วแขวนไว้บนราว
เธอคิดสักพักแล้วกดโทรศัพท์
“ฮุ่ยจู” คุณนายมู่พูดเสียงเครียด “เธอรู้จักหมอโรคทรวงอกที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศใช่ไหม”
เคอฮุ่ยจูได้ยินเธอถามแบบนี้ก็เริ่มระแวง “พี่คิดจะทำอะไร”
เรื่องคัดลอกผลงานคราวก่อนได้ทำให้หวาซิ่วเสียหายมหาศาลไปแล้ว เคอฮุ่ยจูฟังคำแนะนำของคุณนายมู่ ทำให้หวาซิ่วดูเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ สุดท้ายก็กู้ชื่อเสียงกลับมาได้ไม่น้อย เพียงแต่เทียบกับยุครุ่งเรืองไม่ได้
อย่างไรเสียหวาซิ่วก็เป็นแบรนด์เก่าแก่ ลูกค้าเก่าเยอะมาก ลูกค้าส่วนหนึ่งไม่ได้ให้ความสนใจการแข่งขันออกแบบเท่าไร
คุณนายมู่ไม่ได้บอกไปตามตรง แค่ถามต่อ “เชิญหมอโรคทรวงอกคนนี้มายากมากไหม”
“ไม่ได้ยากมาก แต่โคตรยาก แค่เรื่องในตระกูลเคอก็ยุ่งยากมากพอแล้ว” เคอฮุ่ยจูสีหน้าไม่ค่อยดี “พี่จะทำอะไรกันแน่”
หมอโรคทรวงอกคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากระดับโลก เคอฮุ่ยจูย่อมไม่เคยรู้จักมักคุ้นหมอโรคทรวงอกคนนี้ แต่ตระกูลของสามีเธอกลับรู้จัก
อยากจะเชิญมาก็ได้อยู่หรอก แต่ต้องจ่ายเยอะทีเดียว และก็เพราะเรื่องหวาซิ่ว เคอฮุ่ยจูไม่พอใจในตัวคุณนายมู่มากอยู่ก่อนแล้ว
“เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เฉินโจวจะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่มากทีเดียว” คุณนายมู่พูด “ขอเพียงแต่เธอเชิญหมอโรคทรวงอกคนนี้มาได้ ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลมู่ก็มีโอกาสถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นเฉินโจว”
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์นั่นแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้ว
“ได้” เคอฮุ่ยจูหายใจถี่เร็วขึ้น เธอกัดฟันรับปาก “พี่ ขอเพียงแต่วันหน้าเฉินโจวได้กลายเป็นนายใหญ่ตระกูลมู่ ฉันช่วยได้หมดทุกอย่าง ฉันจะลองเชิญดู”
เมื่อทางนั้นรับปาก คุณนายมู่ก็วางใจแล้ว
เธอลุกขึ้น ไปยังที่พักของมู่เหวยเฟิง
…
ภายในเรือนอีกหลังหนึ่ง
เนื่องจากเมื่อเช้าเพิ่งอ้วกเป็นเลือด สีหน้าของมู่เหวยเฟิงจึงยังคงซีดเซียวอยู่ เขายังคงนั่งฝึกเขียนภาพอักษรอยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ครั้งนี้เขาเขียนช้ามาก แต่ลายเส้นกลับต่อเนื่อง
มู่เหวยเฟิงเป็นคนหูดี
ตอนที่คุณนายมู่เหลืออีกยี่สิบสามสิบเมตรจะเดินถึงสวน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอแล้ว มู่เหวยเฟิงเงยหน้า สายตาหยุดลงชั่วครู่
เมื่อคุณนายมู่เดินเข้ามาใกล้ เขาก็เรียกอย่างมีมารยาท “อาสะใภ้ห้า”
“ได้ยินว่าเมื่อเช้าอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้ว” คุณนายมู่นั่งลงตรงข้ามเขา “สุขภาพแย่ลงอีกแล้วเหรอ”
“พอไหวครับ” มู่เหวยเฟิงก้มหน้า ไม่มองคุณนายมู่ เขียนอักษรต่อ “ยังตายไม่ได้”
คุณนายมู่ขมวดคิ้ว
ดูเหมือนมู่เหวยเฟิงคนนี้จะไม่มีท่าทีหวาดระแวงอะไร
“พี่สามกับพี่สะใภ้สามจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก คงไม่อยากเห็นลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขาต้องจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย” คุณนายมู่พูดด้วยท่าทางเหมือนอยู่เหนือกว่า
“ถ้าเธอตายไปน้องสาวเธอก็จะไม่มีที่พึ่ง จะอยู่ในตระกูลใหญ่ลำบาก”
“ตระกูลมู่มีลูกหลานเยอะขนาดนั้น ดีไม่ดีน้องสาวเธอจะถูกจับคู่แต่งงาน”
สายตาของมู่เหวยเฟิงเย็นชาลง
เขาหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก กระดาษเลอะเลือดเล็กน้อย
เขาเช็ดเสร็จก็โยนทิ้งถังขยะ “อาสะใภ้ห้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”
“ได้ ฉลาดนี่ งั้นอาจะไม่เสียเวลาพูดไร้สาระ” คุณนายมู่ยิ้ม “อารู้จักหมอฝีมือดีของต่างประเทศอยู่คน เขามีชื่อเสียงมากเรื่องรักษาโรคทรวงอก”
“อาจะช่วยเชิญเขามารักษาเธอ แต่เธอต้องสละสิทธิ์เข้าทดสอบหาผู้สืบทอดตระกูลมู่”