ตอนที่ 284 ซิวเหยียนอยู่ต่อไม่ได้แล้ว พินัยกรรม
“เวยปั๋วมีอะไรเหรอคะ” ซิวเหยียนเอาผมที่ปลิวมาติดริมฝีปากไปเกี่ยวหลังหู พูดอย่างไม่ใส่ใจ “แอนตี้แฟนพวกนั้นอีกแล้วเหรอ”
“ปล่อยพวกเขาไปเถอะค่ะ ไม่ใช่เพิ่งมีได้วันสองวัน”
ขนาดเซี่ยมั่นอวี่กับซังเย่าจือก็ยังมีแอนตี้แฟนเหมือนกัน
เธอเข้ามาในวงการบันเทิงด้วยสถานะคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซิว เดิมทีก็ตกเป็นเป้าโจมตีอยู่แล้ว คนที่ไม่หวังดีกับเธอมีไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกองุ่นเปรี้ยวทั้งนั้น เธอไม่แคร์หรอก
“แอนตี้แฟนเหรอ” พอได้ยินแบบนี้พี่เฉินก็โมโหจนหัวเราะ “คุณหนูใหญ่ซิว ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่ายพีอาร์ของบริษัทเตรียมการได้ทันเวลา อย่าว่าแต่แอนตี้แฟนเลย แม้แต่คนที่แค่ผ่านมาเห็นก็จะรุมด่าเธอแล้ว!”
รอยยิ้มของซิวเหยียนถึงได้หุบลง “เกิดอะไรขึ้นคะ”
เธอไม่ค่อยได้สนใจกระแสของคนทั่วไปเท่าไร
อย่างไรเสียเธอก็เป็นไอดอล อยู่ได้เพราะแฟนคลับ
คนทั่วไปอย่างมากก็แค่บอกว่าเธอสวย ไม่มีทางยอมเสียเงินเพื่อเธอ
แต่ภาพลักษณ์ของเธอในหมู่คนทั่วไปก็เคยเสียหายมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่อตอนที่เธอถูกไล่ออกจากค่ายติว
เดิมทีเธอไม่คิดจะทำอะไรอิ๋งจื่อจิน
แค่คนที่ไม่มีภูมิหลังอะไร ทั้งยังเป็นคนบ้านนอกที่ถูกไล่ออกจากตระกูลอิ๋ง อย่าว่าแต่จะเป็นภัยต่อเธอเลย แม้แต่ชื่อก็ไม่คู่ควรถูกพูดขึ้นมาพร้อมกับเธอด้วยซ้ำ
ซิวอวี่ต่างหากที่เป็นคนที่เธอต้องกลัวอย่างแท้จริง
แต่เธอเสียหน้าเพราะอิ๋งจื่อจิน ความแค้นนี้เธอกลืนมันไม่ลง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องล้างแค้น
ถึงแม้ซิวเหยียนจะเพิ่งเข้าวงการบันเทิงมาได้ปีกว่า แต่เธอก็รู้พวกเล่ห์เหลี่ยมในวงการ
อะไรที่ขาวสะอาดก็ถูกพูดให้มีมลทินได้ ต่อให้สุดท้ายยืนยันความบริสุทธ์ได้แล้วก็ยังคงมีจุดด่างพร้อยอยู่ดี
“เวยปั๋วโพสต์นี้เธอให้พวกหัวหน้าแฟนคลับโพสต์ใช่ไหม” พี่เฉินยื่นโทรศัพท์มือถือให้เธอ “เธอยังไม่รู้ความจริงด้วยซ้ำแต่เอาคลิปที่ตัดออกมาส่วนเดียวไปโพสต์ คิดจะทำอะไร”
ซิวเหยียนฟังแค่ประโยคแรกก็ก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร
เธอขมวดคิ้ว รับโทรศัพท์มาดู
เป็นภาพที่แคปหน้าจอมา คนแคปยังได้จงใจใช้ปากกาแดงวงรอบชื่อคนโพสต์เวยปั๋ว
ชื่อแบบนี้มีแต่แฟนคลับของซิวเหยียนเท่านั้น
ซิวเหยียนเลื่อนขึ้นไปดูถึงเห็นเนื้อหาทั้งหมดของเวยปั๋ว
แอทเฮียแปดคนในวงการ : [เอาความน่าขำของแฟนคลับคุณหนูใหญ่ตระกูลหนึ่งมาให้ทุกคนได้ชมกัน ทางสำนักข่าวเยาวชนถึงขั้นออกมาบอกแล้วว่าเป็นการปราบคนเลว ทำไมแฟนคลับพวกนี้ก็ยังจะไปหาเรื่องเด็กเทพคนนั้นเพราะสงสารคุณหนูใหญ่คนดังกล่าวอีกล่ะ]
ด้านล่างยังมีรูปที่แคปมาอีกสองรูป
รูปหนึ่งเป็นโพสต์เวยปั๋วของสำนักข่าวเยาวชน
อีกรูปหนึ่งเป็นภาพอันดับคำค้นยอดนิยม
อันดับ 9 #อิ๋งจื่อจินปราบคนเลว#
อันดับ 17 #อิ๋งจื่อจินซ้อมคนจนเข้าโรงพยาบาล#
สองแฮชแท็กถูกเอามาต่อกัน เหมือนเป็นการตบหน้าซิวเหยียน
โดยเฉพาะคอมเมนต์ด้านล่างของชาวเน็ต
[ตลกเป็นบ้า แฟนคลับสมัยนี้ไอคิวติดลบเหรอ]
[จงใจใส่ร้ายเทพอิ๋งยังพอว่า ประเด็นคือใส่ร้ายก่อนความจริงจะออกมาเนี่ยนะ รู้หรือเปล่าว่าฉันอ่านเวยปั๋วของสำนักข่าวเยาวชนจบก่อนมาอ่านโพสต์ของแฟนคลับอย่างพวกเธอ รู้สึกว่าพวกเธอเหมือนตัวตลกเลยอะ]
[ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่ซิวเหยียนคนนี้ นอกจากชาติตระกูลแล้ว ยังจะมีตรงไหนสู้เทพอิ๋งได้บ้าง หน้าตาเหรอ ไม่คู่ควรๆ]
แววตาของซิวเหยียนเปลี่ยนไปทันที
พี่เฉินเห็นท่าทางของเธอก็รู้ว่าอ่านจบแล้ว ส่ายหน้าไม่หยุด “เธอรู้หรือเปล่าว่าเธอเกือบอยู่วงการบันเทิงต่อไปไม่ได้แล้ว”
“อะไรจะยืนยันความบริสุทธ์ได้เร็วขนาดนี้” ซิวเหยียนไม่กล้าอ่านต่อ เธอพยายามคุมน้ำเสียงที่สั่นอยู่เล็กน้อย “นี่เพิ่งหนึ่งชั่วโมงเองนะ!”
ต่อให้เป็นทีมพีอาร์ที่เก่งขนาดไหนก็ไม่มีทางทำงานได้เร็วขนาดนี้
อิ๋งจื่อจินเป็นคนธรรมดา ไม่รู้จักวงการบันเทิง ทำได้ได้อย่างไร
“เธอคิดว่าเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์จริงเหรอ” พี่เฉินถอนหายใจ “เธอรู้หรือเปล่าว่าหลังจากที่แฟนคลับของเธอพวกนั้นโพสต์คลิปไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที คลิปทั้งหมดก็ถูกลบออก กระแสยังไม่ทันจะตีขึ้นมาเลย”
“ชาวเน็ตส่วนใหญ่เลยไม่เห็นว่าเด็กคนนั้นถูกใส่ร้าย เห็นแต่คำชม เธอคงไม่ได้คิดว่าแผนของเธอสำเร็จแล้วจริงๆ หรอกนะ”
พอได้ยินแบบนี้ในที่สุดซิวเหยียนก็มีสีหน้าช็อก “จะเป็นไปได้ยังไง!”
“ไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว” พี่เฉินพับปิดคอมพิวเตอร์ “เธออย่าดูถูกคนธรรมดา ชาวเน็ตสมัยนี้ชอบคนธรรมดาที่มีความสามารถทั้งยังถ่อมตัวมากกว่า”
เขากำชับ “ต่อไปอยู่ให้ห่างๆ จากคนชื่ออิ๋งจื่อจินไว้ ไม่อย่างนั้นเธอจะหน้าแตกขนาดไหนได้อีกก็ไม่รู้”
ซิวเหยียนเม้มริมฝีปาก “งั้นเรื่องนี้จะส่งผลต่อฉัน…”
“ทางบริษัทให้ทีมต่อต้านแอนตี้แฟนจัดการบล็อกแฟนคลับพวกนี้ของเธอไปแล้ว” พี่เฉินพูด “บอกว่าคนพวกนี้เป็นแฟนคลับที่แฝงมาจากด้อมอื่น แต่ภาพลักษณ์ของเธอในสายตาคนทั่วไปก็พังอยู่บ้าง ดังนั้นเธอต้องพยายามกู้ชื่อเสียงกลับมาให้เร็วที่สุด”
ซิวเหยียนถึงได้โล่งอก เธอยิ้มอีกครั้ง “รายการวัยรุ่นสร้างฝัน 202 จะเริ่มถ่ายช่วงปิดเทอมหน้าหนาวแล้ว ไว้ถึงตอนนั้นฉันค่อยอาสาไปช่วยงาน”
พี่เฉินไม่พูดอะไร พยักหน้า
ซิวเหยียนจิกฝ่ามือ แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่ได้
แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักได้แล้วว่า อิ๋งจื่อจินไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกตัวเร็วแล้วตอบโต้อย่างทันควันได้อย่างไร
เห็นทีถ้าเธออยากเล่นงานซิวอวี่ก็คงทำได้แค่ลงมือที่ตัวซิวอวี่เท่านั้น
ซิวเหยียนหลุบตาลงเพื่อปิดบังอารมณ์ในดวงตา
…
เรื่องในเน็ตไม่ส่งผลต่ออิ๋งจื่อจินแม้แต่น้อย
เธอรักษาตัวอยู่สิบกว่าวัน อีกทั้งยังได้ใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการ
สมาชิกตระกูลตี้อู่ที่อาศัยอยู่ในบ้านเก่าหลังนี้จะไม่ออกไปจ่ายตลาดซื้อเนื้อซื้อผัก ที่นี่เลี้ยงวัวเลี้ยงม้า ทั้งยังปลูกผักเอาไว้มากมาย
ฮวงจุ้ยเลี้ยงคน อิ๋งจื่อจินรู้สึกว่าช่วงนี้ผิวพรรณของเธอดีขึ้นมาก
แต่ชีวิตเกษียณแบบนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ร่างกายดูดตัวยาจากโสมหลิงเป่าไปหมดแล้ว สุขภาพก็ฟื้นฟูจนถึงแก่นแท้ภายใน และนี่ก็หมายความว่าได้เวลาที่เธอต้องกลับฮู่เฉิงแล้ว
จากฮู่เฉิงมานานขนาดนี้ ถึงแม้เธอจะวิดีโอคอลกับเวินเฟิงเหมียนและผู้เฒ่าจงทุกวัน แต่ทั้งสองคนก็ยังคงเป็นห่วงเธอมาก
อีกทั้งสำนักเยาวชนก็ส่งธงเกียรติยศไปให้จริงๆ
ตอนธงเกียรติยศไปถึงบ้านครอบครัวเวิน ผู้เฒ่าจงอยู่ด้วยพอดี เขาดีใจชื่นชมธงเกียรติยศอยู่นานสองนาน
“ถ้าลุงจงชอบมากจะเอากลับไปก็ได้นะครับ” เวินเฟิงเหมียนยิ้ม “ที่นี่คับแคบ วางตรงไหนก็ไม่สะดวก”
“งั้นก็ได้ๆ” ผู้เฒ่าจงไม่ปฏิเสธ “ผมจะแขวนไว้ในห้องทำงานของผม จะได้มองเห็นทุกวัน”
เขาแทบอยากประกาศให้โลกรู้ว่าหลานสาวของเขาเก่งมาก มีความกล้าหาญ
พอนึกถึงตรงนี้ผู้เฒ่าจงกลับส่งข้อความวีแชทหาอิ๋งจื่อจินด้วยความไม่วางใจ
[จื่อจิน ต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีก หลานเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว วิ่งหนีไปดีกว่านะ]
อิ๋งจื่อจินตอบกลับด้วยความเร็วสูง
[วางใจได้ค่ะคุณตา ต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้หนูจะเพลามือลงหน่อย]
ผู้เฒ่าจง “…”
ผิดแผนๆ
เขาเกือบลืมไปว่าหลานสาวของเขาสู้กับสิบคนยังไหว
เขาควรจะเป็นห่วงคนที่ถูกซ้อมมากกว่า
ผู้เฒ่าจงเก็บธงเกียรติยศแล้วออกจากบ้านครอบครัวเวิน เขาตั้งใจไปที่บ้านตระกูลฟู่เพื่ออวดผู้เฒ่าฟู่สักหน่อย
ผู้เฒ่าฟู่กำลังนั่งพักสายตาอยู่บนเก้าอี้โยก พอได้ฟังก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
ดีมาก หลานสะใภ้ที่เขาเล็งไว้มีฝีมือไม่เบา ต่อไปคุมเจ้าเจ็ดอยู่แน่
ครั้งนี้สายตาของเขาเฉียบคมจริงๆ
แน่นอนว่าผู้เฒ่าฟู่ไม่ได้พูดความคิดนี้ออกไป
“ตาฟู่ ช่วงนี้แกไม่ค่อยสดชื่นหรือเปล่า” ผู้เฒ่าจงสังเกตสีหน้าของผู้เฒ่าฟู่ นึกสงสัย “คราวก่อนที่แกเล่นเดินหมากกับฉัน อยู่ๆ แกก็หลับไปกลางคัน”
“คนเราแก่แล้วก็แบบนี้ ไม่มีใครอยากไปอยู่โรงพยาบาล ยังไงซะก็ไม่ได้เป็นอะไร” ผู้เฒ่าฟู่ไม่สนใจเท่าไร “ฉันสู้แกไม่ได้ อายุขนาดนี้ยังพลังช้างสาร”
“ถุย” ผู้เฒ่าจงโมโห “ถ้าฉันพลังช้างสาร ตอนนั้นแกยังจะกล้าขโมยขนมฉันอีกเหรอ”
เห็นได้ยาก ครั้งนี้ผู้เฒ่าฟู่ไม่ต่อปากต่อคำกับเขา กลับหัวเราะ “ฉันก็แอบคิดถึงสมัยก่อนอยู่นะ”
“อะ วันนี้ฉันใจกว้าง นี่เป็นชาที่หลานสาวของฉันให้มา” ผู้เฒ่าจงขมวดคิ้ว หยิบถุงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แกชงดื่มทุกวัน จากนั้นทุกเช้าก็ออกไปรำไทเก๊กกับฉัน”
ผู้เฒ่าฟู่มองแล้วรับมา
เขาเกรงใจไม่กล้าบอกว่า ชาแบบนี้เขาก็มี
พูดออกไปเดี๋ยวตาแก่จงได้มาตีเขา
“เอาล่ะ ฉันก็แค่มาอวดแกแค่นั้นแหละ” ผู้เฒ่าจงม้วนธงเก็บ “ถ้าแกง่วงก็นอนเถอะ ฉันกลับบ้านก่อน”
ผู้เฒ่าฟู่พยักหน้าแล้วเอนตัวลงอีกครั้ง
ผู้เฒ่าจงเปิดประตูเดินออกไปก็เจอฟู่หมิงเฉิงที่กำลังจะเข้ามา
เขาเดินผ่านโดยไม่แม้แต่จะมองฟู่หมิงเฉิง
ฟู่หมิงเฉิงเข้าไปในห้อง พอกำลังจะเรียก ‘คุณพ่อ’ กลับเห็นผู้เฒ่าฟู่หลับตาอยู่ หลับไปแล้ว
เขาจำต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับไปแล้วออกจากห้องนอน ปิดประตู
หลังจากที่ฟู่หมิงเฉิงออกไปจากห้องแล้ว ผู้เฒ่าฟู่ที่เขาคิดว่าหลับสนิทก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าฟู่เอนตัวพักอยู่บนเก้าอี้โยกเงียบๆ สักพัก จากนั้นถึงค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะทำงาน
เขาดึงลิ้นชัก หยิบพินัยกรรมฉบับหนึ่งที่วันนี้เช้าเพิ่งเขียนใหม่อีกครั้ง