ตอนที่ 387 เผยธาตุแท้
เว็บบอร์ดของชิงจื้อใช้นามแฝงก็จริง แต่ก็จำเป็นต้องลงทะเบียนแอคเคาท์
ตอนลงทะเบียนแอคเคาท์ต้องกรอกเลขประจำตัวนักเรียนของโรงเรียน
หนึ่งเลขประจำตัวนักเรียนสามารถลงทะเบียนได้สิบแอคเคาท์
ถ้าอยากลงทะเบียนใหม่ก็ต้องระงับบัญชีก่อนหน้านี้เสียก่อน
ตอนแรกสุด เว็บบอร์ดนามแฝงของโรงเรียนเป็นแค่ที่ที่ให้นักเรียนได้มาผ่อนคลาย บางครั้งยังมีการจัดเกมให้เล่นแบบใช้นามแฝงในเว็บบอร์ด
เพียงแต่ต่อมาก็ได้เปลี่ยนแนวไป มักมีกระทู้แฉข้อมูล และยังมีกระทู้ด่าทอเจตนาร้าย ยุยงให้คนทะเลาะกัน
กระทู้แบบนี้จะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคลบทิ้งมาตลอด อีกทั้งจะถูกบล็อกแอคเคาท์
เพียงแต่วันนี้เป็นวันจันทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคที่รับผิดชอบดูแลเว็บบอร์ดต่างกำลังพักอยู่
อิ๋งเย่ว์เซวียนถึงได้เลือกช่วงเวลานี้
เธอไม่ได้เพิ่งทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก คราวก่อนที่เธอโพสต์กระทู้เกี่ยวกับจงจือหว่านเธอก็เปลี่ยนหลายแอคเคาท์เพื่อดันกระทู้ขึ้นไปเหมือนกัน
พอกระทู้เริ่มตก เธอก็ดันขึ้นไปอีก
อิ๋งเย่ว์เซวียนโพสต์กระทู้เสร็จก็ไปลาป่วยที่ฝ่ายวิชาการ โดยอ้างว่าเพราะคุณนายผู้เฒ่าอิ๋งป่วยหนัก จากนั้นก็ไปโรงพยาบาล
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่รู้ว่าภายในโรงเรียนมัธยมชิงจื้อได้เกิดกระแสฮือฮาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่า ด้านล่างกระทู้ของเธอ รวมถึงตัวกระทู้ คอมเมนต์แรกๆ เป็นชื่อของเธอทั้งหมด
[อิ๋งเย่ว์เซวียน : ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเจียงหรานกับซิวอวี่ถึงไปติดตามคนแบบนี้ได้ มองไม่ออกเหรอว่าเป็นคนดีจอมปลอม]
[อิ๋งเย่ว์เซวียน : เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย คู่ควรเป็นหมอเหรอ ถ้าเอาไปแฉบนเวยปั๋วยังจะเหลือชื่อเสียงอยู่อีกหรือเปล่า]
[อิ๋งเย่ว์เซวียน : คนแก่ผิดอะไร ต่อให้แค้นแค่ไหนจะทิ้งไว้ก่อนไม่ได้เหรอ ฉันล่ะขยะแขยงอิ๋งจื่อจินจริงๆ]
อันนี้เป็นคอมเมนต์แรกๆ
พอมาถึงช่วงหลังๆ คนที่อ้างเรื่องศีลธรรมมีเยอะขึ้น ก็ปรากฏชื่อของอิ๋งเย่ว์เซวียนอีกครั้ง
[อิ๋งเย่ว์เซวียน : ทำไมพวกเธอต้องด่าอิ๋งจื่อจินด้วย อิ๋งจื่อจินเป็นน้องสาวของฉัน ฉันยังจะไม่รู้อีกเหรอว่าเธอลำบากใจแค่ไหน]
[อิ๋งเย่ว์เซวียน : ถึงแม้น้องสาวฉันจะทำไม่ถูกอยู่บ้าง แต่เธอก็แค่เป็นคนเย็นชานิดหน่อย พวกเธออย่าด่าน้องสาวฉันเลยนะ]
สองคอมเมนต์นี้ถึงแม้อิ๋งเย่ว์เซวียนจะใช้นามแฝง แต่คำเรียกอิ๋งจื่อจินก็ได้เปิดเผยตัวตนของเธอแล้ว
ดังนั้นด้านล่างจึงมีกลุ่มคอมเมนต์ที่โพสต์ชื่นชมว่าเธอจิตใจดี
แต่ตอนนี้นามแฝงที่เป็นตัวเลขกับอักษรยาวๆ ได้กลายเป็นชื่อจริงแล้ว พอคอมเมนต์เหล่านี้วางเรียงกันจึงกลายเป็นเรื่องตลก
เดิมทีซิวอวี่กำลังจะด่า แต่พอเห็นชื่อจริงในเว็บบอร์ดเธอก็รีบไล่ดูรายชื่อพวกนั้นอย่างรวดเร็ว เห็นแล้วก็หัวเราะ
[ซิวอวี่ : ???]
[ซิวอวี่ : อิ๋งเย่ว์เซวียนเธอเป็นไบโพลาร์หรือเปล่า หรือเป็นโรคบุคลิกภาพแปรปรวน คุยกับตัวเองเฉย]
[ซิวอวี่ : ต้องมองเธอใหม่เลยจริงๆ นะ ปกติเห็นทำตัวใจเย็นเหมือนคนดี ที่แท้เนี่ยน่ะเหรอตัวตนที่แท้จริง]
นอกจากซิวอวี่แล้วก็ไม่มีคนอื่นมาคอมเมนต์ตอบอีก เห็นได้ชัดว่าต่างตะลึงกันอยู่
เว็บบอร์ดนามแฝงของโรงเรียนมีประวัติศาสตร์มาสิบปีแล้ว ยังไม่เคยปรากฏเรื่องแบบนี้มาก่อน
บรรดานักเรียนยิ่งไม่มีทางคิดไปในด้านโดนแฮกเว็บบอร์ด
ใครอยู่ว่างๆ จะมานั่งแฮกเว็บบอร์ดโรงเรียนมัธยมได้
“พี่หราน!” ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ เพิ่งได้สติกลับมา พุ่งเข้ามาหาเจียงหราน สีหน้าหวาดกลัว
“พี่หราน เรื่องใหญ่มาก เว็บบอร์ดของพวกเรากลายเป็นชื่อจริงแล้ว”
เจียงหรานก็กำลังตอบกระทู้ พอได้ยินแบบนี้ก็ทำหน้าอึ้งแบบที่เห็นได้ยาก “ว่าไงนะ”
“พี่หราน ดูเอาเอง” ลูกน้องชี้หน้าจอพลางพูด “พี่ดูตรงด้านขวาของคอมเมนต์ตัวเอง มีชื่อของพี่อยู่ พี่หราน พี่คอมเมนต์อะไรไป”
เจียงหรานชะโงกหน้าเข้าไปดู
[เจียงหราน : ถ้ากล้าพูดไร้สาระอีก ระวังคืนเดือนมืดพี่หรานจะเอากระสอบไปคลุมหัวเธอแล้วลากไปอัด]
[เจียงหราน : ถ้าพี่หรานไม่ติดตามพ่ออิ๋งแล้ว จะให้ติดตามเธอหรือไง คิดว่าตัวเองมีเกียรตินักเหรอ]
[เจียงหราน : นอกจากพ่ออิ๋งแล้ว พี่หรานนี่แหละที่สุดยอดที่สุด! ไม่ยอมรับคำคัดค้าน]
เดิมทีข้อความก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ลูกน้องก็ชอบพูดโม้แบบนี้
แต่พอมีชื่อจริงก็เลยสร้างความกระอักกระอ่วน
เจียงหราน “…”
ลูกน้องค่อยๆ พูดขึ้น “พี่หราน นึกไม่ถึงว่าพี่หรานจะเป็นคนแบบนี้ ผมยังว่าอยู่ว่าใครมันแย่งบทผมไป”
เดิมทีเขาคิดว่าเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์แล้ว กะว่าไว้จะส่งข้อความส่วนตัวไปหา ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน
นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ใกล้แค่นี้
เจียงหรานอายจนโมโห “ออกไป!”
เขาโมโหหูแดงหน้าแดง ดึงชุดนักเรียนมาคลุมหัว พิงกำแพงปิดกั้นตัวเองไปแล้ว
“พ่ออิ๋ง ดูซิฉันแม่นขนาดไหน” ซิวอวี่ทำเสียงจึ๊ๆ
“ฉันกะแล้วว่าต้องเป็นอิ๋งเย่ว์เซวียน แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ายัยนั่นจะประสาทได้ขนาดนี้”
หยุดเล็กน้อยแล้วถามขึ้น “จริงสิ เธอบอกไม่ให้ฉันมองตายัยนั่น หรือว่าเพราะยัยนั่นสติไม่ดีเหรอ”
“ไม่ใช่” อิ๋งจื่อจินตอบ “ฉันกลัวเธอจะถูกโน้มน้าว ถูกสะกดจิต”
ซิวอวี่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ยัยนั่นสะกดจิตเป็นด้วยเหรอ”
ถึงแม้ซิวอวี่จะรู้เรื่องโลกจอมยุทธ์กับโลกแพทย์แผนโบราณ แต่เธอไม่มีแอคเคาท์เว็บบอร์ดเอ็นโอเค ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าสมาพันธ์ลับเลย
แอคเคาท์ระดับเอของตระกูลซิวอยู่ในมือพ่อของซิวอวี่
พ่อของเธอได้มาจากปู่ทวดอีกที ดังนั้นผู้เฒ่าซิวจึงไม่รู้แม้แต่ชื่อบัญชีผู้ใช้งานกับรหัสผ่าน ถึงขั้นที่ผู้เฒ่าซิวไม่รู้ว่าเว็บบอร์ดเอ็นโอเคคืออะไร
พ่อของซิวอวี่หายตัวไป แอคเคาท์ก็หายตามไปด้วย
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ตระกูลซิวเริ่มถดถอย
เข้าเว็บบอร์ดเอ็นโอเคไม่ได้ก็จะสูญเสียเครือข่าย และข่าวกรองจำนวนมาก
พวกคนที่อยู่ในพื้นที่ปิดต่างหากถึงจะเป็นบอสระดับโลกอย่างแท้จริง
“อืม วางใจได้” แววตาของอิ๋งจื่อจินมองเรื่อยเปื่อย
“ตอนนี้เธอสะกดจิตไม่ได้แล้ว เดิมทีก็ไม่ได้เก่งอะไรด้วย”
นักสะกดจิตเก่งๆ สามารถหันกลับมาสะกดจิตนักสะกดจิตคนอื่นได้ ทำให้จิตใจ และความสนใจของพวกเขาไม่สามารถรวมศูนย์ได้
ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อการสะกดจิตในภายหลัง ทำให้สะกดจิตใครไม่ได้อีก
ดังนั้นชาร์ตนักสะกดจิตถึงได้เป็นชาร์ตที่มั่นคงที่สุด
ไม่เหมือนชาร์ตนักฆ่า นักฆ่าที่อยู่อันดับต่ำจะโชคดีมาก สามารถจัดการกับนักฆ่าที่อยู่อันดับสูงๆ ได้
ขณะที่ซิวอวี่กำลังจะพูดอะไรต่อก็มีปึกข้อสอบถูกวางลงตรงหน้าเธอ
อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าศีรษะ “ทำโจทย์เถอะ เดี๋ยวฉันเฝ้า”
ซิวอวี่ “…”
…
เวลาห้าโมงเย็น อิ๋งเย่ว์เซวียนกลับมาโรงเรียน
เวลานี้คลาสเด็กอัจฉริยะกำลังอยู่ในคาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง
แต่พอเธอเข้าห้องไป ทุกคนก็หยุดทำโจทย์ทันที พากันเงยหน้ามองมาที่เธอ
สายตานั้นมีทั้งตกใจ รังเกียจ บางคนก็รู้สึกเหลือเชื่อ
ซับซ้อนมาก
อิ๋งเย่ว์เซวียนเดินไปตรงที่นั่งของตัวเอง วางหนังสือลง จากนั้นก็ตบแขนเพื่อนร่วมโต๊ะเบาๆ ค่อยๆ ถามขึ้น “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“อิ๋งเย่ว์เซวียน เธอมันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าจงจือหว่านอีก” นักเรียนหญิงที่นั่งข้างกันสะบัดมืออิ๋งเย่ว์เซวียนทิ้งราวกับแตะถูกสิ่งสกปรก “ยังจะมาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
หัวใจของอิ๋งเย่ว์เซวียนหดเกร็ง แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า เธอแค่หุบยิ้ม สีหน้าเย็นชาลง
“เธอว่าอะไรนะ”
“ฉันว่าอะไรน่ะเหรอ” นักเรียนหญิงแสยะยิ้ม
“เธอไม่รู้เหรอว่าตัวเองตั้งกระทู้อะไร หรือไม่รู้ว่าเว็บบอร์ดนามแฝงของโรงเรียนเรามันกลายเป็นระบบชื่อจริงไปแล้ว”
คราวนี้ในที่สุดอิ๋งเย่ว์เซวียนก็สีหน้าเปลี่ยน
ระบบเปลี่ยนเป็นชื่อจริงแล้วเหรอ!
เธอมือสั่นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าหนังสือแล้วเข้าเว็บบอร์ดโรงเรียนทันที
หลังจากเห็นชื่อจริงของตัวเองปรากฏเด่นหราบนเว็บบอร์ด สายตาก็พร่ามัวอย่างอดไม่ได้
กระทู้ล่าสุดก็คือกระทู้ด่าเธอ มีคอมเมนต์หลายพันแล้ว
ซิวอวี่เป็นคนโพสต์
ตั้งใจตัดต่อรูปกระทู้ที่อิ๋งเย่ว์เซวียนโพสต์เอามาต่อกับพวกคอมเมนต์
[น่าขยะแขยงมาก ยังไม่ต้องพูดเรื่องอิ๋งจื่อจินเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย ถามหน่อย อิ๋งเย่ว์เซวียนเธอเป็นอะไรมาตั้งกระทู้คุยกับตัวเอง]
[ฉันมีหลักฐานแล้วว่าอันที่จริงตระกูลอิ๋งเปิดกิจการสระบัว ไม่อย่างนั้นทำไมถึงมีนังดอกบัวขาวล่ะ แต่ละดอกใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีกนะ ถึงขนาดได้กลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนแล้วเนี่ย]
อิ๋งเย่ว์เซวียนยิ่งอ่านมือก็ยิ่งสั่นอย่างรุนแรง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้!
ตั้งกี่ปีแล้วที่เว็บบอร์ดของชิงจื้อไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้
ทันใดนั้นอิ๋งเย่ว์เซวียนก็ตระหนักได้ว่าเธออาจมองข้ามจุดบอดอย่างหนึ่งไป
เธอเม้มริมฝีปาก พยายามข่มใจให้เย็นลง เดินออกจากห้องแล้วโทรหาเผยเทียนอี้
หลังจากสัญญาณดังห้าครั้งถึงมีคนรับ “เย่ว์เซวียน?”
“รุ่นพี่คะ ฉันมีคำถามค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนพูดเสียงเบา
“รุ่นพี่บอกฉันว่าอิ๋งจื่อจินไปเข้าร่วมพูดคุยกับคณะวิจัยของรุ่นพี่ได้เป็นเพราะศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูแนะนำเธอไป เธอ…เธอเก่งคอมพิวเตอร์ด้วยใช่ไหมคะ”
เผยเทียนอี้เงียบไปเล็กน้อย “ก็พอเป็นอยู่บ้าง”
เขาไม่ได้บอกอิ๋งเย่ว์เซวียนเรื่องที่เกอร์เวนถูกลักพาตัว เรื่องแบบนี้ถือเป็นความลับสำหรับห้องทดลอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิ๋งเย่ว์เซวียนเลย
“เข้าใจแล้วค่ะ” อิ๋งเย่ว์เซวียนสูดลมหายใจเข้าลึก “ขอบคุณค่ะรุ่นพี่”
เธอยืนอยู่ที่เดิม อึ้งเล็กน้อย
ที่แท้ครั้งนั้นก็ไม่ใช่เพราะเธอใส่โค้ดผิด แต่เป็นเพราะเธอถูกโจมตีกลับตอนเจาะเข้าคอมพิวเตอร์ของอิ๋งจื่อจิน
อิ๋งจื่อจินรู้ธาตุแท้ของเธอตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
มิน่า…
อิ๋งเย่ว์เซวียนจิกมือแน่น กลับเข้าห้องอีกครั้ง
นักเรียนหญิงร่วมโต๊ะออกอาการอย่างชัดเจนว่าไม่อยากนั่งด้วยแล้ว พอเห็นอิ๋งเย่ว์เซวียนสายตาเหม่อลอยก็แสยะยิ้มใส่
“ทำไม เธอก็จะลาออกด้วยเหรอ”
อิ๋งเย่ว์เซวียนรู้สึกแค่ว่าคำถามนี้ตลกสิ้นดี เธอหันไปมองเพื่อนนักเรียนหญิงแล้วถามกลับ
“ทำไมฉันต้องลาออกด้วย”
เพราะภาพลักษณ์พังทลายถูกคนประณามงั้นเหรอ
เธอไม่ใช่จงจือหว่าน ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
เธอได้โควตาไปแข่งรอบนานาชาติ เรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ง่ายมากสำหรับเธอ
ลาออกเหรอ?
มีแค่คุณหนูใหญ่อย่างจงจือหว่านที่ไม่เคยมีประสบการณ์ล้มเหลวมาก่อนเท่านั้นแหละถึงจะทำแบบนั้น อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้ว อีกหน่อยคนพวกนี้ก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ
ตราบใดที่เธอยังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอิ๋ง ชื่อเสียงจะเสียก็เสียไป เธอไม่แคร์
อิ๋งเย่ว์เซวียนไม่สนใจนักเรียนหญิงคนนั้น หยิบข้อสอบออกมาเริ่มทำโจทย์
…
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน อิ๋งจื่อจินไปบ้านตระกูลจง
ผู้เฒ่าจงกับอิ๋งเทียนลี่ว์นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร พวกคนรับใช้ทำงานกันอยู่ในครัว
“จื่อจิน นั่งๆ” ผู้เฒ่าจงวางโทรศัพท์มือถือ “วันนี้ตุ๋นซุปโถที่หลานชอบไว้ให้ด้วยนะ”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าพลางนั่งลง
เธอมองผู้เฒ่าจงอยู่สักพัก จากนั้นก็ย้ายสายตาไปที่อิ๋งเทียนลี่ว์ ดวงตาหงส์หรี่ลงในชั่วพริบตา
อิ๋งเทียนลี่ว์หยิบกระดาษขึ้นมาทันที
“หน้าพี่มีอะไรติดเหรอ” อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ แค่มองเขาพลางครุ่นคิด
อิ๋งเทียนลี่ว์กังวล “จื่อจิน”
หนึ่งนาทีต่อมาอิ๋งจื่อจินถึงละสายตา หลุบตาลง
ปกติเธอจะไม่ทำนายเรื่องเล็ก อย่างไรเสียเรื่องเล็กก็ไม่มีทางส่งผลกระทบอะไรที่ใหญ่โต ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองญาณพยากรณ์
ดังนั้นเมื่อครู่เธอกำลังพยากรณ์ว่าในช่วงสองเดือนจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้เฒ่าจงหรือไม่ และก็ถือโอกาสทำนายให้อิ๋งเทียนลี่ว์ไปด้วย
และก็เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น
เดือนหน้าอิ๋งเทียนลี่ว์จะมีเคราะห์
ถ้าโชคดีจะพิการตลอดชีวิตหรือ ถ้าโชคร้ายคือเสียชีวิต ถึงแม้ผลลัพธ์ในตอนท้ายจะมีสองแบบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งคู่
“จื่อจิน มา” ผู้เฒ่าจงยิ้มตาหยี เลื่อนจานกับข้าวไปตรงหน้าเธอ
“จานนี้เทียนลี่ว์ทำให้หลาน เขาอยู่เมืองนอกทำกับข้าวกินคนเดียว ฝีมือใช้ได้เลยนะ”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”
เธอโพสต์คำพยากรณ์ล่วงหน้า สำหรับเธอไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะนี่ไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงเหตุและผล
แต่ไหนแต่ไรมาคำพยากรณ์เป็นสิ่งที่ยากจะเปลี่ยนแปลง
เว้นเสียแต่จะมีนักทำนายที่แข็งแกร่งไปเปลี่ยนแปลงมันได้
ดังนั้นกระทู้นั้นของเธอก็เป็นแค่การเตือน ก็เหมือนกับซีซาร์ ลอเรนท์ แม้ตระกูลลอเรนท์จะมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่สุดท้ายเขาก็ถูกลอบฆ่าตาย
แต่อย่างการช่วยให้ซังเย่าจือพ้นเคราะห์ อันนั้นเธอแทรกแซงโดยตรง
อิ๋งเทียนลี่ว์ถึงได้โล่งอก “ถ้าชอบก็กินเยอะๆ นะ”
อิ๋งจื่อจินวางตะเกียบลง เงยหน้าขึ้น “เดือนหน้ามีแพลนอะไรบ้าง”
“เดือนหน้าเหรอ” อิ๋งเทียนลี่ว์ขมวดคิ้ว ครุ่นคิด “พี่ยังอยู่ฮู่เฉิง แต่เดือนหน้าเป็นวันครบรอบวันตายคุณปู่ พี่จะไปไหว้ที่สุสาน”
อิ๋งจื่อจินครุ่นคิดเล็กน้อย “เมื่อไร”
อิ๋งเทียนลี่ว์ตอบ “วันที่ยี่สิบแปดเมษา จื่อจินจะไปด้วยกันไหม”
“แค่ถามดู” อิ๋งจื่อจินตอบ “ไม่ไป”
ผู้เฒ่าจงถอนหายใจ “ถ้าตาเฒ่าอิ๋งยังอยู่คงไม่เกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้”
“จริงสิจื่อจิน” อิ๋งเทียนลี่ว์นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“วันนี้ก็วันที่แปดแล้ว วันที่ยี่สิบสี่เป็นวันบรรลุนิติภาวะของเธอ พี่กับคุณตาอยากจัดงานฉลองให้เธอ คิดว่าเป็นไง”
“ไม่ต้องมีงานเลี้ยงฉลองหรอกค่ะ” อิ๋งจื่อจินส่ายหน้าเล็กน้อย
“คนในครอบครัวกินข้าวด้วยกันก็พอ”
อิ๋งเทียนลี่ว์พยักหน้า “ก็ได้”
โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในเวลานี้ เขากดรับ
ปลายสายพูดเพียงประโยคเดียว
………………