คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 462 เธอเป็นนักวิจัยอันดับหนึ่งของห้องทดลอง

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 462 เธอเป็นนักวิจัยอันดับหนึ่งของห้องทดลองเกอร์เวน

“ระ รับเหรอ” จี้อี้หางอึ้งก่อน จากนั้นน้ำเสียงก็ขรึมลง “จื่อจิน หลานอาจไม่รู้ว่าการสอบกับการลงมือทำการทดลองจริงมันไม่เหมือนกัน”

ความรู้ทางทฤษฎีกับการลงมือวิจัยมันคนละเรื่องกัน

ในสายตาของคนตระกูลจี้ รอบชิงชนะเลิศไอเอสซีมีแค่โจทย์ของการแข่งแบบทีมที่ใช้ได้

ส่วนการแข่งเดี่ยวแข่งกันเรื่องเวลา โจทย์ง่ายมาก

จี้อี้หางรู้ดีว่า นักเรียนจำนวนไม่น้อยที่พอเข้ามหาวิทยาลัยไปจะเจอกับอุปสรรคในการทำการทดลอง แม้จะเป็นคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนสูงก็ตาม

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกการทดลองของตระกูลจี้ที่ยากยิ่งกว่าการทดลองเคมีฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัย

คนละระดับเลยด้วยซ้ำ

“ส่วนประกอบพวกนี้ตระกูลจี้ไม่มี” จี้อี้หางชี้บรรทัดหนึ่งในเอกสาร “ฉันไม่รู้ว่าทางยุโรปมีหรือเปล่า แต่คิดว่าในประเทศจีนไม่มีช่องทาง หาซื้อไม่ได้ ก็เลยทำไม่ได้”

แม้แต่ศูนย์ในของตระกูลจี้ก็ยังหาซื้อไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าจี้อี้หยวนมีเจตนาร้ายขนาดไหน

“รับได้” เวินเฟิงเหมียนก็เห็นด้วย เขายิ้มเล็กน้อย “เยาเยา พ่อจะเป็นผู้ช่วยให้”

อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “พ่อก็รู้นะคะว่าหนูขี้เกียจ หนูเป็นลูกมือพ่อดีกว่าค่ะ”

ผ่านมาสามร้อยปี เทคโนโลยีบนโลกมนุษย์พัฒนาไปเร็วมาก มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นทุกวัน

ถ้าให้เธอลงมือทำการทดลองชีวเคมี เธอเก่งสู้เวินเฟิงเหมียนไม่ได้

เวินเฟิงเหมียนถอนหายใจ แกล้งพูดเล่น “พ่อคิดว่าตัวเองจะได้เกษียณแล้วเสียอีก”

อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือ พยักหน้าเล็กน้อย “ขอตัวเดี๋ยวนะคะ”

“จื่อจิน เอ๊ะ!” จี้อี้หางเรียกไว้ไม่ทัน เขาหันมา “เฟิงเหมียน ทำไมไม่ห้ามเธอล่ะ เธอไม่รู้ความยากของการทดลองนี้ แต่นายยังจะไม่รู้อีกเหรอ พวกเราหาซื้อส่วนประกอบไม่ได้”

ปากบอกว่าวงการวิจัยวิทยาศาสตร์ไร้พรมแดน แต่ทุกวงการต่างมีการแข่งขัน

ทางยุโรปอยากร่วมงานกับตระกูลจี้ก็จริง แต่ก็ระแวงตระกูลจี้

คุณนายจี้ส่ายหน้าถอนหายใจ ไปเตรียมอาหารเที่ยงที่ห้องครัว

“พี่รอง” เวินเฟิงเหมียนไอ “เยาเยาเป็นนักวิจัยอันดับหนึ่งของห้องทดลองเกอร์เวน ฝีมือไม่ธรรมดา”

“เธอเป็นนักวิจัยอันดับหนึ่งของห้องทดลองไหนนะ มหาวิทยาลัยตี้ตูเหรอ งั้นก็…เดี๋ยวนะ!” ทันใดนั้นจี้อี้หางก็เอะใจ ออกอาการตะลึง “กะ เกอร์เวนเหรอ ใช่เกอร์เวนที่ฉันรู้จักหรือเปล่า”

เวินเฟิงเหมียนยิ้ม “ระดับโลกยังจะมีสักกี่เกอร์เวนกันล่ะ”

เกอร์เวน บุคคลชั้นยอดอย่างแท้จริงในวงการวิจัยวิทยาศาสตร์

คนที่เทียบเท่าเขาได้ นอกจากมานูเอลแล้วก็มีอีกแค่สองคน

ศาสตราจารย์ที่เก่งที่สุดของตระกูลจี้ยังด้อยกว่าเกอร์เวนขั้นหนึ่ง

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ตระกูลลอเรนท์กับวีนัสกรุ๊ปร่วมลงทุนสามแสนล้านให้ห้องทดลองของเกอร์เวน สั่นสะเทือนไปทั้งโลก

ตระกูลจี้ติดตามข่าววิทยาศาสตร์มาตลอด

จี้อี้หางเหมือนถูกฟ้าผ่า ทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาพึมพำ “ขอตั้งสติ ขอตั้งสติก่อนนะ คุณพระช่วย…”

เกอร์เวน!

ทางประเทศจีนไม่มีช่องทาง แต่ถ้ามีเกอร์เวนก็ไม่เหมือนกันแล้ว

ถึงแม้ชีวเคมีไม่ใช่ขอบเขตการวิจัยของเกอร์เวน แต่เขารู้จักคนเยอะ

พอโปรเจ็กต์ยานอวกาศข้ามจักรวาลออกมา ทางตระกูลจี้ก็มีคนอยากเข้าร่วม แต่ถูกปฏิเสธ

แต่อิ๋งจื่อจินกลับได้เป็นนักวิจัยอันดับหนึ่งของห้องทดลองเกอร์เวนไปแล้ว

ใครจะเทียบได้

“พี่รอง ห้ามพูดออกไป” เวินเฟิงเหมียนหยุดเล็กน้อย “ไม่ปลอดภัย”

จี้อี้หางพยักหน้าจริงจัง “ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร วางใจได้ แม้แต่พี่สะใภ้นายฉันก็ไม่บอก”

เวินเฟิงเหมียนอ่านเอกสารการทดลองต่อ หยิบปากกาขึ้นมาเริ่มเขียน

ถึงแม้เขาจะใช้ชีวิตโดยปิดบังชื่อแซ่อยู่ในอำเภอชิงสุ่ยมาตลอด แต่ก็ไม่ลืมติดตามแวดวงวิทยาศาสตร์

ก็แค่อาจต้องเคาะสนิมหน่อย

จี้อี้หางยังมึนอยู่ ไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปถึงห้องครัวได้ยังไง

เขาเห็นคุณนายจี้หยิบพวกเนื้อสัตว์ออกมาจากตู้เย็น เขาหิวแล้ว “คุณนาย ผมอยากกินน่องไก่ทอด”

“ไม่มีค่ะ” คุณนายจี้เอามีดสับเนื้อไปหนึ่งที ตอบโดยไม่เงยหน้า “นี่เป็นซี่โครงแกะย่างของเยาเยา ยังมีปีกไก่ราดซอสที่เสี่ยวหลีชอบกับไก่ตุ๋นน้ำแดงของเฟิงเหมียนด้วย ไม่ใช่ของคุณทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คุณห้ามแตะ”

“…”

บริเวณด้านนอก

อิ๋งจื่อจินโทรหาเกอร์เวน

“ศาสตราจารย์คะ ฉันต้องการพวกส่วนประกอบในการทดลองนิดหน่อยค่ะ” เธอบอกรายชื่อไป “พอจะช่วยซื้อให้ได้ไหมคะ”

เกอร์เวนฟังจบ “ส่วนประกอบชีวเคมีเหรอ ผมจะลองถามดู รอก่อนนะ”

อิ๋งจื่อจินพิงกำแพง ท่าทางเรื่อยเปื่อย

ห้านาทีต่อมาเกอร์เวนก็ให้คำตอบ “ซื้อได้ ต้องการเท่าไร ผมจะให้ผู้ช่วยซื้อเสร็จแล้วส่งไปให้”

อิ๋งจื่อจินบอกจำนวน “เอาแค่นี้ ส่วนเงินก็หักจากเงินทำการทดลองของฉันนะคะ”

“ไม่จำเป็น ไม่ใช่ของแพงอะไร” เกอร์เวนจดพลางพูด “แต่ทางคุณหาซื้อยากจริงๆ นั่นแหละ เพื่อนที่ผมรู้จักบอกว่า ของพวกนี้ไม่ขายให้คนนอก เขาติดค้างน้ำใจผมก็เลยขายให้ ใช้เงินไม่เท่าไรหรอก”

อิ๋งจื่อจินพยักหน้า

ถ้าไม่ใช่เกอร์เวนไปถามด้วยตัวเองก็คงซื้อไม่ได้

“ไม่สิ อิ๋ง คุณทำการทดลองชีวเคมีเหรอ” ในที่สุดเกอร์เวนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไหนว่าเรียนจบแล้วจะมาที่ผมไง ผมก็คิดว่าคุณยุ่งมากเสียอีก”

“…”

อิ๋งจื่อจินนวดศีรษะ “ศาสตราจารย์คะ เรื่องนี้ฉันอธิบายได้”

“ตระกูลจี้” เกอร์เวนฟังจบก็ครุ่นคิด “ผมรู้จักตระกูลนี้ พวกเขามีนักวิจัยเก่งๆ มากมาย ก็แค่ระบบของพวกเขามันโหดร้ายเหลือเกิน”

สำหรับเกอร์เวนที่ติดตามแค่แวดวงวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงของตระกูลจี้ย่อมโด่งดังกว่าตระกูลมู่กับตระกูลเนี่ย

มีเสียงของผู้ช่วยอยู่ข้างๆ

แม้จะเบามาก แต่อิ๋งจื่อจินหูดี ได้ยินอย่างชัดเจน

“ศาสตราจารย์ครับ ตระกูลจี้นั่นน่ะเหรอครับ ที่ปีที่แล้วมีคนของพวกเขาเข้าห้องทดลองของมานูเอลด้วย”

อิ๋งจื่อจินหรี่ตาเล็กน้อย “มานูเอลเหรอคะ”

ต่อมาเธอก็ได้รู้จากผู้ช่วยว่า สาเหตุที่ตระกูลแพชช์ถอนเงินทุนออกเป็นเพราะบรรลุความร่วมมือกับตระกูลเทเลอร์ที่จะร่วมลงทุนในโปรเจ็กต์ทดลองของมานูเอล

คนในวงการต่างรู้ว่า ถึงแม้มานูเอลกับเกอร์เวนจะวิจัยกันคนละขอบเขต แต่กลับมีความสัมพันธ์เป็นศัตรูกัน

เดิมทีห้องทดลองของมานูเอลได้รับการสนับสนุนจากสองในสี่ของตระกูลมหาเศรษฐียุโรป ข่มเกอร์เวนได้ในระดับหนึ่งแล้ว

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าตระกูลลอเรนท์จะโผล่ออกมาพร้อมวีนัสกรุ๊ป

แต่แน่นอนว่าคนมองโลกในแง่ดีอย่างเกอร์เวนย่อมไม่ได้ให้ความสนใจมานูเอลเป็นพิเศษ

ในสายตาของเขา มีแค่การทดลองที่สำคัญ เรื่องอื่นสู้ไม่ได้

“ไม่ต้องสนพวกเขาหรอก” ตามคาด เกอร์เวนส่ายมือ พูดกับอิ๋งจื่อจินต่อ “อิ๋ง ขอที่อยู่หน่อย”

อิ๋งจื่อจินคุยโทรศัพท์เสร็จก็มีข้อความวีแชทเข้า

[เด็กน้อย มีคนคิดถึงนะ]

ยี่สิบนาทีต่อมาอิ๋งจื่อจินก็ลงจากรถแท็กซี่

เธอดันปีกหมวกขึ้น มองตรงไปข้างหน้า

เห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ตรงเสาไฟริมทาง

แสงแดดฉาบใบหน้าของเขาเป็นสีทองอ่อนๆ รูปงามดุจเทพบุตร

อิ๋งจื่อจินเดินเข้าไป

ฟู่อวิ๋นเซินหันมา ยกแขนรวบเธอเข้ามากอด “ไม่เจอกันตั้งสี่วัน พวกเราเป็นรักทางไกลเหรอ”

ต้องได้กอดเธอเท่านั้น เขาถึงจะรู้สึกได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่

“วันนี้พอว่างหน่อย” ศีรษะของอิ๋งจื่อจินพิงบ่าของเขา “อีกเดี๋ยวจะเริ่มยุ่งอีกแล้ว”

แววตาของฟู่อวิ๋นเซินวูบไหว พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เยาเยา มองตาพี่ชายสิ”

อิ๋งจื่อจินเงยหน้า “ทำไมเหรอ”

ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก

เธอมองอยู่สักพักก็ยกมือปิดตาของเขา

เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจักจี้ที่ฝ่ามือ ขนตาของเขาขยับไปมา

เธอชอบดวงตาของเขามากจริงๆ

ในนั้นมีดวงดาวระยิบระยับ

“หืม? มองไม่เห็นเหรอ” ศีรษะของฟู่อวิ๋นเซินก้มลงมาเล็กน้อย “งั้นลองดูอีกที”

ดวงตาดอกท้อของเขาลุ่มลึก นัยน์ตาสีอำพันอ่อนทอประกายอ่อนโยน

อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว

เธอมองไม่เห็นอะไรจริงๆ แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขาปล่อยกระแสไฟหนักมาก

แทบจะทำให้ตายอยู่ในนั้น

ฟู่อวิ๋นเซินเอามือที่ว่างอยู่อีกข้างลูบหัวเธอ “ในดวงตาของพี่ชายมีคนที่พี่ชายชอบ”

“อืม” อิ๋งจื่อจินเอาหัวซุก ท่าทางเอื่อยเฉื่อย ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย “ฉันก็กำลังกอดคนที่ฉันชอบเหมือนกัน”

“หัวไวดีนี่” ฟู่อวิ๋นเซินยิ้ม “พี่ชายลอยแล้ว”

สักพักอิ๋งจื่อจินถึงยืดตัวขึ้น “จะว่าไปฉันยังไม่ได้โทรหาคุณตา”

“โทรสิ” ฟู่อวิ๋นเซินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “พี่ชายจะจองมื้อกลางวัน”

“คุณตาคะ” อิ๋งจื่อจินพูด “หนูเสร็จธุระแล้วค่ะ วันนั้นคุณตาจะพูดอะไรเหรอคะ”

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ผู้เฒ่าจงอึ้ง จากนั้นก็ฉุกคิดได้ ส่ายหน้าแล้วพูด “จงมั่นหวารู้เรื่องลูกนอกสมรสแล้วใช่ไหมล่ะ จากนั้นก็หมดสติไป”

“ตอนที่ตาโทรหาหนู จงมั่นหวาอาการไม่ค่อยดีเท่าไร ยังไม่ฟื้น”

น้ำเสียงของอิ๋งจื่อจินเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ตอนนี้ฟื้นแล้วเหรอคะ”

“ฟื้นแล้ว แต่…” ผู้เฒ่าจงอดถอนหายใจไม่ได้ “ดูเอานะ ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้”

ผู้เฒ่าจงกดเปิดกล้องหลัง ถ่ายเตียงผู้ป่วยให้อิ๋งจื่อจินดู

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
ชาตินี้เธอขอแค่ได้ปลูกดอกไม้ เลี้ยงหมู กลายเป็นมอดที่สุขสบายที่สุดก็พอ เพื่อชีวิตวัยเกษียณอันสุขสบายสงสัยงานนี้ต้องลงแรงกันหน่อย!อิ๋งจื่อจิน คือลูกเลี้ยงแห่งตระกูลอิ๋งตระกูลเลื่องชื่อแห่งเมืองฮู่เฉิง พ่วงตำแหน่งคลังเลือดมีชีวิตของอาสาวเธอถูกรังแกสารพัด เป็นเด็กหัวไม่ดีที่แม่แท้ๆ ยังไม่อยากยอมรับแต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่ ‘เธอ’ จะตื่นขึ้นเธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน หลายตัวตน หลายฐานะ ไม่ว่าจะเป็นหมอ แม่มด ผู้บำเพ็ญ ได้รู้จักกับบุคคลในตำนานมากมายแต่นั่นก็เป็นเรื่องนานมาแล้ว…ชาตินี้เธอเลยอยากลองเป็นมอดที่มีความสุขไร้กังวล ใช้ชีวิตวัยเกษียณให้สุขสบายดูบ้างจัดการคนในตระกูล ฟาดหน้าเพื่อนตัวร้าย ขึ้นเป็นหัวโจกโรงเรียนเอาเถอะ อยากสบายก็ต้องลำบากก่อน กวาดมันให้ราบก่อนค่อยว่ากัน!อิ๋งจื่อจิน “มาตกลงกันหน่อย เลิกเรียกฉันว่าเด็กน้อยได้ไหม”“อายุห่างสามปีก็มีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว พี่ชายคนนี้โตกว่าเธอห้าปี เธอไม่ใช่เด็กน้อยจะเป็นอะไร”อิ๋งจื่อจินชะงัก ขมวดคิ้ว “พี่ชายเหรอ”ดวงตาดอกท้อหรี่ลง “เรียกพี่ชายให้ฟังอีกครั้งซิ”“ฝันเก่งนะคุณ”“…”ได้ การเจรจาล้มเหลว ฟู่อวิ๋นเซินยอมแพ้เด็กน้อยหลอกยากพอตัว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท