ตอนที่ 469 เหยียนรั่วเสวี่ยหน้าแตก เกิดเรื่องตอนรับของ
เจ้าหน้าที่ก็เพิ่งนึกชื่อจี้หลีออก
เมื่อครู่ตอนที่เฉินจวิ้นเซียนมาย้ายทะเบียนนักศึกษา เจ้าหน้าที่ยังแอบพึมพำอยู่ว่านักศึกษาที่ชื่อจี้หลีคนนี้โชคดีมาก ทำให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยตี้ตูมาด้วยตัวเองได้
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นกรณีแรกของมหาวิทยาลัยตี้ตู แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็ไม่เคยมี
ปรากฏว่าผ่านไปครู่เดียวเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
สีหน้าของเหยียนรั่วเสวี่ยเปลี่ยนไปทันที
“คุณบอกว่าอธิการเฉินมาย้ายทะเบียนนักศึกษาของเธอไปเหรอคะ”
“ครับ ย้ายไปแล้ว” เจ้าหน้าที่ยืนยันหนักแน่น
“ดูจากท่าทางของท่านอธิการ เขาค่อนข้างพอใจในตัวนักศึกษาคนนี้นะครับ ศาสตราจารย์เหยียนว่า…”
เหยียนรั่วเสวี่ยยืนอยู่ที่เดิม กระอักกระอ่วนและเสียหน้าแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
นับตั้งแต่เธอรับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยตี้ตูมา เธอไม่เคยพบเจอเรื่องแบบนี้
อีกทั้งเธอใช้วิธีข่มขู่ถอนทะเบียนนักศึกษามาบีบบังคับไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว
ไม่มีใครไม่ตกหลุมพรางนี้ของเธอ
คนที่มีสิทธิ์มีเสียงในตระกูลจี้มีอยู่ไม่กี่คน คนที่อยู่สูงกว่าเธอก็มีแค่ผู้อำนวยการกับพวกรองผู้อำนวยการของศูนย์ใน เธอจะเล่นงานใครก็เป็นเรื่องง่ายมาก
แต่เฉินจวิ้นเซียนย้ายทะเบียนนักศึกษาของจี้หลีไปแล้ว แบบนั้นเหยียนรั่วเสวี่ยก็หมดหนทางแล้วจริงๆ
มหาวิทยาลัยตี้ตูไม่ใช่สถานที่ที่จะยึดคำสั่งของเธอเป็นหลัก
“ลืมเรื่องนี้ไปให้หมด” เหยียนรั่วเสวี่ยมองเจ้าหน้าที่ด้วยสายตาเย็นชา
“ในเมื่อเธอไม่ใช่นักศึกษาของสาขาชีววิทยาแล้วงั้นก็ช่างเถอะค่ะ”
เธอเองก็ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ เดินเหยียบรองเท้าส้นสูงออกไปด้วยความรีบร้อน
ถ้าเป็นยามปกติ เจ้าหน้าที่จะลืมเรื่องนี้แน่นอน
ไม่มีใครอยากล่วงเกินเหยียนรั่วเสวี่ย
แต่ตอนนี้เกี่ยวพันถึงเฉินจวิ้นเซียนอธิการบดีมหาวิทยาลัยตี้ตู
เมื่อเทียบกับเฉินจวิ้นเซียน เหยียนรั่วเสวี่ยที่เป็นแค่ศาสตราจารย์คนหนึ่งก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย
เจ้าหน้าที่รายงานเรื่องที่เหยียนรั่วเสวี่ยต้องการถอนทะเบียนนักศึกษาของจี้หลีไปที่ห้องทำงานอธิการบดีทันที
เฉินจวิ้นเซียนคุยเสร็จก็ขมวดคิ้ว “ตระกูลจี้…”
มิน่าอิ๋งจื่อจินถึงมาหาเขา
เรื่องภายในของตระกูลจี้ มหาวิทยาลัยตี้ตูเข้าไปยุ่งไม่ได้
แต่ตอนนี้จี้หลีเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยตี้ตู งั้นเขาก็ต้องปกป้อง
เมล็ดพันธุ์ชั้นดี จะปล่อยให้เหยียนรั่วเสวี่ยมาทำลายไปแบบนี้ไม่ได้
เฉินจวิ้นเซียนครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วโทรไปหาพวกศาสตราจารย์ของคลาสทดลองชีวเคมี เพื่อให้พวกเขาเอาใจใส่จี้หลีมากหน่อย
…
หลังจากเหยียนรั่วเสวี่ยกลับมาถึงห้องทดลอง รังสีอำมหิตก็ยังไม่หายไป
ผู้ช่วยเห็นสีหน้าของเธอเย็นชาสุดขั้วก็อดอึ้งไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นครับศาสตราจารย์เหยียน”
“จี้หลี เด็กคนนี้ดวงดีจริงๆ” เหยียนรั่วเสวี่ยแสยะยิ้ม “ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้ อธิการเฉินเห็นแววเหมือนกัน”
“ท่านอธิการเฉินเหรอครับ” ผู้ช่วยก็รู้จักชื่อเฉินจวิ้นเซียน เขาอ้าปากค้าง “จี้หลีไม่เก่งขนาดนั้นหรือเปล่า”
แต่ละปีมหาวิทยาลัยตี้ตูรับคนเข้าไปจำนวนมาก ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจี้หลีดีมากก็จริง แต่ก็ไม่มีทางถึงขั้นที่อธิการบดีจะมาด้วยตัวเอง
อันดับหนึ่งของแต่ละมณฑลก็ไม่เก่งถึงขั้นนั้นเหมือนกัน
“ไม่ต้องไปสนหรอก” เหยียนรั่วเสวี่ยสีหน้าเย็นชา
“ฉันจัดการเด็กคนนั้นทางทะเบียนนักศึกษาไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเล่นงานทางอื่นไม่ได้”
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรข้ามประเทศ
สัญญาณดังสามครั้งก็มีคนรับด้วยสำเนียงอังกฤษแบบมาตรฐาน
“คุณดุ๊กคะ” เหยียนรั่วเสวี่ยเปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงนอบน้อมทันที “ฉันมีเรื่องอยากขอให้คุณช่วยค่ะ”
“เชิญคุณเหยียนว่ามาได้เลยครับ”
“ทางตระกูลจี้มีคนแข่งการทดลองกับฉัน ถ้าพวกเขาไปขอซื้อส่วนประกอบการทดลองจากคุณ ฉันอยากให้คุณช่วยปิดตายช่องทางของพวกเขาค่ะ”
ครอบครัวจี้อี้หางวิจัยด้านชีวเคมีกันหมด
เมื่อช่องทางซื้อส่วนประกอบถูกปิดตาย ต่อให้มีความสามารถดำเนินโปรเจ็กต์ทดลองได้ แต่ก็ต้องขาดสิ่งสำคัญไป
ดุ๊กเป็นผู้ดูแลของห้องทดลองมานูเอล มีอำนาจในส่วนนี้
“ช่องทางซื้อส่วนประกอบเหรอครับ” ดุ๊กถาม “เรื่องเล็กครับ คุณเหยียนเอาชื่อของพวกเขากับรหัสห้องทดลองมาให้ผมก็ได้แล้วครับ”
เหยียนรั่วเสวี่ยค้นหาในคอมพิวเตอร์แล้วส่งรหัสห้องทดลองของจี้อี้หางกับเวินเฟิงเหมียนไป
เวลาซื้อพวกส่วนประกอบจะต้องแจ้งรหัสห้องทดลอง
เมื่อรหัสห้องทดลองถูกขึ้นบัญชีดำก็จะซื้อพวกส่วนประกอบไม่ได้อีก
“ขอบคุณคุณดุ๊กมากเลยค่ะ” เหยียนรั่วเสวี่ยสบายใจขึ้น
“ถ้าขาดเหลืออะไรต้องการให้ฉันช่วย บอกมาได้เลยนะคะ”
“บังเอิญมาก มีเรื่องที่ต้องการให้คุณเหยียนช่วยพอดีเลยครับ” ดุ๊กยิ้ม “พวกเราสืบพบว่าทางห้องทดลองเกอร์เวนส่งพัสดุกล่องหนึ่งไปที่เมืองเซิ่งซ่า ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
“ทางเราส่งคนไปปล้นพัสดุโดยเฉพาะ แต่คุณเหยียนอยู่ใกล้กว่า ถ้าตอนนี้นั่งเครื่องบินไปยังทันครับ”
เมืองเซิ่งซ่าเป็นเมืองท่าที่อยู่ใกล้ประเทศจีน หากบินจากตี้ตูไปจะใช้เวลาห้าชั่วโมง
ดุ๊กพูดต่อ “เกอร์เวนรอดมาจากการลักพาตัวครั้งก่อนได้ ครั้งนี้ฆ่าเขาไม่ได้งั้นก็ต้องจัดการผู้ช่วยของเขา”
เหยียนรั่วเสวี่ยใจหายวาบ “เกอร์เวนเคยถูกลักพาตัวเหรอคะ”
เรื่องใหญ่แบบนี้แต่กลับไม่มีเล็ดลอดออกมา
“ครับ เขาเคยถูกลักพาตัว” ดุ๊กถอนหายใจเบาๆ
“แต่น่าเสียดาย คนร้ายกลุ่มนั้นไม่ได้กำจัดเขาทิ้ง ไม่อย่างนั้นตอนนี้คนที่มีชื่อเสียงเพียงคนเดียวก็คือศาสตราจารย์ไปแล้ว”
ศาสตราจารย์ที่ดุ๊กว่าย่อมหมายถึงมานูเอล
ตอนนี้พวกเขาก็สืบไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่มาช่วยเกอร์เวนไว้
นายใหญ่ของตระกูลเทเลอร์คาดเดาว่าอาจเป็นจอมยุทธ์ของประเทศจีนออกโรง
ทำให้สี่ตระกูลมหาเศรษฐีของยุโรปต่างหวาดกลัว สงบเสงี่ยมลงไปมาก
“เข้าใจแล้วค่ะ” เหยียนรั่วเสวี่ยครุ่นคิดชั่วครู่
“ฉันจะไป แต่การทดลองทางนี้ยังไม่เสร็จ กว่าจะไปถึงน่าจะห้าทุ่มนะคะ”
“ได้ครับ” ดุ๊กพูด “พอถึงตอนนั้นคนของเราน่าจะจัดการเสร็จแล้ว ถ้าของในกล่องไม่ใช่วัตถุอันตรายอะไรคุณเหยียนก็เอาไปได้เลยครับ”
…
หลังจากอิ๋งจื่อจินได้รับคำยืนยันจากเฉินจวิ้นเซียนว่าจี้หลีถูกรับเข้าคลาสทดลองชีวเคมีแล้ว เธอก็ส่งเอกสารไปฉบับหนึ่ง
“เสี่ยวหลี คลาสทดลองชีวเคมีจะเปิดเทอมวันที่สิบสิงหาคม พี่ก็ทำการทดลองกับฉันเสร็จพอดี สามารถไปได้เลย”
จี้หลีพยักหน้า แอบเกรงใจ “ขอบคุณนะเทพอิ๋ง ช่วยฉันไว้ตั้งมาก”
“ไม่เป็นไร” อิ๋งจื่อจินยืนขึ้น เลิกคิ้ว “พี่มีความสามารถในตัวเอง ฉันก็แค่เป็นคนกลางให้”
ถ้าคะแนนของจี้หลีไม่ผ่านเกณฑ์ก็เข้าคลาสทดลองชีวเคมีไม่ได้อยู่ดี
“เทพอิ๋ง จะไปไหนเหรอ” จี้หลีเงยหน้า “วันนี้แม่บอกจะทำไก่น้ำเต้า อร่อยมากเลยนะ”
คุณนายจี้ไม่ได้มีพรสวรรค์ทางด้านการทำวิจัย แต่เรื่องทำอาหารฝีมือยืนหนึ่ง
“ไปเอาของ” อิ๋งจื่อจินหยิบเสื้อคลุมสีดำ
“กลับพรุ่งนี้เช้า คงไม่อยู่กินอาหารเย็นแล้ว ฝากบอกคุณป้ารองด้วย”
จี้หลีก็ไม่ได้ถามอะไรมาก “เทพอิ๋งระวังตัวด้วยนะ”
หลังจากอิ๋งจื่อจินออกจากบ้านตระกูลจี้ก็ขึ้นเครื่องบินไปเมืองเซิ่งซ่า
พอลงเครื่องเธอก็แปลงโฉม
ครั้งนี้ผู้ช่วยของเกอร์เวนเอาส่วนประกอบการทดลองมาส่งให้ด้วยตัวเอง เธอบอกลักษณะการแต่งตัวของตัวเองให้เขารู้
อิ๋งจื่อจินออกจากสนามบินเรียกรถไปที่ท่าเรือ
ระหว่างทางผู้เฒ่าจงโทรวีแชทมาหาเธอ
“จื่อจิน ตาแค่โทรมาบอกหลานว่า สารเลวนั่นเพิ่งจะไปพบยมบาล” ผู้เฒ่าจงแสยะยิ้ม “น่าเสียดาย ไม่มีใครไปเก็บศพเขา ปล่อยให้เน่าเหม็นไปแบบนั้นแล้วกัน”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงักเล็กน้อย
เธอรู้ว่าผู้เฒ่าจงหมายถึงอิ๋งเจิ้นถิง
อิ๋งเจิ้นถิงจะเป็นอย่างไรเธอไม่สนใจ
ต่อให้สืบเรื่องของอิ๋งเจิ้นถิงต่อเธออาจได้พบชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง
แต่อิ๋งจื่อจินก็ขี้เกียจจะสืบ
แต่ไหนแต่ไรมาเธอเป็นคนเรื่อยๆ ค่อยคิดไปทีละก้าว
ใช้คำพูดของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เธอก็คือปลาเค็มตัวหนึ่ง
“หลานอยู่ข้างนอกระวังตัวด้วยนะ แล้วก็…” ผู้เฒ่าจงบ่นอยู่ครึ่งวันแล้วพูดขึ้นว่า “จริงสิจื่อจิน ชาที่หลานให้มาตาดื่มหมดแล้ว มีช่องทางหาซื้อไหม มันอร่อยมาก”
“หนูปรับสูตรเองค่ะ” อิ๋งจื่อจินตอบ “เดี๋ยวเดือนหน้าหนูจะส่งไปให้นะคะ”
พอผู้เฒ่าจงแก่ตัวลงก็เริ่มอยากกินนั่นกินนี่
“ได้ๆ ตาตัดต่อคลิปให้หนูอีกแล้ว ยอดแชร์ทะลุแสนแล้วนะ สูงสุดตั้งแต่ตาทำมาเลย”
อิ๋งจื่อจิน “…”
เธอสงสัยว่า ยอดแชร์ต่างหากคือเป้าหมายของผู้เฒ่าจง
กว่าจะถึงท่าเรือก็เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่งแล้ว
ท่าเรือคนน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงกลางวัน
มีเรือสำราญสิบกว่าลำจอดเทียบท่าอยู่ และยังมีเรือประมงอีกจำนวนหนึ่ง
ผู้ช่วยของเกอร์เวนนั่งรออยู่ในศาลานั่งพัก คอยสังเกตสัญลักษณ์บนชุดของคนละแวกนั้นอยู่ตลอด
ในที่สุดก็เห็นหญิงสาว ผู้ช่วยดีใจมาก กวักมือเรียก “ทางนี้ครับทางนี้”
พออิ๋งจื่อจินยกเท้า ทันใดนั้นได้หยุดชะงัก หรี่ตาลง หมอกสีขาวผ่านหางตาไป
รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่เดิมทีกำลังแล่นมาอยู่ดีๆ ได้เกิดเบนออกนอกเส้นทางอย่างกะทันหัน พุ่งไปทางท่าเรือ ในเวลาเดียวกันก็มีของระเบิดจากที่สูง ลอยคว้างกลางอากาศ เล็งไปที่หัวของผู้ช่วย เป็นนักแม่นปืน