ตอนที่ 527 ชิงตัวอีกแล้ว! เหยียนอันเหอโมโหอกจะแตกตาย
ตัวอิ๋งจื่อจินเองนี่แหละที่หนุนหลังให้ตัวเอง ยังต้องการคนอื่นอีกเหรอ
หนิงอวี่เจ๋อไม่อยากคุยกับเว่ยจื่อซวี่ให้มากความอีก
เขารู้ว่าตัวเองไม่ค่อยเข้าใจ เพราะคลุกคลีกับคนต่างเพศน้อย
แต่เขาก็ไม่ได้ตาบอด เห็นแล้วก็เข้าใจได้ คิดวิเคราะห์ได้เอง
แต่เว่ยจื่อซวี่ไม่มีสิ่งนี้
“หัวหน้าหนิง ล้อเล่นอะไรน่ะ” เว่ยจื่อซวี่ไม่เชื่อ “อย่างเธอน่ะเหรอ เธอก็แค่เด็กปีหนึ่งมหาวิทยาลัยตี้ตู จะเป็นผู้บัญชาการระดับสูงของหน่วยอีจื้อได้ยังไง”
เหล่าสมาชิกของหน่วยอีจื้อต้องผ่านการคัดเลือกจากหลายฝ่าย ผู้บัญชาการระดับสูงก็เช่นกัน
นักศึกษาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยตี้ตูได้ มีอัจฉริยะในด้านการเรียน จะมีเวลาไปดูแลหน่วยอีจื้อที่ไหนกัน
หนิงอวี่เจ๋อขี้เกียจคุยด้วย กดโทรหาหัวหน้าทีมสอง “หัวหน้าสองครับ รบกวนสักเรื่องครับ”
เขาเล่าให้ฟังแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เว่ยจื่อซวี่
เว่ยจื่อซวี่เกร็งขึ้นมาทันที “หัวหน้าสองครับ”
“คุณอิ๋งน่ะ ไม่ใช่แค่ผู้บัญชาการระดับสูงของหน่วยอีจื้อ ยังเป็นคนที่พวกเราต้องเคารพด้วย” หัวหน้าทีมสองพูดอย่างใจเย็น “พวกเราไม่รู้ว่าเธอเข้าร่วมการฝึกระเบียบทหารครั้งนี้ด้วย ถ้ารู้ ภารกิจดีๆ แบบนี้ยังจะตกถึงนายเหรอ”
เว่ยจื่อซวี่งง “ภะ…ภารกิจดีๆ เหรอครับ”
“แล้วมันไม่ใช่หรือไง ให้คุณอิ๋งช่วยชี้แนะ แม้แต่หัวหน้าก็ดีใจเถอะ” หัวหน้าทีมสองทำเสียงจึ๊ “ตอนนั้นฉันยังคิดอยู่ว่าใครมันโชคดีขนาดนี้ได้เป็นครูฝึกของคุณอิ๋ง นึกไม่ถึงว่านายจะทำลายโอกาสเสียเอง เก่งจริงๆ”
เว่ยจื่อซวี่หูอื้อต่อเนื่อง ไม่ได้ยินคำพูดที่เหลือแล้ว
หนิงอวี่เจ๋อก็ไม่สนใจสีหน้าของเขาอีก ดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองคืนแล้วถาม “นายยังจะเชื่อเหยียนอันเหออีกไหม”
เว่ยจื่อซวี่ทำหน้าอึ้ง
ครูฝึกสิงเดินเข้ามา ขมวดคิ้ว “หัวหน้าหนิง ทางนั้น…”
“มีอะไร” หนิงอวี่เจ๋อเงยหน้ามองไป
พวกเขาออกทางประตูตะวันออก ซึ่งไม่ใช่ประตูใหญ่ ไม่มีคนผ่านไปมามากนัก
มีนักเลงสิบกว่าคนกำลังเดินเข้าไปล้อมนักศึกษาหญิงที่ออกจากประตูมหาวิทยาลัย
หลีเหวินเซวียนเป็นคนพานักเลงพวกนี้มา
พอเขาถูกวินิจฉัยว่าอาการอยู่ในขั้นวิกฤติ พ่อกับแม่ก็ขายบ้าน ไปขอยันต์กันภัยมาจากลูกศิษย์ของโหลวเหวินไห่โดยเฉพาะ
ถึงได้กดเคราะห์ร้ายของหลีเหวินเซวียนไว้ได้ชั่วคราวอย่างไม่ง่ายนัก ทำให้เขาฟื้นขึ้นมา
หลังจากที่หลีเหวินเซวียนรู้ว่าหลีหานตัดความสัมพันธ์กับพ่อแม่ต่อหน้าคนมากมาย เขาก็เรียกพวกพ้องของเขามาดักรอหลีหานที่หน้ามหาวิทยาลัย
“หลีหาน นั่นก็พ่อแม่แกเหมือนกัน ฉันไม่อยากลงมือหรอกนะ” หลีเหวินเซวียนทำหน้าเอาเรื่อง “ฉันขอเตือนให้แกรีบโอนเงินทุนการศึกษาเข้าบัญชีฉันโดยเร็ว”
หลีหานแสยะยิ้ม “ตอนนี้ฉันแค่อยากด่าคน ไม่อยากด่านาย รีบไสหัวไปไกลๆ”
ด้วยสติปัญญาของหลีเหวินเซวียน ฟังไม่เข้าใจว่าประโยคนี้ด่าเขายังไง
“หลีหาน พ่อกับแม่บอกแล้วว่า แกมันก็แค่ลูกขัดดอก ที่พวกเขาคลอดแกก็เพราะลูกคนแรกไม่ใช่ผู้ชาย” หลีเหวินเซวียนไม่แคร์ “แกต้องเลี้ยงดูฉัน พวกเรา นังนี่ไม่ยอม งั้นเอาตัวไปก่อน ยังไงซะก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของฉัน ตำรวจมาก็ทำอะไรไม่ได้”
นักเลงสิบกว่าคนพวกนั้นเข้าไปรุมล้อมหลีหาน ในมือยังถือไม้กระบอง
“หัวหน้าหนิง คนพวกนี้เอาใหญ่จริงๆ” ครูฝึกสิงพูด “กลางวันแสกๆ ไม่เห็นหัวพวกเราเลย”
หนิงอวี่เจ๋อก็ขมวดคิ้ว “เข้าไป”
ทั้งสองคนยังไม่ทันเข้าไปก็มีคนชิงลงมือตัดหน้าก่อนแล้ว
เด็กสาวยกขาเรียวยาวฟาดเข้าไปที่ศีรษะของหลีเหวินเซวียน
โหดและแรง
“พลั่ก” ทีเดียวหลีเหวินเซวียนล้มไปกองบนพื้นทั้งที่ยังไม่ทันได้ขัดขืนอะไร
พวกนักเลงกระจอกที่ไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่แท้จริงต่างยืนตะลึงอยู่ที่เดิม
อิ๋งจื่อจินหันไปมองสมาชิกฝึกหัดของหน่วยอีจื้อที่ยังไม่ได้ขึ้นรถกลับไป
หนิงอวี่เจ๋อกับหัวหน้าสิงอึ้งกันอยู่สักพักถึงรู้สึกตัว เข้าใจทันที
พวกเขารีบไปคุมตัวหลีเหวินเซวียนกับนักเลงกระจอกพวกนั้นไว้
อย่าว่าแต่หน่วยอีจื้อเลย แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยตี้ตูก็มากันแล้ว
มีนักศึกษาหลายคนเห็นเหตุการณ์
“เทพอิ๋งหมุนตัวเตะ! โคตรเท่ห์เลย!”
“กรี๊ดสลบ ฉันอยากเรียนบ้างจัง”
“อันเหอ” นักศึกษาหญิงที่อยู่ข้างเหยียนอันเหอกระซิบ “ต่อให้หนิงอวี่เจ๋อเลิกกับเธอไปแล้วเขาก็ควรไว้หน้าเธอบ้าง ไปช่วยหลีหานทำไมน่ะ”
ใครก็ตามที่รู้จักเหยียนอันเหอ มีเหรอจะไม่รู้ว่าเธอเป็นศัตรูกับหลีหาน
เหยียนอันเหอฝืนยิ้ม “เธอพูดอะไรน่ะ นี่มันเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว”
ถึงแม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ในใจของเธอก็รู้สึกแย่มาก โกรธจนน้ำตาไหล
เหยียนอันเหอสูดลมหายใจเข้าลึก “ไปเถอะ กินข้าวเสร็จฉันยังต้องกลับมาหาศาสตราจารย์อีก”
…
วันต่อมา
อิ๋งจื่อจินยังคงอยู่มหาวิทยาลัยตี้ตู เธอกับเหล่าศาสตราจารย์สาขาชีวะคมีกำลังวิจัยควันพิษเดธอยู่
จนกระทั่งจั่วหลีโทรเรียกเธอให้ไปที่อาคารเรียนของสาขาฟิสิกส์
แต่ระหว่างทางได้ถูกศาสตราจารย์ของคณะแพทย์ดักไว้
พอจั่วหลีลงมาก็เห็นศาสตราจารย์ชื่อดังของคณะแพทย์ยืนอยู่ตรงหน้าอิ๋งจื่อจิน เขาเริ่มเครียดขึ้นมาทันที “ศาสตราจารย์กู่ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะครับ”
“อ๋อ เสี่ยวจั่ว” ศาสตราจารย์กู่ดันแว่นตา “นายก็รู้เรื่องโครงการแลกเปลี่ยนหนึ่งสัปดาห์ของมหาวิทยาลัย ตอนนี้คณะแพทย์ขาดอยู่หนึ่งคน ฉันเลยมาขอให้นักศึกษาอิ๋งไปช่วยน่ะ”
“นักศึกษาอิ๋งรักษาคนไม่เป็น จะให้ไปที่คณะแพทย์ทำไมครับ” จั่วหลีเกือบกระอักเลือด “ศาสตราจารย์จะแย่งตัวก็ต้องใช้ตรรกะหน่อยสิครับ”
สามคณะใหญ่ของมหาวิทยาลัยตี้ตูก็มีแค่คณะแพทยศาสตร์ที่ไม่ค่อยแก่งแย่งกับใคร ทำไมครั้งนี้เอาอย่างสาขาคอมพิวเตอร์ล่ะ
แต่ก็มีโครงการแลกเปลี่ยนอย่างที่ว่าจริงๆ เป็นของมหาวิทยาลัยตี้ตูกับมหาวิทยาลัยตูรินที่อยู่อันดับสี่ของโลก
บอกว่าเป็นโครงการแลกเปลี่ยน แท้จริงแล้วคือการแข่งขัน
คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยตูรินอยู่อันดับหนึ่งของโลก เชิญมหาวิทยาลัยตี้ตูไปยุโรปไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว
ครั้งล่าสุดเป็นมหาวิทยาลัยตี้ตูไปยุโรป ครั้งนี้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยตูรินจึงมาที่ตี้ตู
“เสี่ยวจั่ว อย่ามาหลอกฉันเลย” ศาสตราจารย์กู่ตบบ่าจั่วหลี ทำสีหน้าแบบที่ว่านายปิดบังฉันไม่อยู่หรอก พูดแฝงความนัย “ฉันรู้นานแล้ว”
จั่วหลีขนลุกกับสายตาของศาสตราจารย์กู่ “รู้อะไรครับ”
“ทำไมนักศึกษาอิ๋งจะรักษาคนไม่เป็น” ศาสตราจารย์กู่ทำเสียงหึ “ฉันได้ยินมาจากนักศึกษาปีหนึ่งคนนึงแล้วว่า ตอนนั้นที่เข้าค่ายติวไอเอสซีเธอใช้วิธีการฝังเข็มแบบแพทย์แผนจีนทำให้หนูขาวฟื้นขึ้นมาได้ วิชาการแพทย์ล้ำเลิศมาก ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์แพทย์ในคณะเราเลย”
“นักศึกษาอิ๋งก็คือคนที่นักศึกษาคนนี้แนะนำมา นายยังจะมาบอกว่าเธอรักษาไม่เป็นอีกเหรอ”
ขณะพูดเขาก็ตบบ่าหนักๆ อีกรอบ “นายน่ะ คิดจะยึดคนเก่งไว้เอง พวกเราไม่ยอมหรอกนะ”
จั่วหลี “…”
เขาอุตส่าห์คิดแล้วคิดอีก ปรากฏว่าลืมไปว่ามีเด็กที่เข้าค่ายติวไอเอสซีตอนนั้นสอบเข้าคณะแพทย์ด้วย
“ประเด็นคือเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน หัวหน้ากลุ่มล้มป่วย ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน เวลาไม่ทันการแล้ว” ศาสตราจารย์กู่ส่ายหน้า ขณะพูดก็หันไปมองอิ๋งจื่อจิน “นักศึกษาอิ๋ง แล้วแต่เธอตัดสินใจ พวกเราไม่บังคับ ไม่มีทางรบกวนเวลาของเธอมากนัก”
อิ๋งจื่อจินเงยหน้าขึ้น “มีรางวัลไหมคะ”
ศาสตราจารย์กู่อึ้ง ตอบทันที “มีสิ เยอะด้วยนะ โครงการแลกเปลี่ยนโครงการนี้ให้แปดคะแนนกิจกรรมเลยนะ”
แปดคะแนนกิจกรรมถือว่าเยอะมาก
ชนะแข่งโต้วาทียังได้แค่ครึ่งคะแนน
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “งั้นก็ไปค่ะ”
จั่วหลี “…”
กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
แต่เขาก็รู้ว่าอันที่จริงคะแนนแค่นี้เล็กน้อยมากสำหรับอิ๋งจื่อจิน เธอก็แค่อยากช่วยมหาวิทยาลัย
จั่วหลีปวดหัวมาก แต่ก็ทำได้แค่จำยอม “งั้นเธอเสร็จโครงการแลกเปลี่ยนนี้แล้วเราค่อยคุยกัน”
อิ๋งจื่อจินตอบอย่างไรเยื่อใย “เกรงว่าจะไม่ได้ชั่วคราวค่ะ”
จั่วหลี “?”
“พอเสร็จแล้วหนูต้องการพักยาวค่ะ”
เธอต้องไปที่โลกจอมยุทธระยะหนึ่ง อย่างไรเสียโลกจอมยุทธก็ตัดขาดกับโลกภายนอก
จั่วหลี “…”
เขาปวดใจ
“ไปๆ นักศึกษาอิ๋ง ยังไม่เคยไปที่คณะแพทย์เลยใช่ไหม” ศาสตราจารย์กู่แย่งตัวได้สำเร็จก็ดีใจมาก
“เดี๋ยวอาจารย์พาไป กำลังหารือกันพอดี เดี๋ยวจะอธิบายรายละเอียดให้ฟัง”
…
คณะแพทยศาสตร์
ภายในห้องประชุม
กลุ่มนักศึกษาที่เข้าโครงการแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีสมาชิกทั้งหมดห้าคน คนที่ต้องเข้าผ่าตัดคือหัวหน้ากลุ่ม ตอนนี้เหลือสมาชิกสี่คน
หนึ่งในนั้นคือเหยียนอันเหอ
สมาชิกสามคนที่เหลืออยู่ปีห้าทั้งหมด
คณะแพทยศาสตร์เป็นหลักสูตรห้าปี เหยียนอันเหออยู่ปีสาม
เดิมทีเธอไม่ควรได้มา แต่เนื่องจากฝีมือการรักษาของเธอล้ำหน้านักศึกษาปีห้าไปแล้ว
“ศาสตราจารย์กู่ไปหาคน ไม่รู้ว่าใครนะ” นักศึกษาชายคนหนึ่งส่ายหน้า “อยู่ดีๆ ทำไมหัวหน้ากลุ่มถึงป่วยได้”
เหยียนอันเหอตอบ “ใครจะไปรู้ล่ะ”
ประตูเปิดออกในเวลานี้
ศาสตราจารย์กู่เดินเข้ามา “พวกเรา คนครบแล้ว มาทำความรู้จักสมาชิกใหม่หน่อย เป็นรุ่นน้องของพวกเธอ ดูแลกันด้วยนะ”
รุ่นน้องเหรอ
พอได้ยินแบบนี้ทั้งสี่คนก็อึ้ง
เหยียนอันเหอเงยหน้ามองไป ชะงักทันที
นักศึกษาชายตะลึง “รุ่นน้องอิ๋งเหรอ”
ในเวลาไม่ถึงเดือนอิ๋งจื่อจินก็มีชื่อเสียงในหมู่รุ่นพี่ปีสูงๆ ได้สำเร็จ
เหยียนอันเหอหมดความอดทน ข่มอารมณ์พูดออกมา “ศาสตราจารย์กู่คะ ถึงแม้สาขาชีวะเคมีกับคณะแพทย์จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่บ้าง แต่มันก็ต่างกันอยู่ดีนะคะ”
อิ๋งจื่อจินประสบความสำเร็จในการทดลองชีวะเคมีก็ถือว่ารักษาเป็นแล้วงั้นเหรอ
ล้อเล่นบ้าบออะไรน่ะ