ตอนที่ 572 เชื่องขึ้นมาทันตา! ปรมาจารย์ขั้นเทพมาเยือน
คำพูดนี้ของเธอทำให้มีคนหันมามองมากขึ้น
ในโลกแพทย์แผนโบราณยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยเจออิ๋งจื่อจิน
แต่ไม่กี่วันก่อนภาพเหมือนของเธอถูกส่งไปถึงมือของตระกูลใหญ่
หน้าตาดี มีลักษณะเด่นจำง่าย ใครเห็นก็จำได้ทันที
“ขอโทษด้วยค่ะคุณอิ๋ง เมื่อครู่ฉันใช้น้ำเสียงรุนแรงไปหน่อย” เมิ่งชิงเสวี่ยกระแอม ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “ม้าตัวนี้เคยเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งแล้ว มีสามคนตกลงมาจนพิการ ยังมีอีกคนที่ไม่ทันได้รักษาก็ตายก่อน”
“ม้าตัวนี้รูปงามก็จริง แต่คุณเปลี่ยนเป็นตัวที่เชื่องแล้วดีกว่านะคะ”
“ขอบคุณที่เตือนค่ะ ฉันรู้” อิ๋งจื่อจินไม่หันไป มือจับที่บังเหียน “ม้าตัวนี้ใช้ได้เลยทีเดียว”
เมิ่งชิงเสวี่ยเม้มริมฝีปาก “คุณอิ๋ง…”
เธอยังไม่ทันพูดจบก็เห็นม้าตัวนั้นเริ่มหยุดร้อง
หัวของมันค่อยๆ ก้มต่ำลงแล้วซุกไซ้กับฝ่ามือของอิ๋งจื่อจิน ถึงขั้นที่ยังโน้มตัวเข้าหาด้วย เพื่อให้เธอขึ้นไป
คนที่มองมาต่างตกตะลึง
เพราะพวกเขาก็รู้ว่าม้าตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย ไม่ควรเข้าใกล้
แต่เนื่องจากมันรูปงาม จึงถูกผูกไว้ในสนามม้าอยู่ตลอด
“คุณพระช่วย คุณจื่อจินฝึกม้าเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่นะ เหมือนไม่ได้ฝึกอะไรเลย ฉันสงสัยว่าม้าตัวนี้มันดูที่หน้าตา”
“บ้าบอ ม้ามันมองออกด้วยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินทำให้ม้าตัวนี้เชื่องได้ก็แสดงว่าไม่มีอันตราย เมิ่งชิงเสวี่ยจึงไม่พูดอะไรอีก
เธอมองอิ๋งจื่อจินที่นั่งอยู่บนม้าอย่างอึ้งๆ กำมือแน่น
“ชิงเสวี่ย?” เมิ่งจิ่งอวี้เดินเข้ามา “มองอะไรอยู่”
เมิ่งชิงเสวี่ยเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ก้มหน้าพูดพึมพำ “ถ้าร่างกายฉันแข็งแรงคงดี”
เธอขาดก็แค่สุขภาพที่แข็งแรง ก็เลยทำหลายเรื่องไม่ได้
เมิ่งจิ่งอวี้หรี่ตาลง เงยหน้ามองไป
เขานึกถึงงานประมูลที่ฮู่เฉิงทันที ตอนนั้นเขาเคยแย่งสมุนไพรชนิดหนึ่งกับอิ๋งจื่อจิน
เดิมทีเขาต้องการซื้อสมุนไพรชนิดนั้นมาให้เมิ่งชิงเสวี่ย สุดท้ายยังดีที่ไปหามาได้จากทางยุโรป
แต่อิ๋งจื่อจิน เขาจำได้ว่าเป็นลูกสาวของตระกูลอิ๋งในฮู่เฉิง ทำไมถึงกลายเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเยี่ยในโลกจอมยุทธ์ไปได้
แต่เมิ่งจิ่งอวี้ก็ขี้เกียจจะสนใจเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ติดว่าครั้งก่อนต้องการซื้อสมุนไพร เขาก็ไม่มีทางออกไปจากโลกแพทย์แผนโบราณ
“ฉันได้ยินจากนายใหญ่ว่าเธอมีโรคทางใจเพราะฟู่อวิ๋นเซิน เธอไม่ให้คนในตระกูลไปรบกวนเขา ได้ แต่ฉันไม่เข้าใจ เธอไปชอบเขาได้ยังไง” เมิ่งจิ่งอวี้พูด “ฟู่อวิ๋นเซินมีวรยุทธ์สูงก็จริง แต่นายน้อยของสหพันธ์จอมยุทธ์ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันหรือเปล่า เธอรักษาให้นายน้อยสหพันธ์จอมยุทธ์มานานขนาดนี้ ไม่เกิดความรู้สึกลึกซึ้งบ้างเลยเหรอ”
เมิ่งชิงเสวี่ยฝืนยิ้ม “เรื่องแบบนี้บทจะมีก็มีได้เหรอ”
“ก็จริง” เมิ่งจิ่งอวี้พูด “รีบๆ ตัดใจเสียเถอะ เขาแบกความแค้นเอาไว้ ฝีมือโหดเหี้ยมขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าวันไหนจะทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรออกมา เดินคนละเส้นทางกับเธออย่างสิ้นเชิง ปกป้องเธอไม่ได้หรอก”
คนในตระกูลเมิ่งรุ่นเดียวกับพวกเขาต่างกลัวฟู่อวิ๋นเซินมาก
ทำสมาชิกสายตรงให้นอนเป็นผักได้ต่อหน้าต่อตาทุกคน
ภาพเหตุการณ์นั้นน่าสะพรึงมาก ไม่มีใครกล้าลืมได้ลง
เมิ่งจิ่งอวี้ขมวดคิ้ว
ถ้ารู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินมีพรสวรรค์จอมยุทธ์ที่สูงขนาดนั้น ตอนแรกสุดโลกแพทย์แผนโบราณไม่ควรช่วยรักษาให้
…
แต่ละตระกูลต่างมีคนคุ้มกัน และก็มีจอมยุทธ์ที่แต่งเข้าตระกูล พวกแพทย์แผนโบราณจึงไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจเรื่องล่าสัตว์
วันนี้เป็นแค่การเริ่มต้น ยังไม่ถึงช่วงล่าสัตว์อย่างเป็นทางการ
อิ๋งจื่อจินผูกม้าสีดำไว้ในคอกไม้ด้านข้าง จากนั้นก็เดินเข้าบ้านไม้ไป
บ้านไม้หลังนี้แตกต่างจากบ้านพักผ่อนของตระกูลอื่น ในนั้นมีทีวี คอมพิวเตอร์ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบครัน
อิ๋งจื่อจินนั่งบนโซฟา ดื่มโค้กพลางดูทีวี
มีเสียง ‘ติ๊ง’ ดังจากโทรศัพท์มือถือ หน้าต่างวีแชทเด้งขึ้นมา
เป็นวีแชทกลุ่มสามคน
ในนั้นนอกจากอิ๋งจื่อจินแล้วยังมีฉาเซิ่งกับเด็กผู้ช่วยที่อยู่กับเธอ
ยายฉา : [ยัยหนู ตอนเย็นพวกเธอมีงานเลี้ยงรอบกองไฟใช่ไหม เหลือปลาย่างไว้ให้ยายตัวเดียวก็พอ ยายจัดการสมุนไพรเสร็จจะไปเอา]
เด็กหัวล้าน : [ว้าว ยาย มิน่าตอนนั้นพี่ชายใหญ่กวนประสาทจะตายยายก็ยังเก็บสมุนไพรไว้ให้เขา เพราะเขาทำอาหารอร่อยนี่เอง]
ยายฉา : [ตัวแค่นี้จะเข้าใจอะไร หุบปากไป (ทุบหัว)]
เด็กหัวล้าน : [ (เสียใจ)]
อิ๋งจื่อจินเคาะโต๊ะ เงยหน้า “จะเป็นไรไหมถ้าอีกเดี๋ยวมีมาอีกสองคนขอกินข้าวด้วย”
ยายฉาเป็นคนมหัศจรรย์ นักปลูกสมุนไพรมือหนึ่ง
สมุนไพรอะไรก็ตามแค่ดมก็จำแนกได้ แม้จะเป็นสมุนไพรที่สูญพันธุ์ไปแล้วก็ตาม ขอแค่มีเมล็ดพันธุ์ ยายฉาก็ปลูกให้ขึ้นได้
แต่ในเรื่องใช้โทรศัพท์มือถือ อิ๋งจื่อจินสอนอยู่นานมาก จนถึงตอนนี้ยายฉาก็ทำเป็นแค่ส่งข้อความวีแชท แต่โทรออกไม่เป็น
ฟู่อวิ๋นเซินหันมา “ใครเหรอ”
“ฉาเซิ่งที่พวกคุณพูดถึงกันบ่อยๆ” อิ๋งจื่อจินตอบ “ท่านอยากกินปลา เก็บไก่กับแพะไว้อย่างละตัวให้ด้วยแล้วกัน”
ฟู่อวิ๋นเซินสีหน้าชะงัก “ฉาเซิ่งเหรอ”
อิ๋งจื่อจินหันมา “ทำไมเหรอ”
ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มมุมปาก กำมือวางไว้ที่ริมฝีปากกระแอมหนึ่งที “เปล่า”
อิ๋งจื่อจินมองเขา เงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็ชูโทรศัพท์มือถือ “สรุปว่าพี่ชายใหญ่ที่กวนประสาทก็คือคุณเหรอ”
ฟู่อวิ๋นเซินเป็นปรมาจารย์จอมยุทธ์ สายตาดี อยู่ห่างห้าเมตรก็ยังมองเห็นข้อความในวีแชทกลุ่มได้
ชื่อเด็กหัวล้านไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใคร
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหรี่ลงเล็กน้อย “โทรศัพท์มือถือของเขาพังแน่”
อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “ผู้บัญชาการ ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าคุณมีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ”
โด่งดังในโลกแพทย์แผนโบราณขนาดนี้ นอกจากเรื่องที่เฉียดใกล้ความตายหลายครั้ง ยังชอบแกล้งเด็กด้วย
ชื่อเสียงเรื่องความหน้าไม่อายระบือไกล
ดูท่าตอนเจอกันครั้งแรก ในสายตาของฟู่อวิ๋นเซินเธอก็เป็นแค่เด็กน้อย น่าแกล้ง
“หืม?” ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินเหลือบขึ้น “เรียกอีกทีซิ”
“ผู้บัญชาการเหรอ”
“ไม่ใช่ ประโยคก่อนหน้านี้”
“…”
แค่พี่ชายยังไม่พอ ต้องมีคำว่าใหญ่ด้วย
ประสาท
ใครชอบตามใจเนี่ย
อิ๋งจื่อจินเหลือบมองเขา สุดท้ายก็ทำใจถีบเขาออกจากบ้านไม่ลง เธอจึงสวมเสื้อโค้ทแล้วไปเดินเล่นข้างนอก
พวกคนคุ้มกันเตรียมฟืนสำหรับก่อกองไฟงานเลี้ยงตอนเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังจัดวางโต๊ะและเก้าอี้
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำทางตะวันตก ท้องฟ้าเริ่มมีสีเข้มขึ้น
ดวงดาวทยอยปรากฏ จันทร์เสี้ยวโผล่มาให้เห็นจางๆ
สายลมพัดเอื่อย เสียงใบไม้เสียดสี
อิ๋งจื่อจินแอบรู้สึกเสียดายอยู่เงียบๆ
ถ้าไม่ติดว่าโลกแพทย์แผนโบราณกับโลกจอมยุทธ์มีความลับมากมาย หากพูดออกไปส่งเดชจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนธรรมดาได้ ห้ามเปิดกว้างต่อโลกภายนอก
ไม่อย่างนั้นเธอยังอยากปรับปรุงที่นี่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวกับรีสอร์ทตากอากาศ
ต่อไปละครจอมยุทธ์ก็ไม่ต้องทำฉากเองอีกต่อไป เข้ามาถ่ายที่นี่ได้ทันที
ทั้งยังเป็นสถานที่ธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องตัดต่ออะไร
อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปแล้วส่งให้เลขาสาว
เธอค่อยๆ เดินไป มีสายตาหลายคู่มองตามเธอ
“ท่านปร…” ฝูเฉินเห็นแล้ว เขาวิ่งมา เปลี่ยนคำเรียกได้ทันเวลา “คุณอิ๋งครับ เดี๋ยวผมมานั่งด้วยได้ไหมครับ”
โบกพัดในมือ “วางใจได้ครับ ผมจะเป็นผู้ช่วย เมื่อก่อนผมใช้ชีวิตอยู่ในป่าทุกวัน ไม่ว่าจะล่าสัตว์หรือย่างเนื้อ ผมทำได้สบายมาก”
ความจริงเป็นที่ประจักษ์ เขาควรกอดขาท่านปรมาจารย์ไว้ให้แน่น
ติดตามผู้นำตระกูล เขาต้องฝึก จะนอนก็ไม่ได้
แต่ติดตามท่านปรมาจารย์ เขาทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้
อิ๋งจื่อจินมองเขา ครุ่นคิดว่ามนุษย์เครื่องมือผู้นี้ย่างเนื้อเป็น ครั้นแล้วจึงพยักหน้า “ได้”
ฝูเฉินดีใจมาก เดินตามหลังอิ๋งจื่อจิน
ข้างกองไฟเริ่มมีคนมานั่งเยอะแล้ว จับกลุ่มสองคนสามคนนั่งล้อมรอบ
นอกจากตระกูลฝูกับตระกูลเมิ่ง ตระกูลชั้นยอดอีกตระกูลของโลกแพทย์แผนโบราณคือตระกูลอัน
เนื่องจากอัจฉริยะในรุ่นนี้ของตระกูลอันถูกฝูเฉินกับเมิ่งชิงเสวี่ยกลบความสามารถหมด อิทธิพลของตระกูลอันจึงสู้เมื่อก่อนไม่ได้
ฝูเฉินคิดว่าอิ๋งจื่อจินต้องไม่รู้จักแน่นอน จึงถือโอกาสแนะนำให้ “คุณอิ๋งครับ คนนั้นอันหลิง บางครั้งที่ผมแอบงีบก็จะโยนงานปรุงยาให้เขา”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า
อันหลิงก็เห็นฝูเฉินแล้ว รีบเข้ามาหาทันทีด้วยความดีใจ “พี่ฝู ข่าวดี”
ฝูเฉินอึ้ง “ข่าวดีอะไร”
“ผมเพิ่งได้ข่าวมาจากโลกจอมยุทธ์ อีกเดี๋ยวฉาเซิ่งอาจจะ…” ทันใดนั้นก็เห็นอิ๋งจื่อจินที่อยู่ด้านหลังฝูเฉิน อันหลิงจึงหุบปากทันที
ฝูเฉินย่อมจับคำสำคัญได้ ถามทันที “ฉาเซิ่งทำไม”
ฉาเซิ่งเชียวนะ
แม้แต่ฝูซียังยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ขั้นเทพ
“เปล่า” อันหลิงเปลี่ยนเรื่องคุย “ก็แค่อยู่ๆ ก็นึกถึงผู้อาวุโสฉาเซิ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อไรท่านจะออกมาอย่างเป็นทางการ”
แน่นอนว่าเขาก็รู้จักอิ๋งจื่อจิน
อิ๋งจื่อจินมีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกจอมยุทธ์ในเวลาอันสั้น แค่สองเดือนเท่านั้น
แต่ไม่ใช่เพราะเธอทำยาวิเศษสะเทือนวงการออกมาได้ หรือรักษาโรคที่รักษายากได้
จุดนี้ใครก็เทียบไม่ได้
แต่ฉาเซิ่งไม่ใช่คนที่ใครก็มีสิทธิ์ได้เจอ
แต่ละตระกูลรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสของสมาพันธ์โอสถก็ใช่ว่าจะเจอได้
ถ้ามีแค่ฝูเฉินอยู่คนเดียวเขาจะพูด
แต่ฝูเฉินกลับพาอิ๋งจื่อจินมาด้วย
อิ๋งจื่อจินในตอนนี้ยังไม่ใช่แม้แต่สมาชิกระดับห้าของสมาพันธ์โอสถ ยังไม่มีสิทธิ์จะได้รู้ข่าวนี้