ตอนที่ 597 ปรมาจารย์เฟิงซิว เมิ่งชิงเสวี่ยผู้ใกล้ตาย
ทำไมเหมือนเอ๋อรับประทาน
คงไม่ได้ถูกอะไรสูบวิญญาณไปหรอกนะ
นายใหญ่ฝูสำรวจฝูเฉินด้วยความสงสัย ยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าเขา
“โอ้โห!” ฝูเฉินร้องด้วยความตกใจ กระโดดโหยง
“ไม่มีเวลา ตอนนี้ผมไม่มีเวลาพูดกับพ่อแล้ว ต้องไปหาท่านผู้นำตระกูล!”
พูดจบเขาก็รีบวิ่งไปเหมือนกระต่าย
ตระกูลฝูมีแค่ฝูเฉินที่เป็นทั้งจอมยุทธและแพทย์แผนโบราณ นายใหญ่ฝูไม่มีวรยุทธติดตัวแม้แต่น้อย ได้แต่ยืนมองฝูเฉินวิ่งไปไกล
นายใหญ่ฝูโมโหมาก แต่ก็จนปัญญา
“ลูกบ้า อย่าให้จับได้นะ”
ฝูเฉินวิ่งไปที่หอเก็บตำราด้วยความเร็วสูงสุด
เนื่องจากตื่นตูมเล่นใหญ่เลยถูกฝูซีถีบกระเด็นอีกรอบ
คราวนี้ในที่สุดฝูเฉินก็รู้สึกแล้วว่าปวดก้นขนาดไหน เขาปั้นหน้าไม่ถูก
“ทะ…ท่านผู้นำตระกูลครับ ผมมาบอกข้อมูลสำคัญ ถีบผมทำไมเนี่ย”
ฝูซีพลิกหน้าหนังสือ “ข้อมูลอะไร”
“ท่านผู้นำตระกูลทำไมซื่อบื้อแบบนี้ ถามท่านปรมาจารย์ว่าลูกศิษย์ของเธอเป็นใครก็จบแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ฝูเฉินผายมือออก “อย่างไรซะท่านปรมาจารย์ก็ไม่ใช่คนหยิ่งอะไร อย่างมากก็แค่เอาเงินหรือของกินไปให้เยอะหน่อย”
ฝูซีหันมา ยกมือขึ้น กำลังภายในเริ่มรวมศูนย์
“ผมผิดไปแล้วครับท่านผู้นำตระกูล” ฝูเฉินไม่กล้าลามปามอีก
“ท่านไม่กล้าถาม ผมเลยช่วยถามมาให้แล้ว ท่านปรมาจารย์บอกว่า เธอยังมีลูกศิษย์อีกคนชื่อเฟิงซิวครับ”
ฝูซีทำหน้าตกใจ รู้สึกเหลือเชื่อ “ใช่เขาจริงเหรอ”
จอมยุทธ์อันดับหนึ่ง เฟิงซิว!
ชื่อนี้ไม่มีจอมยุทธ์คนไหนไม่รู้จัก
ตระกูลจอมยุทธ์หลายตระกูลจะกราบไหว้เฟิงซิวเหมือนกับที่กราบไหว้บรรพบุรุษ เวลาเซ่นไหว้ก็จะจุดธูปไหว้ด้วย
“ใช่ครับ” ฝูเฉินพูด “ท่านปรมาจารย์ยังมีลูกศิษย์ที่สุดยอดขนาดนี้อีกคน ท่านผู้นำตระกูล ต่อให้ตระกูลเซี่ยมาปิดล้อม ยังไงก็ไม่ชนะหรอก แล้วยังจะต้องกังวลอะไรอีก”
จอมยุทธยิ่งมีวรยุทธสูง ความแตกต่างของแต่ละปีก็จะยิ่งมาก
จอมยุทธที่มีวรยุทธสองร้อยปี ต่อให้ปรมาจารย์จอมยุทธร้อยคนมารุมโจมตีก็ยังสู้ไม่ได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตระกูลเซี่ยถึงได้อวดดีมาจนถึงทุกวันนี้
ผู้นำตระกูลเซี่ยมีวรยุทธเกือบสี่ร้อยปี จอมยุทธที่มีวรยุทธสามร้อยปีเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ตวัดมือทีเดียวก็ตายได้
แต่ถึงแม้ฝูซีจะตะลึง สีหน้ากลับยังคงกลุ้มใจ
“ดูท่า ไม่ใช่แค่ต้นกำเนิดแพทย์แผนโบราณจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ ต้นกำเนิดจอมยุทธก็น่าจะใช่ด้วย” ฝูซีครุ่นคิด
“เฟิงซิวไม่ใช่คนรุ่นเดียวกันกับฉัน เขาแก่กว่าฉันสองร้อยกว่าปี ฉันก็ไม่เคยเจอเขาเหมือนกัน”
“สมัยฉันเด็กๆ เขาก็ไม่ค่อยออกมาแล้ว”
หากว่ากันเรื่องอายุ เธอก็ยังต้องเรียกเฟิงซิวว่าท่านปรมาจารย์
ฝูซีคิดมาตลอดว่าอิ๋งจื่อจินเป็นใครกันแน่ สามารถบุกเบิกสิ่งมหัศจรรย์อย่างแพทย์แผนโบราณและจอมยุทธได้
ฝูเฉินพยักหน้า “งั้นก็พอดี แสดงว่าวรยุทธ์ของเขาไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยปีแน่นอน”
“ไม่ดี” ฝูซีส่ายหน้าเบาๆ
“ฉันเคยถามอาจารย์แล้ว และก็เจอมากับตัวเอง จอมยุทธใช่ว่าจะไม่มีวันแก่ ต่อให้มนุษย์เรามีขีดจำกัดมากแค่ไหน ยังไงก็มีขอบเขต”
“อายุขัยของจอมยุทธ ต่อให้อาจารย์สั่งสอนด้วยตัวเองก็ได้แค่ห้าร้อยปี ส่วนจอมยุทธคนอื่น ขีดจำกัดอายุขัยอยู่ที่ประมาณสามร้อยปี”
ฝูเฉินอึ้ง
ฝูซีพูดต่อ “ยังไม่ต้องพูดเรื่องพวกเราจะหาเฟิงซิวเจอไหม ปัญหาสำคัญที่สุดคือ เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
คราวนี้ฝูเฉินพูดไม่ออกแล้ว
สำหรับหนุ่มสาวในโลกจอมยุทธตอนนี้ จอมยุทธอันดับหนึ่งได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว
ไม่มีใครเคยได้เจอ
“ฉันไม่รู้ถึงการมีตัวตนของเฟิงซิว เฟิงซิวยิ่งไม่รู้จักฉันเข้าไปใหญ่” ฝูซีถอนหายใจ
“ต่อให้ฉันปล่อยข่าวไปว่าอาจารย์ยังอยู่ นายรู้ได้ยังไงว่าเฟิงซิวจะออกมา”
“ต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ก็คงเก็บตัว ไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกทั้งนั้น โลกจอมยุทธใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีวรยุทธของใครที่เหนือเขา อยากตามหาก็หาไม่เจอหรอก”
ฝูเฉินเข้าสู่ห้วงความเงียบ ผ่านไปสักพักถึงพูดขึ้น “งั้นคราวนี้ควรทำไงครับ”
เขาคิดว่าขอแค่มีจอมยุทธอันดับหนึ่งอยู่ ตระกูลเซี่ยยังจะกล้าทำตัวอวดดีอีกเหรอ
“ค่อยๆ ว่าไปทีละขั้นแล้วกัน” ฝูซีวางหนังสือลง “อย่างน้อยตอนนี้ฉันยังปกป้องอาจารย์ไปได้อีกระยะหนึ่ง”
…
ปลายเดือนมีนาคม
บ้านตระกูลจี้
วันนี้อิ๋งจื่อจินกลับมา เวินเฟิงเหมียนเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง
เนื่องจากตระกูลเดิมในโลกจอมยุทธล่มสลาย ตระกูลจี้ก็เท่ากับตัดขาดจากโลกจอมยุทธอย่างสิ้นเชิงแล้ว มุ่งมั่นในด้านวิจัยการทดลอง
จี้อี้หางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องชายตัวเองเป็นก้งเฟิ่งของศาสสถิตยุติธรรมด้วย
กินข้าวเสร็จจี้อี้หางกับเวินเฟิงเหมียนก็ไปห้องทดลอง ทำการทดลองของเมื่อตอนนั้นต่อ
“เทพอิ๋ง” จี้หลีถือชามอยู่ในห้องครัว แอบบ่น
“ถ้าเทพอิ๋งยังไม่กลับมหาวิทยาลัยตี้ตูอีก ศาสตราจารย์จั่วหลีจะมาพังบ้านตระกูลจี้แล้วนะ ฉันโดนเขาดักเจอหลายรอบแล้ว ถามว่าเทพอิ๋งถูกคนยุโรปที่หน้าไม่อายชิงตัวไปหรือเปล่า”
อิ๋งจื่อจินนวดหัว
เธอยุ่งมากจนลืมจั่วหลีไปเสียสนิท
“บอกเขาว่า ฉันพักผ่อนอีกสองสามวันจะกลับไป”
จี้หลีพยักหน้า เริ่มล้างชาม
“เสี่ยวหลี” ทันใดนั้นอิ๋งจื่อจินก็หยุดลง สายตาจับจ้อง
“ถอดกำไลนั่นออกมา อย่าใส่”
จี้หลีอึ้ง ยกมือซ้าย “เทพอิ๋งหมายถึงอันนี้เหรอ”
“ใช่ ถอดออกมา”
ถึงจี้หลีจะไม่เข้าใจ แต่ก็ถอดกำไลสีเขียวเข้มออกมายื่นให้อิ๋งจื่อจิน
อิ๋งจื่อจินเอามาจับดูแล้วลองโยน “ซื้อมาเองหรือคนอื่นให้มา”
“ฉันซื้อตอนออกไปช้อปปิ้งกับแม่ ร้านอัญมณีที่อยู่แถวตงตัน แม่ชอบซื้อเครื่องประดับจากที่นั่น” จี้หลีลังเล หยั่งเชิงถาม
“เทพอิ๋ง นี่คงไม่ใช่ของที่พวกหมอดูชั่วร้ายเอาไว้ใช้ทำร้ายคนแบบที่ในนิยายเขียนไว้ใช่ไหม”
โทษเธอไม่ได้นะ
เดิมทีเธอเป็นนักศึกษาที่คร่ำเคร่งกับการเรียน แต่ตอนนี้ชักเริ่มเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแล้ว
“ไม่ใช่” อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้ว “แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน เอาไว้ใช้ทำร้ายคน อันที่จริงนี่ไม่ใช่หยก เป็นของเลียนแบบที่แพทย์แผนโบราณใช้สมุนไพรกับแร่ทำออกมา”
“ของเลียนแบบเหรอ” จี้หลีอึ้ง “แต่ร้านอัญมณีร้านนั้นเป็นแบรนด์หรูของประเทศเราเลยนะ ฉันกับแม่ซื้อมาสิบกว่าครั้งแล้ว ไม่มีทางมีของปลอม”
“อืม น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ” อิ๋งจื่อจินตรวจดูกำไลอันนี้อย่างละเอียด
“ร้านอัญมณีร้านนั้นก็คงไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ของเลียนแบบประเภทนี้เครื่องมือก็ตรวจจับได้ยาก”
“เพียงแต่กำไลอันนี้ไม่เหมือนของเลียนแบบทั่วไป ข้างในยังมีการใส่สมุนไพรที่เป็นภัยต่อร่างกายมนุษย์ไว้ด้วย ได้กลิ่นสตรอเบอร์รี่ด้วยใช่ไหม”
จี้หลีพยักหน้า “พนักงานก็บอกแบบนั้น บอกว่าเป็นความหอมที่ติดมาตามธรรมชาติ ช่วยในการนอนหลับ แม่ถึงได้ซื้อกำไลอันนี้ให้ฉัน”
“ช่วยในการนอนหลับได้จริง” อิ๋งจื่อจินพูด “แต่ใส่นานเข้า นอนๆ อยู่ก็ไม่ตื่นอีกเลย พอไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอก็จะบอกว่าเป็นโรคไหลตาย”
จี้หลีตกใจเหงื่อแตก “รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”
อิ๋งจื่อจินไม่ตอบ แววตาขรึมลง
นี่ไม่ใช่ฝีมือแพทย์แผนโบราณ แต่เป็นแพทย์ผิดจรรยาบรรณ
ดูท่าจะเหมือนที่ฉาเซิ่งพูดไว้ แพทย์ผิดจรรยาบรรณเริ่มออกอาละวาดอีกแล้ว
เหมือนสือเฟิ่งอี๋ในตอนนั้นไม่มีผิด เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนทั่วไปแล้ว
นี่ถือเป็นการทำผิดกฎของโลกแพทย์แผนโบราณอย่างรุนแรง
“ไม่ต้องใส่กำไลอันนี้แล้ว” อิ๋งจื่อจินพูด “ใส่อันนี้แทน เตือนป้าสะใภ้รองด้วย แต่ไม่ต้องบอกละเอียด”
จี้หลีรับสร้อยข้อมือที่อิ๋งจื่อจินยื่นให้ มือยังสั่นอยู่ “น่ากลัวเหลือเกิน”
“ใจเย็นๆ แค่ไม่กี่วันไม่เป็นไรหรอก กว่ามันจะทำอันตรายได้ต้องสามเดือน” อิ๋งจื่อจินปลอบ “พี่ไปช่วยดูในมหา’ลัยได้นะว่ามีใครซื้อของแบบนี้มาใส่บ้าง ถ้ามีก็มาบอกฉัน”
พูดจบเธอก็ออกจากห้องครัว ไปโทรหาฟู่อวิ๋นเซินข้างนอก
อิ๋งจื่อจินเล่าเรื่องให้ฟังอย่างกระชับ “ผู้บัญชาการ ต้องตรวจแหล่งสินค้าของร้านอัญมณีทั้งหมดในตี้ตู”
กำไลแบบนี้ผลิตขึ้นมาทีทำเป็นจำนวนมาก พอกระจายสู่ท้องตลาดก็ยากที่จะคาดเดาผลที่ตามมา
“ได้” แววตาของฟู่อวิ๋นเซินขรึมลง เขาตอบ “ส่งคนไปแล้ว”
“ฉันจะไปโลกแพทย์แผนโบราณหน่อย” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเล็กน้อย
“ก็พอดี ทางสมาพันธ์โอสถให้ฉันไปทดสอบระดับห้า”
…
ระหว่างทำการทดสอบระดับห้า ผู้เข้าทดสอบสามารถเล่นงานกันเองได้
แต่เรื่องแข่งขันระหว่างอิ๋งจื่อจินกับเมิ่งชิงเสวี่ยตอนล่าสัตว์ฤดูหนาว ตอนนี้ไม่มีใครในโลกแพทย์แผนโบราณที่ไม่รู้
ขนาดเมิ่งชิงเสวี่ยยังแพ้ พวกเขายังจะกล้าลงมืออีกเหรอ
ไม่มีอะไรต้องกังวล อิ๋งจื่อจินผ่านการทดสอบระดับห้าของสมาพันธ์โอสถได้อย่างราบรื่น
หลังจากกลายเป็นสมาชิกระดับห้า สถานะและสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นของเธอก็มีมากขึ้น
แต่อิ๋งจื่อจินไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเดียวที่เธอสนใจก็คือโควตาสมุนไพรของเธอเพิ่มขึ้นเท่าไร เท่ากับคณะผู้อาวุโสแล้ว
และในช่วงสองวันนี้ การฝึกประสบการณ์ที่มีปีละครั้งของโลกแพทย์แผนโบราณก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ทางสมาพันธ์โอสถส่งคนไปไม่น้อย สามตระกูลใหญ่ของโลกจอมยุทธก็อยู่ด้วย
อิ๋งจื่อจินอยู่กับฝูเฉิน ขึ้นเขาไปพร้อมกัน
ฝูเฉินพูดเสียงเบา “ท่านปรมาจารย์ ท่านผู้นำตระกูลบอกผมว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ท่านเฟิงซิวจะตายไปแล้ว”
“อืม” อิ๋งจื่อจินไม่แปลกใจ เธอพูดเสียงราบเรียบ
“สูงมาก อายุขัยของเขาน่าจะถึงขีดสุดแล้ว”
“ตราบใดที่เป็นมนุษย์ล้วนต้องแก่ ต้องตาย”
เดิมทีอายุขัยของฝูซีก็ใกล้ถึงแล้ว
แต่เธอได้สอนวิธีฝึกของจอมยุทธ์ให้ฝูซีไปอีกหน่อย ถึงได้ยืดสมรรถภาพของร่างกายออกไปได้อีกครั้ง อายุยืนขึ้น
แต่เฟิงซิวถึงขีดจำกัดของจอมยุทธ์ทั้งหมดแล้วจริงๆ
“เฮ้อ” ฝูเฉินถอนหายใจ “ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จะดีขนาดไหน มีที่พึ่งชั้นดีแบบนี้ ตระกูลเซี่ยยังจะกล้าอวดดีอีกเหรอ”
กลุ่มคนเดินขึ้นเขา
“รอเดี๋ยวค่ะคุณอิ๋ง”
ทันใดนั้นมีเสียงอ่อนแรงพูดขึ้น
ทุกคนหันไปมอง ต่างก็อึ้ง
สมาชิกตระกูลเมิ่งคนอื่นๆ ก็แปลกใจ
ด้านล่างมีคนคุ้มกันเข็นเก้าอี้รถเข็นเพื่อส่งเมิ่งชิงเสวี่ยขึ้นไปด้านบน
อิ๋งจื่อจินหยุดเดิน พูดตามมารยาท “มีธุระเหรอ”
เมิ่งชิงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น
พอเห็นหน้าตาของเธอ ฝูเฉินก็อดตกใจไม่ได้
ใบหน้าซีดเซียว อยู่ในสภาวะป่วย
เมื่อเทียบกับเมื่อหลายเดือนก่อน เธอผอมลงไปมาก มองเห็นเส้นเลือดสีเขียวที่อยู่บนผิวได้อย่างชัดเจน
สภาพแบบนี้ทำให้คนอื่นๆ อดขมวดคิ้วไม่ได้
วันนี้พวกเขาขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เป็นการฝึก
ถึงแม้โลกแพทย์แผนโบราณจะปลอดภัยกว่าโลกจอมยุทธมาก แต่บนเขาก็ย่อมมีสัตว์ป่ากับอันตรายอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ธรรมชาติในโลกแพทย์แผนโบราณดี คุณภาพอากาศก็สูง
ขนาดบนภูเขาในตี้ตูยังเจองูน้ำตัวยักษ์ได้ การเจอสัตว์ป่าประเภทนี้ยิ่งเป็นเรื่องธรรมดาในโลกแพทย์แผนโบราณ
ดังนั้นการฝึกเก็บสมุนไพรแบบนี้ตระกูลเมิ่งจึงไม่เคยให้เมิ่งชิงเสวี่ยเข้าร่วม
เมิ่งชิงเสวี่ยไอ หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม พูดเสียงเบา “ฉันมาเพื่อบอกคุณว่า ฉันมีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว คุณก็น่าจะมองออก”
อิ๋งจื่อจินไม่พูด เบือนหน้าหนี
ฝูเฉินขมวดคิ้วมองสำรวจเมิ่งชิงเสวี่ยเพื่อยืนยันว่าเธอพูดเรื่องจริง
แพทย์แผนโบราณสังเกตอาการจากใบหน้าได้
เมื่อคนคนหนึ่งกำลังจะหมดอายุขัย ใบหน้าก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
หม่นหมองหมดราศี
“ฉันขอร้องคุณ” เมิ่งชิงเสวี่ยฝืนยิ้ม ดูขมขื่นมาก
“ขอฉันมีวันดีๆ ก่อนที่ตัวเองจะตายได้ไหม แค่ไม่กี่วัน”
“หมายความว่าไง” ฝูเฉินพูดเสียงเย็นชา
“พูดอย่างกับว่าคุณอิ๋งไปทำอะไรคุณไว้ เธอทำอะไรคุณหรือไง”
เมิ่งชิงเสวี่ยไม่สนใจฝูเฉิน แค่มองอิ๋งจื่อจิน พูดเสียงสั่นที่เบายิ่งกว่าเดิม “ฉันจะตายแล้วจริงๆ คุณจะไม่…เห็นใจหน่อยเหรอคะ”
คนคุ้มกันอดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณหนู กลับเถอะครับ”
เมิ่งชิงเสวี่ยเม้มริมฝีปาก “ไม่ ตามไป ฉันไม่เคยเข้าร่วมการฝึก ครั้งนี้ไปกับทุกคนแล้วกัน”
คนอื่นๆ มองหน้ากัน ต่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ถ้าเมิ่งชิงเสวี่ยเป็นอะไรไปบนเขา พวกเขาจะทำยังไง
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ขนาดนายใหญ่เมิ่งยังปล่อยเมิ่งชิงเสวี่ยออกมาแล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก
ครั้นแล้วนอกจากสมาชิกตระกูลเมิ่งกับผู้ที่คลั่งไคล้ส่วนหนึ่งคอยเดินประกบดูแลเมิ่งชิงเสวี่ยไป คนอื่นๆ ต่างเลี่ยงไปเดินไกลๆ
ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาลูกโดดที่ไม่เคยมีการถาง แต่ก็เพราะอนุรักษ์ไว้อย่างดี บนเขาจึงมีสมุนไพรที่ขึ้นตามธรรมชาติอยู่ไม่น้อย สมุนไพรบางชนิดแม้แต่ฉาเซิ่งก็ปลูกไม่ได้
ฝูเฉินเดินข้างอิ๋งจื่อจิน ขณะเด็ดสมุนไพรก็ได้เรียนรู้ไปไม่น้อย
เขาเอาสมุนไพรที่ขุดได้ใส่ถุงแล้ววิ่งขึ้นหน้า “ท่านปรมาจารย์ พวกเรา…”
ทันใดนั้นอิ๋งจื่อจินได้ยกมือขึ้น “หยุดก่อน”
ฝูเฉินอึ้ง เริ่มระแวง “อะไรเหรอ”
“หยุดทำไม” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ปกป้องอยู่ข้างกายเมิ่งชิงเสวี่ยแสยะยิ้ม
“ไหนว่าจะนำทาง ทุกคนต้องเชื่อฟังคุณไม่ใช่เหรอ”
ขณะพูดเขาก็สาวเท้าเดินขึ้นหน้าต่อ