ตอนที่ 680 เธอคือบรรพบุรุษของทุกคน
เด็กสาวที่สวมหมวกเบสบอลเดินเข้ามา ผู้ชายที่ตามหลังเธอเอาเสื้อคลุมให้เธอ
“เยาเยา ระวังจะไม่สบาย”
“…”
เฟิงซิวหันมองฝูซีโดยอัตโนมัติ
ฝูซีมีสีหน้าเรียบเฉย ถึงขั้นที่ยังยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
เฟิงซิว “…”
ที่แท้ก็มีแค่เขาที่ตกใจเหรอ
แต่เขาก็จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่เย็นชาแบบอาจารย์จะรักใครเป็นด้วย
เฟิงซิวนั่งเหม่อไปชั่วขณะ
“ผู้อาวุโสเฟิงซิว ก่อนที่ท่านอาจารย์ของผู้อาวุโสจะมา ผมขอแนะนำให้ขังสองคนนี้ไว้ก่อนครับ” จอมยุทธ์ที่ก่อนหน้านี้พูดขึ้นก่อนได้พูดขึ้นอีกครั้ง “นอกจากผู้อาวุโสเฟิงซิวแล้ว พวกผมขวางพวกเขาไม่ได้ครับ”
สงครามวรยุทธ์สูงครั้งนั้นที่อิ๋งจื่อจิน ฟู่อวิ๋นเซิน และเซี่ยฮ่วนหรานสู้กัน แม้จะผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังคงทำให้พวกเขาขวัญผวาไม่หาย
ถ้าปล่อยให้สองคนนี้พัฒนาวรยุทธ์ต่อจะเกิดอะไรขึ้น
ดีไม่ดีเดี๋ยวได้มีเซี่ยฮ่วนหรานคนที่สอง
ต้องกำจัดทิ้ง!
ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบตาขึ้น ยิ้มมุมปาก “ถ้าฉันจะไป ใครก็ขวางฉันไม่ได้”
“หึ ผู้อาวุโสเฟิงซิวอยู่ตรงนี้ กล้าพูดจาอวดดีเลยเหรอ!” จอมยุทธ์คนนี้แสยะยิ้ม “นายไม่ใช่จอมยุทธ์ชั้นยอดอะไร”
“เขาพูดถูก” ในที่สุดเฟิงซิวก็ได้สติกลับมา “ฉันก็ขวางเขาไม่ได้เหมือนกัน”
“…”
ราวกับถูกตบกลางอากาศ ใบหน้าของจอมยุทธ์คนนี้แดงก่ำ
จะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้
เฟิงซิวพูดต่อ “แต่อาจารย์ของฉันขวางเขาได้”
หลินอู๋เลี่ยงกับเย่ว์ชิงเหอถึงได้โล่งอก
ถ้าแม้แต่เฟิงซิวยังขวางฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ งั้นควรจะทำไงดี
ยังดีที่มีอาจารย์ของเฟิงซิวอยู่
ท่ามกลางสายตาของหลายคนที่มองอยู่ เฟิงซิวกับฝูซียืนขึ้นพร้อมกันแล้วคารวะด้วยความนอบน้อมให้อิ๋งจื่อจินสามครั้ง
“เชิญอาจารย์นั่งครับ”
“!”
ภายในห้องตัดสิน จอมยุทธ์ทั้งหมดต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยว
โดยเฉพาะหลินอู๋เลี่ยงกับเย่ว์ชิงเหอสองผู้นำตระกูล ใบหน้าบึ้งตึงลงทันที
พวกเขาดวงตาเบิกโพลง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
อิ๋งจื่อจินเป็นอาจารย์ของเฟิงซิวกับฝูซีเหรอ!
นี่มันเรื่องแฟนตาซีอะไรกัน!
คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง อีกคนเป็นแพทย์แผนโบราณอันดับหนึ่งเชียวนะ
หลินอู๋เลี่ยงปากสั่น ร่างกายก็สั่นอย่างรุนแรง “ปะ…เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เด็กสาวที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีจะกลายเป็นบรรพบุรุษของพวกเขาทั้งหมดได้ยังไง
ใครจะไปรับไหว
“ไม่ต้องนั่งแล้วล่ะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องอะไร” อิ๋งจื่อจินไอเล็กน้อย “ฉันเพิ่งกินข้าวเสร็จ แค่มาเดินเล่น”
ก่อนหน้านี้เฟิงซิวเชิญเธอมา เธอยังไม่ได้คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ที่แท้ก็แบบนี้
จอมยุทธ์ศรัทธาคนที่แข็งแกร่งกว่า
ถ้าไม่มีคนที่แข็งแกร่งแบบเด็ดขาด พวกเขาก็จะไม่นับถือใครทั้งนั้น
เฟิงซิวคารวะอีกครั้ง “เรื่องแบบนี้ยังต้องเชิญอาจารย์มา ศิษย์อย่างพวกเราไม่ได้คิดให้รอบคอบจริงๆ ครับ”
เขาใช้การกระทำแสดงออกถึงความเคารพที่เขามีต่ออิ๋งจื่อจิน
เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นอาจารย์ตลอดชีวิต
บุญคุณนี้หนักดั่งเขาไท่ซาน
“…”
ภายในห้องตัดสินยังคงเงียบสงัด
จอมยุทธ์ทุกคนต่างตะลึงอย่างสิ้นเชิง
คนที่ลงนามในหนังสือยินยอมยิ่งเหงื่อแตกเข้าไปใหญ่
พวกเขาถึงกับกล้าให้เฟิงซิวกำจัดอาจารย์ตัวเอง!
อีกทั้งอาจารย์ของเฟิงซิวยังเป็นบรรพบุรุษของจอมยุทธ์อย่างพวกเขาด้วย
“วันนี้ฉันจะไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก” อิ๋งจื่อจินยิ้มเล็กน้อย “ฝากดูแลโลกจอมยุทธ์กับโลกแพทย์แผนโบราณด้วยนะ”
เฟิงซิวขอบตาแดงเล็กน้อย
เขากำมือวางไว้ตรงอก ตะโกนเสียงดัง “เฟิงซิวน้อมส่งอาจารย์!”
ฝูซีก็คารวะ “ฝูซีน้อมส่งอาจารย์!”
ในที่สุดจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็ได้สติกลับมาจากความตะลึง
ไม่ว่าจะยอมสยบด้วยใจจริงหรือเพราะความจำเป็น
พวกเขาต่างก็คุกเข่าลง
“โลกจอมยุทธ์ขอน้อมส่ง!”
เสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นเมฆอยู่นานไม่จางหาย
ตอนที่อิ๋งจื่อจินกับฟู่อวิ๋นเซินเดินไปถึงประตูเข้าออกก็ยังได้ยินลางๆ ว่า “น้อมส่ง”
“เยาเยา พี่ชายจะไม่ไปกับเธอ” ฟู่อวิ๋นเซินจับมือเธอ พูดเสียงขรึม “มีคนอยากฆ่าพี่ชายเยอะมาก เธอไปกับซีนายอันตรายจะน้อยกว่า”
ขณะพูดเขาก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมายื่นให้เธอ “แล้วก็เพิ่งได้รับแจ้งมาว่า ฉินหลิงเยี่ยนกับฉินหลิงอวี๋หายตัวไป”
ฉินหลิงเยี่ยนเป็นประธานสมาพันธ์แฮกเกอร์นิรนาม เดิมทีก็มักหายตัวอยู่บ่อยๆ
แต่ฉินหลิงอวี๋ไม่เหมือนกัน
ดารายอดนิยมอันดับหนึ่งของวงการบันเทิงหายตัวไปคือเรื่องใหญ่
วุ่นวายกันไปทั้งวงการบันเทิง
สายตาของอิ๋งจื่อจินจับจ้อง “เมืองแห่งโลกเหรอ”
“สันนิษฐานเบื้องต้นแบบนั้น” ฟู่อวิ๋นเซินลูบศีรษะเธอ “พี่ชายจะไปตามหาพวกเขาก่อน เธอพักผ่อนให้มีเรี่ยวแรงเต็มที่แล้วค่อยไปนะ พวกเราแยกกัน”
ทางเข้าออกของเมืองแห่งโลกเปิดครั้งนี้จะเปิดต่อเนื่องสิบห้าวัน
อิ๋งจื่อจินเอากระเป๋าในมือยื่นให้เขา “ระวังตัวด้วย”
“เจอกันในเมืองนะ” ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินโค้งมน พูดเสียงเบา “เยาเยา พี่ชายจะปกป้องเธอตลอดไป”
…
ฟู่อวิ๋นเซินออกไปพร้อมอวี้เซ่าอวิ๋น
อิ๋งจื่อจินตั้งใจรอสิบห้าวันแล้วถึงไปเมืองแห่งโลกพร้อมซีนาย
ทั้งสองคนคุยเรื่องสมัยเด็กของตัวเอง
หลังจากได้ยินเรื่องคลังเลือดมีชีวิต ซีนายก็ตะลึงเล็กน้อย “หา! เธอมีเลือดสีทองเหรอ”
อิ๋งจื่อจินหันไป “เลือดสีทองแล้วทำไมเหรอ”
นอกจากไม่มีใครให้เลือดเธอได้ก็ไม่เห็นว่าจะดีตรงไหน
“อ่อ คือแบบนี้ เมืองแห่งโลกมีเรื่องเล่าว่า” ซีนายพูด “ถ้าเด็กทารกมีเลือดสีทองก็เป็นไปได้ว่าอาจเป็นผู้วิเศษกลับชาติมาเกิด”
ดวงตาของอิ๋งจื่อจินหรี่ลงเล็กน้อย “คำกล่าวเลื่อนลอยทั้งนั้น กรุ๊ปเลือดสืบทอดมาจากพ่อแม่ หรือไม่ก็อาจเกิดจากยีนกลายพันธุ์”
ตระกูลอิ๋งก็มีแค่เธอกับอิ๋งลู่เวยที่มีเลือดสีทอง
คนอื่นๆ ไม่ใช่
เห็นได้ชัดว่าคือยีนกลายพันธุ์
“ไม่งั้นทำไมถึงมีเรื่องเล่าแบบนี้ล่ะ” ซีนายโล่งอก “ยังดีนะที่เธอไม่ได้เกิดในเมืองแห่งโลก ไม่อย่างนั้นเธอต้องตายตอนตรวจกรุ๊ปเลือดแน่นอน”
อิ๋งจื่อจินไม่เห็นด้วย “ผู้วิเศษยี่สิบสองคนคือศรัทธาของเมืองแห่งโลก ทำไมสำนักผู้วิเศษต้องฆ่าเด็กที่อาจเป็นผู้วิเศษกลับชาติมาเกิดด้วยล่ะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ” ซีนายครุ่นคิด “อาจเพราะผู้วิเศษมีทั้งดีและเลวไหม อาอิ๋ง ถึงเธอจะไม่ได้เกิดในเมืองแห่งโลก แต่เธอห้ามให้คนอื่นรู้เป็นอันขาดนะว่าเธอมีเลือดสีทอง”
“สำนักผู้วิเศษยอมฆ่าคนผิดตัวดีกว่าปล่อยไปสักคนเดียว”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันก็ได้เดินเข้าประตูเมืองไปแล้ว
เมืองแห่งโลกที่กว้างใหญ่ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว
นี่คือเมืองที่อาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด
อิ๋งจื่อจินย่อตัวลง วางขวดยาใส่มือซีนาย “ยาที่คืนสภาพร่างกายได้ชั่วคราว”
ซีนายอึ้ง เธอกำขวดยาแน่น “คืนสภาพร่างกายได้จริงเหรอ…”
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองถูกใครจับกรอกยาเล่นแร่แปรธาตุ
“อืม แค่ชั่วคราว” น้ำเสียงอิ๋งจื่อจินเรื่อยเปื่อย “พอถึงเวลาฉันจะให้คนมาช่วยฉันกับเธอ ตามเขาไปเธอน่าจะคืนสภาพได้อย่างสมบูรณ์”
“ใครเหรอ”
“หากว่ากันตามอายุเขาก็เป็นตาแก่อายุสามร้อยปีแล้ว”
ซีนาย “?”
เธอยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกอิ๋งจื่อจินหิ้วขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวแล้วโยนขึ้นมอเตอร์ไซค์สำหรับขี่กลางอากาศ
ซีนายลูบที่นั่งด้านหลังของตัวเอง รู้สึกเสียดาย “พอตัวเล็กลงก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้แล้ว มอเตอร์ไซค์ที่เธอขี่รุ่นนี้คือรุ่นใหม่ล่าสุดของเมืองในตอนนี้เลยนะ”
“ความเร็วสูงสุดมากถึงแปดร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ต้องสวมหมวกกันน็อกสวมชุดให้ดี คนทั่วไปที่ไม่เคยผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมทนแรงดันที่มากเกินไปไม่ได้”
มอเตอร์ไซค์เวหาเป็นยานพาหนะที่ใช้บ่อยที่สุดในเมืองแห่งโลก แทนที่เครื่องบินไปแล้ว
หมวกกันน็อกกับชุดที่มาด้วยกันสามารถต้านแรงดันได้มาก ช่วยปกป้องร่างกายของคนธรรมดาไม่ให้ถูกบดขยี้เพราะความเร็วสูงได้
จึงมีแค่พลเมืองชั้นหนึ่งกับพลเมืองชั้นสองที่ค่อนข้างร่ำรวยที่จะใช้มอเตอร์ไซค์เวหาได้
อิ๋งจื่อจินเงยหน้ามองบนฟ้าที่มียวดยานพาหนะรูปแบบต่างๆ ขับเคลื่อนจนเกิดเป็นเส้นโค้งมากมาย
นอกจากมอเตอร์ไซค์เวหาแล้วยังมีสเกตบอร์ดเวหากับรถโดยสารสาธารณะอีกด้วย
ไกลออกไปยังมีปราสาทที่ลอยอยู่บนฟ้า
ดูศักดิ์สิทธิ์สง่างาม เจือไปด้วยความอร่ามที่ทำให้มองตรงๆ ไม่ได้
“นั่นคือสำนักผู้วิเศษ” ซีนายพูด “ห้ามยานพาหนะทุกชนิดเข้าไปในอาณาเขตของสำนักผู้วิเศษ”
“ดังนั้นถ้าคนอื่นอยากเข้าไปในสำนักผู้วิเศษ ถ้าไม่เหาะเข้าไปด้วยความสามารถของตัวเองก็ต้องรอคนข้างในเรียกเข้าพบ”
ปราสาทของสำนักผู้วิเศษอยู่สูงจากพื้นดินสามร้อยเมตร
เป็นเรื่องง่ายสำหรับซูเปอร์ทหารที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมมาแล้ว
แน่นอนว่าเมืองแห่งโลกไม่มีจอมยุทธ์
อิ๋งจื่อจินจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ “เกาะให้แน่นนะ”
“อือ” ซีนายกอดเอวอิ๋งจื่อจิน “ฉันเกาะ…”
บรื้น มอเตอร์ไซค์พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
ความเร็วขึ้นสูงสุดในชั่วพริบตา
มอเตอร์ไซค์พุ่งออกไป ซีนายช็อกอย่างแรง “กรี๊ดดด ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเธอเป็นนักบิดสายซิ่ง กรี๊ดดด!”
…
สองชั่วโมงต่อมา
มอเตอร์ไซค์เวหาจอดลงในป่าที่ห่างจากสำนักวิจัยระยะหนึ่ง
อิ๋งจื่อจินหิ้วซีนายที่มึนหัวตาลายลงมาวางบนก้อนหิน จากนั้นก็กดปุ่มที่อยู่บนแฮนด์มอเตอร์ไซค์
ฟีบบบ มอเตอร์ไซค์เวหาหดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าโทรศัพท์มือถือ
อิ๋งจื่อจินเอาเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อ
เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าก็สะดวกขึ้นเยอะ
“ฉะ…ฉันเกือบอ้วกแตกแล้ว” ซีนายฟุบอยู่บนหลังอิ๋งจื่อจิน “รับปากฉัน ครั้งหน้าห้ามขี่โหดแบบนี้อีก”
แม้แต่ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินก็ไม่มีทางขี่มอเตอร์ไซค์เวหาที่ความเร็วแปดร้อยกิโลเมตรไปตลอด
เกือบตาย
ซีนายพักหายใจแล้วล้วงบัตรประจำตัวออกมา “อะ นี่คือบัตรประจำตัวของเธอ”
“ฉันจะควบคุมความเร็ว” อิ๋งจื่อจินก้มตัว “เธอไม่เข้าไปเหรอ”
“ไม่ล่ะ” ซีนายส่ายหน้า “พวกเขาไม่รู้ว่าร่างกายฉันหด ฉันกลัวจะทำให้พวกเขาวุ่นวาย ถ้าเธอเกิดเรื่องอะไรก็อ้างชื่อฉันได้”
อิ๋งจื่อจินลูบศีรษะซีนาย “เธอไปเองได้เหรอ”
“อย่ามาดูถูกฉัน” ซีนายส่ายมือ “ไปล่ะ”
เธอหันตัว มือล้วงกระเป๋า ค่อยๆ เดินออกไป
หลังจากที่อิ๋งจื่อจินมองส่งซีนายเสร็จก็เข้าสำนักวิจัย
เธอไปยืนหน้าประตูอิเล็กทรอนิกส์บานหนึ่ง รอสแกนม่านตาเพื่อเปิดประตู
มีเสียงเครื่องทำงาน
[กำลังสแกน…]
[ยืนยันตัวตนเสร็จเรียบร้อย]
ประตูเปิดออก อิ๋งจื่อจินเดินเข้าไป มองสำรวจภายในสำนักวิจัย
ใหญ่กว่าศูนย์วิจัยของเกอร์เวน และก็ล้ำสมัยมากกว่า
เธอสวมหมวก ไปหอพักนักศึกษาระดับต้น
หอพักเป็นแบบแยกเดี่ยว พักห้องละคน ภายในมีข้าวของที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจำนวนไม่น้อย
ในแต่ละตึกมีห้องทดลองขนาดใหญ่หนึ่งห้อง
อิ๋งจื่อจินเอากระเป๋าเก็บในห้องนอนเสร็จก็ไปที่โต๊ะทดลองของตัวเอง
ภายในห้องทดลองมีนักศึกษาอยู่ไม่น้อยแล้ว
ส่วนใหญ่เป็นใบหน้าแบบตะวันตก
อยู่ๆ เห็นคนใหม่เดินเข้ามาต่างพากันมองมาด้วยความสงสัย
เสียงซุบซิบดังขึ้น
“นั่นใครน่ะ มาจากตระกูลไหน ไม่เคยเห็นหน้า”
“ก็แค่นักศึกษาระดับต้น ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่อะไร”
“แต่ตอนนี้หยุดรับนักศึกษาใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมีโผล่มาอีกคนล่ะ”
อิ๋งจื่อจินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เธอมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะทดลองของเธอ ขยับไปวางไว้ด้านข้าง
หลังจากสแกนม่านตาเสร็จโต๊ะทดลองก็เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ
ก่อนมาเมืองแห่งโลกเธอเองก็เคยทำโจทย์ของที่นี่มาบ้าง
ยากกว่าโจทย์ของมหาวิทยาลัยตี้ตูมากทีเดียว ถือว่ามีความท้าทายอยู่บ้าง
ทันใดนั้นมีนักศึกษาคนหนึ่งพูดขึ้น “แย่แล้ว! นั่นหนังสือของเทียนเยียนหรือเปล่า”
“ดูเหมือนจะใช่นะ เทียนเยียนใช้โต๊ะในนี้หลายตัว ทำไมเธอกล้า…”
เกิดความเงียบขึ้นทันที
บรรดานักศึกษามองอิ๋งจื่อจินด้วยความตะลึง
ไม่กี่นาทีต่อมาเทียนเยียนก็รีบร้อนเดินเข้ามา
พอเห็นเอกสารของตัวเองถูกย้ายไปวางโต๊ะข้างๆ เทียนเยียนก็โมโหขึ้นมาทันที
“ใครอนุญาตให้เธอเคลื่อนย้ายไม่ทราบ” เธอหันไปมองอิ๋งจื่อจิน “เคลื่อนย้ายของของฉันโดยพลการ ขอโทษเดี๋ยวนี้!”
ถ้าเอกสารของเธอหายไปแม้แต่แผ่นเดียว นักศึกษาระดับต้นคนนี้รับผิดชอบไหวเหรอ
“เทียนเยียน ช่างเถอะๆ” มีนักศึกษาคนหนึ่งเข้ามาห้าม “เธอก็แค่ขยับนิดหน่อย ไม่ได้แตะต้องอย่างอื่น”
“ขยับก็ไม่ได้ ฉันใช้ที่ตรงนี้อยู่ ผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์อะไรมาแตะต้อง” เทียนเยียนโมโห “ฉันบอกให้ขอโทษไม่ได้ยินหรือไง!”
สายตาของอิ๋งจื่อจินไม่ขยับ นิ้วยังคงกดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“นักศึกษาระดับต้นคิดจะอวดดีกับฉันเหรอ” เทียนเยียนแสยะยิ้ม
เธอยกมือทึ้งผมอิ๋งจื่อจิน
ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็กำลังจะง้างตบ
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!”