ตอนที่ 682 ตบหน้าจูซา เส้นสายของอิ๋งจื่อจิน
“…”
มือของปิงหลานที่จับกระดาษอยู่ถึงกับชะงัก
เธอมองคำว่า ‘แอ๊กเคานท์ผู้ก่อตั้ง’ อย่างอึ้งๆ สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ
ปิงหลานพูดตะกุกตะกัก “นะ นักศึกษาอิ๋ง อะ แอ๊กเคานท์ของเธอ…”
ระดับของแอ๊กเคานท์ในเว็บดับบลิวสูงสุดอยู่ที่ระดับดับเบิลเอส
แอ๊กเคานท์ระดับดับเบิลเอสมีอยู่ไม่ถึงสิบคนในเมืองแห่งโลก
โดยแบ่งเป็นหัวหน้าตระกูลอวี้กับตระกูลเรนเกล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินทั้งสี่ เป็นต้น
แอ๊กเคารท์ระดับดับเบิลเอสพวกนี้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ไม่ว่าจะเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลหรือเปลี่ยนผู้อำนวยการสำนักวิจัย แอ๊กเคานท์ระดับดับเบิลเอสก็จะถูกส่งต่อไปด้วย
ส่วนผู้วิเศษ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้พวกแอ๊กเคานท์เพื่อแสดงสถานะอันสูงส่งหรืออำนาจเด็ดขาดของตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะแอ๊กเคานท์ระดับดับเบิลเอสหรือแอ๊กเคานท์ระดับเอ ตรงประเภทแอ๊กเคานท์ก็คือแอ๊กเคานท์สมาชิกเหมือนกันหมด
แล้วแอ๊กเคานท์ผู้ก่อตั้งคืออะไร!
ต่อให้ปิงหลานไม่รู้ว่ายังมีแอ๊กเคานท์ประเภทนี้อยู่ด้วย แต่ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้จักคำว่า ‘ผู้ก่อตั้ง’
“หืม?” อิ๋งจื่อจินเคาะแป้นคีย์บอร์ด “เธอมองผิดแล้ว”
เธอครุ่นคิด
ดูท่าช่วงเวลาที่ก่อตั้งสมาพันธ์ลับกับเว็บดับบลิวจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน
เว็บบอร์ดเอ็นโอเคของเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทรก็คือเว็บดับบลิวเวอร์ชันย่อส่วน
มิน่าถึงใช้แอ๊กเคานท์เดียวกันได้
“เป็นไปไม่ได้ ฉันสายตาดีนะ ฉัน…” ปิงหลานขยี้ตาแล้วตั้งใจดูอีกครั้ง แต่กลับไม่เห็นอักษรสีทองนั้นอีก
ตรงประเภทแอ๊กเคานท์กลายเป็นแอ๊กเคานท์สมาชิก
ส่วนตรงระดับที่อยู่บรรทัดที่สองคือระดับเอ
เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่มีแฮกเกอร์คนไหนแก้ไขข้อมูลในเว็บดับบลิวได้
ถ้าแม้แต่แฮกเกอร์ยังเจาะเว็บดับบลิวได้ อินเตอร์เน็ตของเมืองแห่งโลกก็จะต้องพังทลายแล้ว
“แต่เมื่อกี้ฉัน…” ปิงหลานจ้องข้อมูลผู้ใช้งานอยู่หลายสิบวินาทีอย่างไม่ยอมแพ้ พบว่าก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
เธอถึงได้เหมือนนึกอะไรออก พูดด้วยความตื่นเต้น “ว้าวนักศึกษาอิ๋ง เธอมีแอ๊กเคานท์ระดับเอเลยเหรอ แบบนี้ก็เจ๋งกว่าเทียนเยียนอีกสิ เธอไม่ต้องกลัวเทียนเยียนแล้ว…ไม่สิ ไม่ถูก”
ปิงหลานคอตก “ทำไมฉันถึงลืมไปได้นะ เหนือเทียนเยียนยังมีคุณหนูบิลอีกคน คนธรรมดาอย่างพวกเราใช่ว่าจะมีแอ๊กเคานท์ระดับเอสได้”
“วางใจเถอะ” อิ๋งจื่อจินเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ “ฉันออกไปหน่อยนะ”
พออิ๋งจื่อจินออกไปแล้ว คนในห้องทดลองถึงได้หยุดงานในมือ
ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินที่อิ๋งจื่อจินกับปิงหลานคุยกัน แต่เพราะแต่ละโต๊ะทดลองมีแผ่นเก็บเสียงติดอยู่ จึงได้ยินไม่ถนัดนัก
แค่พอได้ยินว่าคุยเรื่องเว็บดับบลิว
“ปิงหลาน เธอเองก็ระวังไว้บ้างนะ” นักศึกษาชายคนหนึ่งพูดประชดอย่างไม่แคร์ “ต่อให้อิ๋งจื่อจินถูกอาจารย์ปล่อยมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เทียนเยียนหมดสติไป”
“พอเทียนเยียนฟื้นจะต้องขับไล่อิ๋งจื่อจินออกจากสำนักวิจัยแน่ เธอระวังจะติดร่างแหไปด้วย”
ปิงหลานไม่พูดอะไร ยังนั่งคิดอยู่ว่าสายตาตัวเองมีปัญหาหรือเปล่า
…
วันต่อมา
อิ๋งจื่อจินออกจากสำนักวิจัย เอามอเตอร์ไซค์เวหาออกมาอีกครั้ง
สองชั่วโมงต่อมาเธอก็ไปถึงใจกลางเมือง
พอเงยหน้าก็เห็นหน้าจอโฆษณาที่ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังฉายไลฟ์สดของบิล เรนเกล
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจอีก เดินไปข้างหน้า
มีฝ่ามืออบอุ่นจับเอวเธอไว้แล้วรวบตัวเธอ
ตามมาด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณา
สุขุมและอ่อนโยน
“ผอมลงนะ” ฟู่อวิ๋นเซินใช้มืออีกข้างลูบศีรษะเธอ “ไม่เจอพี่ชายครึ่งเดือน ไม่ได้ตั้งใจกินข้าวเลยใช่ไหม”
“กินแล้ว แต่กระเพาะไม่ค่อยดี” อิ๋งจื่อจินหาว เอามือจับๆ บ่าของเขา “แน่นดีนะ”
“อืม เธอจะได้จับสนุก”
อิ๋งจื่อจินหันไปเล็กน้อยก็เห็นอักษรที่อยู่บนแขนของเขา
Sword
ดาบอาญาสิทธิ์
ผู้นำของสี่หน่วยอัศวิน หน่วยอัศวินดาบอาญาสิทธิ์!
“ผู้บัญชาการ เจ๋งไม่เบานะ” อิ๋งจื่อจินเลิกคิ้ว “แทรกซึมภายในได้เร็วขนาดนี้”
ต่อให้ฟู่อวิ๋นเซินมีตัวตนที่ถูกต้องตามกฎหมายในเมืองแห่งโลกแล้ว แต่ถ้าอยากเข้าสี่หน่วยอัศวินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“พอไหว” ฟู่อวิ๋นเซินเอาแขนเสื้อลง “ก็แค่ต่อสู้ไม่กี่ครั้ง เรื่องง่ายๆ”
สู้กับเซี่ยฮ่วนหรานครั้งนั้นก็ได้บีบบังคับให้เขาพัฒนาขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
วรยุทธ์ของเขาทะลุจุดอิ่มตัวได้อีกครั้งแล้ว
ส่วนสี่หน่วยอัศวินก็ไม่ได้ดูอย่างอื่น ดูแค่ฝีมือ ใครเก่งก็ขึ้นตำแหน่ง
เอาชนะผู้บัญชาการได้ก็ขึ้นตำแหน่งนั้นแทน
“สำนักวิจัยเป็นไงบ้าง” ฟู่อวิ๋นเซินก้มตัว ยื่นนมร้อนแก้วหนึ่งใส่มือเธอ “มีเงินใช้หรือเปล่า”
อิ๋งจื่อจินคิดแล้วตอบ “คนหัวล้านเยอะ ไม่น่ามอง”
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงักเล็กน้อย อดหัวเราะไม่ได้ พูดเสียงทุ้มต่ำ “งั้นเด็กน้อยก็ต้องปกป้องผมของเธอให้ดีนะ”
“ฉันสวยมาแต่เกิด” อิ๋งจื่อจินมัดผม “คุณใช้แอ๊กเคานท์เว็บบอร์ดเอ็นโอเคล็อกอินเข้าเว็บดับบลิวได้ ระดับไม่มีทางเปลี่ยน”
“อืม สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน” ฟู่อวิ๋นเซินพูด “สะดวกดี”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านกาแฟสักพัก
ฟู่อวิ๋นเซินมองโทรศัพท์มือถือ “พี่ชายจะไปที่ตระกูลอวี้หน่อย”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “ฉันจะเดินเที่ยวอีกหน่อย”
…
ตระกูลอวี้
เวลานี้อวี้เซ่าอวิ๋นไม่อยู่ ภายในห้องรับแขกมีแค่จูซา พ่อบ้าน และพวกคนรับใช้อีกสองสามคน
พ่อบ้านกับคนรับใช้เห็นฟู่อวิ๋นเซินเข้ามาก็จงใจหันไปมองทางอื่น ไม่สนใจ
ลูกนอกสมรส แถมยังไม่ได้เกิดในเมืองแห่งโลก ถูกพากลับมาได้ก็นับเป็นวาสนาแล้ว
ถ้าไม่มีอวี้เซ่าอวิ๋น ฟู่อวิ๋นเซินก็ไม่แม้แต่จะได้เป็นพลเมืองชั้นสาม
ยังจะต้องการอะไรอีก
พวกเขาเห็นแล้วก็หงุดหงิด
ฟู่อวิ๋นเซินคลายคอเสื้อ นั่งที่โซฟา พักสายตา
เวลานี้กำลังภายในของเขาถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ปกคลุมทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลอวี้
คนและเรื่องทั้งหมดในตระกูลอวี้ล้วนอยู่ภายใต้การจับตาดูของเขา
รวมถึงคุณนายผู้เฒ่าอวี้ที่กำลังส่องกระจกก่นด่า
“เด็กผู้ชายมีพ่ออยู่เคียงข้างระหว่างเติบโตจะดีที่สุด” อยู่ๆ จูซาก็พูดขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เธอว่าไหม”
มือของฟู่อวิ๋นเซินที่เล่นแหวนนิ้วโป้งชะงักลง ค่อยๆ หันหน้าไป
เขามีดวงตาดอกท้อที่ชวนมอง เลิกคิ้วเล็กน้อย ทอประกายอ่อนๆ เจือไปด้วยเสน่ห์เกินใคร
แต่รังสีอำมหิตกลับเต็มเปี่ยม
เพียงชั่วพริบตาร่างกายของจูซาก็เย็นเฉียบ
เธอเคยเจอฟู่หลิวอิ๋งอยู่ไม่กี่ครั้ง
แต่ต้องยอมรับเลยว่า ต่อให้เป็นในเมืองแห่งโลก ฟู่หลิวอิ๋งก็เป็นหญิงงามแบบที่หาได้ยากเช่นกัน
ฟู่อวิ๋นเซินคล้ายฟู่หลิวอิ๋งหกสิบเปอร์เซ็นต์ คล้ายอวี้เซ่าอวิ๋นสี่สิบเปอร์เซ็นต์
ทั้งยังดึงเอาส่วนดีบนใบหน้าของพวกเขาไปผสมผสานได้อย่างลงตัว หน้าตาดียิ่งกว่าพ่อแม่
ถ้าไม่ได้เห็นกับตาก็ยากที่จะเชื่อว่ามีผู้ชายที่เกิดมารูปงามได้ขนาดนี้ด้วย
“เด็กผู้ชายถ้าไม่มีความรักของพ่อก็ย่อมเหมือนขาดอะไรไป” จูซามองไปทางสวนดอกไม้ “เซ่าอิ่งเป็นลูกชายที่ฉันกับอาอวิ๋นเลี้ยงจนเติบโตมา ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว บางครั้งก็ยังชอบรบเร้าให้อาอวิ๋นพาเขาออกไปด้วย”
“โตขนาดไหนแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กๆ น่าปวดหัวจริงๆ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ไม่ต่างจากแม่ที่รู้สึกจนปัญญา
ฟู่อวิ๋นเซินลุกขึ้น เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
ในเวลานี้เองอวี้เซ่าอวิ๋นเข้ามาเห็นฟู่อวิ๋นเซินเดินออกก็สีหน้าเปลี่ยน “เจ้าเจ็ด!”
“ทำไมเพิ่งกลับมาก็จะไปแล้วล่ะ”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูด แค่เงยหน้าขึ้น
แววตาของเซ่าอวิ๋นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาที่มองจูซาแข็งกร้าว “ไสหัวกลับห้องของคุณไป กักบริเวณสามเดือน ห้ามออกมา”
สีหน้าของจูซาไร้การเปลี่ยนแปลง ก็แค่น้ำเสียงเปลี่ยนนิดหน่อย “หัวหน้าตระกูล?”
“ลืมไป ยังมีอีกเรื่อง” เซ่าอวิ๋นพูด “พูดขอโทษด้วย”
จูซากำมือแน่น ทำได้เพียงก้มหน้า “ขอโทษด้วย ฉันพลั้งปากพูดไป”
เธอโค้งตัวอีกครั้ง ยกชายกระโปรงเดินขึ้นชั้นบน
แต่ถ้าสังเกตให้ดีมือเธอสั่น ใบหน้าด้านข้างดูบึ้งตึง
เห็นได้ชัดว่าโมโห
โกรธจนถึงขั้นที่ทนปั้นรอยยิ้มอ่อนโยนต่อไปไม่ไหว
“เจ้าเจ็ด ไม่ต้องไปสนใจเธอ” เซ่าอวิ๋นขมวดคิ้ว “พ่อเตรียมห้องไว้ให้ลูกแล้ว ไม่ต้องไปพักข้างนอก”
“ไม่ต้อง” ฟู่อวิ๋นเซินตอบ “เดิมทีผมก็แค่ตามคุณกลับมาดู ผมไม่เคยชอบตระกูลใหญ่”
มือของเซ่าอวิ๋นชะงัก “เจ้าเจ็ด…”
เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีนั้นมาจากฟู่อี้หัน
ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กตัวแค่นั้นอาศัยพลังอะไรถึงมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ก็ได้” เซ่าอวิ๋นพูดเสียงเบา “แต่ปลายปีพ่อจะลงจากตำแหน่ง หวังว่าลูกจะร่วมลงชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลด้วย”
“เจ้าเจ็ด ลูกฉลาดและฝีมือดีกว่าพ่อ ต้องตามหาฆาตกรที่ฆ่าแม่เจอแน่นอน”
เท้าของฟู่อวิ๋นเซินชะงัก “เข้าใจแล้ว ถ้าปลายปีผมยังหาตัวไม่เจอ ผมจะกลับมาอีก”
คนรุ่นนี้ของตระกูลอวี้ที่จ้องลงชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลมีอย่างน้อยสิบคน
แต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดา
“พ่อจะไปส่ง” เซ่าอวิ๋นโล่งอก “มีเรื่องอะไรก็ติดต่อพ่อได้นะ”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องรับแขกอีกครั้ง
สิบนาทีต่อมาเซ่าอวิ๋นก็กลับมา เขากำชับ “เฝ้าเธอไว้ให้ดี ถ้ามีคนจากสำนักผู้วิเศษมาก็ห้ามปล่อยเข้ามาแม้แต่คนเดียว”
คนคุ้มกันกำมือคารวะ “ครับท่านหัวหน้าตระกูล”
“ท่านหัวหน้าตระกูลครับ ผมยืนฟังอยู่ข้างๆ คุณนายไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ ครับ และก็ไม่ได้พูดจาเสียดสีอะไรด้วย ถึงขั้นที่คำนึงถึงท่านหัวหน้าตระกูลด้วยครับ” พ่อบ้านทนดูต่อไปไม่ไหว “คุณนายทุ่มเทให้ตระกูลมายี่สิบปี ทั้งยังเป็นแม่ของคุณชายเซ่าอิ่ง ท่านหัวหน้าตระกูลไม่ชอบเธอแต่ก็ต้องคำนึงถึงคุณชายเซ่าอิ่งด้วยนะครับ”
ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย
อวี้เซ่าอิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวี้เซ่าอวิ๋นเคยสมองตายอยู่สามปี
อยู่ๆ ก็มีพี่ชายโผล่มา ทั้งยังเป็นลูกที่เกิดกับผู้หญิงอื่น จะรับได้เหรอ
พอพูดถึงอวี้เซ่าอิ่ง สีหน้าของเซ่าอวิ๋นก็ชะงัก “พ่อบ้านออกไปเถอะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พ่อบ้านต้องมากังวล ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี อย่าให้ฉันต้องพูดรอบสอง”
พ่อบ้านถอยหลังออกไปอย่างนอบน้อม ต่อมาสีหน้าก็เย็นชาลง
เหมือนที่คุณนายผู้เฒ่าพูดไว้ไม่มีผิด ตอนนั้นฟู่หลิวอิ๋งไม่ธรรมดา ลูกชายของเธอก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
พอกลับเข้าตระกูล ไม่มีความสามารถอะไร อาศัยใบหน้าเริ่มแย่งชิงความรักชิงอำนาจแล้ว
อีกทั้งยังใช้ความรู้สึกผิดของอวี้เซ่าอวิ๋นมาใส่ร้ายจูซา
พ่อบ้านโมโหจนปวดใจ
เกรงว่าในอนาคตอีกไม่นานอวี้เซ่าอวิ๋นยังจะให้ลูกนอกสมรสคนนี้ขึ้นตำแหน่งด้วย!
นี่เป็นเรื่องที่ใครก็ทนไม่ได้
ตอนนี้อวี้เซ่าอวิ๋นเลอะเลือนแล้ว พวกเขาต้องเฝ้าดูตระกูลอวี้ไว้ให้ดี ห้ามให้คนนอกมาฮุบไป
…
อีกด้านหนึ่ง
ฟู่อวิ๋นเซินออกจากคฤหาสน์ตระกูลอวี้ก็ไปโรงแรมใจกลางเมือง
แฟนสาวที่น่ารัก : [ไม่เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม]
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว
[ไม่มีอะไร ดูละครอินเตอร์เน็ตที่เลขาเธอแต่ง พี่ชายหัดเอาอย่างนางร้ายแล้ว]
แฟนสาวที่น่ารัก : [?]
ภายในสำนักวิจัย
มือของอิ๋งจื่อจินยังถือเอกสารทดลองที่เอากลับมาจากห้องทดลองอยู่
เธอมองข้อความ ‘หัดเอาอย่างนางร้าย’ ของฟู่อวิ๋นเซิน จากนั้นก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
เงียบไปหลายวินาทีอิ๋งจื่อจินถึงส่งข้อความตอบกลับฟู่อวิ๋นเซิน
[ระวังตัวด้วย]
เรื่องที่ยากไม่ใช่การเล่นงานตระกูลฟู่ แต่เป็นการตามหาองค์กรที่ใช้สัญลักษณ์หัวกะโหลกสีดำ
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้ว
เธอเองก็ถามซิวแล้ว
น่าเสียดายที่แม้แต่ซิวก็ไม่รู้ว่าเมืองแห่งโลกมีอิทธิพลแบบนี้อยู่ด้วย
ราวกับไม่มีตัวตน
มือของอิ๋งจื่อจินขยับอย่างรวดเร็ว
ในเวลาสิบนาทีเธอก็ใช้วัสดุพวกนี้ประกอบเป็นรองเท้าเหาะที่มีอุปกรณ์ยิงขึ้นมาได้หนึ่งคู่
เธอกดเปิดเว็บดับบลิว เปิดโซนซื้อขาย กรอกข้อมูลของรองเท้าลงไป
กำหนดราคา จากนั้นก็เอารองเท้าที่ทำเสร็จแล้วใส่กล่องสีน้ำเงินด้านข้าง
ในเมืองแห่งโลกไม่มีพนักงานส่งพัสดุ แต่ตามห้องทุกห้องจะมีกล่องหย่อนพัสดุ
แค่เอาพัสดุใส่ลงไปมันก็จะเอาไปส่งโดยอัตโนมัติ
อิ๋งจื่อจินดูเวลา จากนั้นก็ลงไปชั้นล่างของหอพัก
หน้าหอพักมีคนดักรออยู่
ก็คือเทียนเยียนที่เพิ่งฟื้นเมื่อเช้า
เธอมองอิ๋งจื่อจิน เริ่มระเบิดอารมณ์ทันที “เธอนี่ใจกล้านะที่กล้าลงมือกับฉัน!”
ทำให้เธอต้องนอนโรงพยาบาลนานขนาดนี้
อิ๋งจื่อจินไม่สนใจ เดินออกข้างนอกต่อ
“จะไปไหน” เทียนเยียนโมโหยิ่งกว่าเดิม แต่กลับไม่กล้าแตะต้องอิ๋งจื่อจิน “ฉันอนุญาตให้เธอไปแล้วเหรอ”
“ไปพบท่านนักพรต” อิ๋งจื่อจินสวมหมวก ในที่สุดก็พูดขึ้น น้ำเสียงเย็นชา “อยากไปด้วยไหม”
“พบท่านนักพรตเหรอ” เทียนเยียนอึ้งก่อน จากนั้นก็แสยะยิ้ม “คิดว่าตัวเองเป็นใคร อยากเจอผู้วิเศษก็เจอได้เหรอ”
ขนาดบิล เรนเกล ยังเจอผู้วิเศษไม่ได้เลย
ฟิ้ววว
เวลานี้มีรถสีดำคันหนึ่งมาจอดตรงหน้าหอพัก
หน้าต่างฝั่งคนขับถูกเลื่อนลง