บทที่ 692 พวกเขาทำอันใดกับท่าน!? ลบความทรงจำท่านไปหรืออย่างไร?
ลั่วสุ่ยนึกขัน สิ่งนี้ไร้เจ้าของ ไยจึงใช้คำว่า ‘ยกให้’ เสียได้?
ซ้ำยังต้องมาเจรจาเงื่อนไขกับนางอีก?
คนพวกนี้คิดอะไรอยู่?
“แม่นางมิต้องทำสีหน้าเช่นนี้ ข้ารู้ว่าแม่นางคิดกระไรอยู่ ศพมังกรตัวนี้ไม่มีเจ้าของ ใคร ๆ ต่างมีสิทธิ์แย่ง ทว่าหากเราไม่ยอมตกลง แม่นางคิดว่าพวกท่านจะนำมันไปด้วยได้หรือ”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวเอ่ยราบเรียบ
เผ่ามังกรถือเป็นเผ่าใหญ่เช่นเดียวกัน และแข็งแกร่งกว่าเผ่าใหญ่อื่นใดทั้งหมด
อนิจจา เผ่ามังกรนั้นสะท้านโลกันตร์เกินไป จนยากจะให้กำเนิดทายาท จำนวนประชากรของเผ่ามังกรจึงน้อยมาตลอด
คราวก่อนที่แดนแกนกลางเปิดออก เผ่ามังกรบุกเข้ามายกเผ่า เผ่าตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ทำศึกแย่งชิงกันดุเดือด เผ่ามังกรตายอยู่ที่นี่ไม่น้อย สุดท้ายมีสมาชิกเผ่ามังกรเพียงหยิบมือที่ได้ไปจากที่นี่อย่างเป็น ๆ
ภพเซียนขาดแคลนทรัพยากรรุนแรง การแย่งชิงระหว่างตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ไม่เคยหยุดพัก สถานการณ์วุ่นวายเป็นที่สุด
เผ่ามังกรพบเจอกับสถานการณ์เลวร้ายจนถึงแก่นในแดนแกนกลาง ตระกูลและลัทธิต่าง ๆ ไฉนเลยจะยอมปล่อยเผ่ามังกรไป สมาชิกเผ่ามังกรถูกสังหารจนสิ้น ในภพเซียนไม่เหลือมังกรแม้แต่ตัวเดียว
เพราะอย่างนั้น ศพมังกรที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้จึงไร้เจ้าของอย่างแท้จริง
หากว่าเผ่ามังกรยังอยู่ ย่อมไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตอื่นแตะต้องศพมังกร และจะนำศพมังกรที่ตายในที่แห่งนี้ไปด้วยทั้งหมด
“ใช่แล้ว”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสอีกตนหนึ่งก้าวออกมา นางเป็นแม่เฒ่าจากตระกูลเย่
นัยน์ตาของนางลึกล้ำ รูปลักษณ์ดูแก่ชรา ทว่าเปี่ยมพลังชีวิตน่าเกรงขามกว่าผู้ที่อยู่ในวัยกลางคนเสียอีก
“แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทั้งภูมิหลังทั้งรากฐานล้วนน่าตะลึง แต่แม่นางเอ๋ย ที่นี่คือภพเซียน เป็นถิ่นของเรา…มังกรมิอาจสู้งูเจ้าถิ่น แม่นางเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่”
นางกล่าวต่อ “พวกเราไม่จำเป็นต้องรบราฆ่าฟันกันหรอก ทุกคนมาเจรจากันอย่างสันติดีกว่า แม่นางว่าจริงหรือไม่”
“พวกเราล้วนมาด้วยกัน…”
“เรามาเจรจากันดีกว่าแม่นาง หากเจรจาลงตัว อย่าว่าแต่ศพมังกรตัวนี้เลย ศพของมังกรทุกตัวในที่นี้ รวมถึงศพมังกรที่ตระกูลเราสะสมไว้ล้วนยกให้แม่นางได้”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสตนอื่นก้าวออกมาแสดงจุดยืน
พวกเขาทั้งหมดล้วนแยบคายมากด้วยประสบการณ์ แม้ว่าก่อนเกิดเรื่องมิได้สนทนาตกลงกันมาก่อน แต่พวกเขาก็ยังเลือกอยู่ในแนวรบเดียวกันในทันใด ผนึกกำลังประจันหน้ากับพวกลั่วสุ่ย
ตอนนี้ พวกเขาต่างเข้าใจกันดีว่า พวกเขามีแต่ต้องผนึกกำลังเท่านั้นจึงจะสำเร็จ เวลานี้หากยังผิดใจกันภายในอีก พวกเขาก็ไม่ต้องคิดเลยว่าจะได้อันใดกลับมา
“ข้าไม่ต้องการเจรจา”
ลั่วสุ่ยส่ายหัว จุดยืนชัดเจน นางจะไม่เจรจาอันใดกับจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้
นางรู้ว่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้หมายปองสิ่งใด ก็แค่อยากได้พลังในตัวนางและมวยไทเก๊กของนางเท่านั้น
และสองอย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไหนนางก็จะไม่เปิดเผยทั้งนั้น
“แม่นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ พวกเรายังมิได้เจรจา แม่นางก็ด่วนปฏิเสธเรา แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าการเจรจาของเราจะไม่บรรลุข้อตกลง”
“ห้ำหั่นหันอาวุธใส่กันไป ไม่ดีกับพวกเราทุกฝ่าย!”
บรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสพากันขมวดคิ้วพลางเอ่ย
พวกเขารู้สึกว่าตัวเองอาจใช้ไม้อ่อนเกินไป ถึงทำให้ลั่วสุ่ยรู้สึกว่าพวกเขายอมให้รังแกกันง่าย ๆ
เพราะอย่างนั้นนางถึงได้หยิ่งผยอง ไม่แม้แต่จะคิดเจรจากับพวกเขา
“ไม่มีอันใดต้องเจรจาอีก เพราะไม่ว่าเรื่องใดที่อยากเจรจา ระหว่างเราก็ไม่มีทางบรรลุข้อตกลง ทุกท่านเก็บน้ำลายไว้เถิด” ลั่วสุ่ยกล่าว
“อย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวเอ่ย “แม่นางอย่าพูดจาเด็ดขาดเกินไปจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวแม่นางอาจเปลี่ยนความคิดก็ได้!”
เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แม่นางฝีมือล้ำเลิศเช่นนี้ มีคนของเราอยากประลองกับแม่นางไม่น้อย แม่นางวางใจได้ อย่าคิดมากนัก เป็นเพียงการประลองวัดฝีมือกันเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด”
ลั่วสุ่ยมีท่าทีแข็งกร้าว ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้เจรจาด้วยซ้ำ นี่นางเห็นพวกเขายอมให้รังแกง่าย ๆ จนบงการพวกเขาได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ
เขาตัดสินใจสำแดงพลังของฝ่ายพวกเขา ให้ลั่วสุ่ยได้รู้ว่าพวกเขาเองก็ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่าย ๆ และเป็นการบีบคั้นให้ลั่วสุ่ยเปลี่ยนใจ ยอมเจรจากับพวกเขา
ถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่อยากบาดหมางกับพวกลั่วสุ่ย หากมิใช่เช่นนั้น พวกเขาคงลงมือกำราบพวกลั่วสุ่ยไปนานแล้ว
สิ่งที่พวกเขายำเกรงคือกลุ่มอำนาจเบื้องหลังลั่วสุ่ย มิใช่พวกลั่วสุ่ยจริง ๆ
นางแข็งแกร่งก็จริง ทว่าก็มิได้ตึงมือสำหรับพวกเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงจักรพรรดิเซียนอาวุโสอย่างพวกเขา พวกเขาเชื่อว่า ลำพังจักรพรรดิเซียนที่บรรลุเลื่อนขั้นขึ้นใหม่ก็กำราบพวกลั่วสุ่ยได้แล้ว
ขอบเขตห่างกันเกินไป พวกลั่วสุ่ยจะสู้กับพวกเขาด้วยอันใด ผู้ที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดคงมิพ้นลั่วสุ่ย กระนั้นก็ยังเป็นเพียงราชันแห่งเซียนตนหนึ่งเท่านั้น
จักรพรรดิเซียนเป็นขั้นสูงสุดในขอบเขตเซียน เกินกว่าที่ขั้นรองจากนั้นจะทัดเทียมได้ นับแต่โบราณกาล ต่อให้เป็นผู้มีฝีมือโดดเด่นเพียงใด ก็ไม่มีทางต่อสู้ข้ามขั้นจนชนะจักรพรรดิเซียนได้ แม้แต่ว่าที่จักรพรรดิเซียนก็เป็นระดับที่ขั้นรองจากนั้นเทียบด้วยไม่ไหว
ตราบใดที่งพลังแตะถึงขั้นจักรพรรดิเซียน ล้วนกลายเป็นตัวตนเกินหยั่ง ไม่มีทางถูกแผ้วพานได้ง่าย ๆ
“ยุ่งยากเกินไป พวกท่านเข้ามาให้หมดเลยแล้วกัน…”
ลั่วสุ่ยส่ายหัว รู้ดีว่าจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้วางแผนอันใด คิดอยากทำให้พวกเขาสะท้านหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
อย่าว่าแต่ภพเซียนเลย กระทั่งในแดนบรรพโกลาหล ก็มิมีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะท้านได้
โอหังปานนี้เชียว?
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวคิ้วขมวดมุ่นในบัดดล หากมิใช่ว่ายำเกรงในกลุ่มอำนาจเบื้องหลังของพวกลั่วสุ่ย พวกเขาได้ซัดฝ่ามือใส่นานแล้ว
ทว่าลงท้ายพวกเขาก็อดทนไว้ได้ มิได้พลั้งมือลงไป หลังจากตกลงกันเพียงชั่วครู่ ก็เลือกจักรพรรดิเซียนผู้เพิ่งบรรลุขึ้นมาใหม่ไปต่อสู้กับลั่วสุ่ย
เดิมพวกเขาตั้งใจจะส่งกำลังรบระดับว่าที่จักรพรรดิเซียนไปสู้กับลั่วสุ่ย แต่คำนึงว่าลั่วสุ่ยโอหังเพียงนี้ จึงกลัวว่าลั่วสุ่ยยังมีไพ่ตายอยู่ พวกเขาตัดสินใจส่งจักรพรรดิเซียนตนหนึ่งไปรับศึกลั่วสุ่ย เพื่อเสริมบารมีของฝ่ายพวกเขา
นี่คือจักรพรรดิเซียนตนใหม่ในกองกำลังที่เรืองอำนาจอย่างมากในภพเซียน เป็นอสูรร้ายตนหนึ่ง รูปร่างคล้ายพยัคฆ์ มีหางอยู่เก้าหางด้วยกัน ใบหน้าเหมือนมนุษย์ กรงเล็บเหมือนเสือ มีนามว่าอสูรลู่อู๋
ลู่อู๋แข็งแกร่งมาก ต่อให้เป็นจักรพรรดิเซียนอาวุโสก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะลู่อู๋ได้ ส่งลู่อู๋ไปนับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
ลู่อู๋มั่นใจเต็มเปี่ยม นัยน์ตามีลำแสงน่าพรั่นพรึงพวยพุ่งสู่นภา ดุดันเกินกว่าจะจินตนาการได้!
“หากชนะข้าได้ ท่านนำศพมังกรตัวนี้ไปได้เลยตามสบาย!”
มันกระโจนตัวมาอยู่เบื้องหน้าลั่วสุ่ย พร้อมกล่าวกับนาง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เข้ามาได้เลย”
ลั่วสุ่ยมิได้เอื้อนเอ่ยอันใดให้มากความอีก นางเหินตัวขึ้น ประกายวาววามรายล้อมรอบตัว ยวนใจแต่ยังองอาจ นางเข้าต่อสู้กับลู่อู๋
ลู่อู๋แข็งแกร่งมากจริง ๆ บารมีสยดสยองแห่งจักรพรรดิเซียนท่วมท้นออกไป มิหนำซ้ำมันยังมิใช่จักรพรรดิเซียนดาษดื่น สู้ได้แม้กระทั่งจักรพรรดิเซียนอาวุโส!
มันเข้าต่อสู้กับลัวสุ่ย สะท้อนใจขึ้นมาราง ๆ ในเสี้ยววินาทีว่า คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ หลังมันบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนแล้วยังต้องประมือกับราชันแห่งเซียนอีก…
ทว่ามันมิได้สบประมาทลั่วสุ่ยเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด
กลับกัน เพราะลั่วสุ่ยเป็นเพียงราชันแห่งเซียนตนหนึ่ง มันถึงมิได้สบประมาท ซ้ำยังให้ความสำคัญอย่างมาก ระหว่างที่ลงมือมิได้ลังเลแต่อย่างใด เด็ดขาดเหลือคณา
ราชันแห่งเซียนตนหนึ่งหาญกล้าต่อสู้กับมันด้วยสีหน้าราบเรียบนิ่งสงบเช่นนี้ หากมิใช่ว่าลั่วสุ่ยมีไพ่ตายบางอย่าง ให้ตายอย่างไรมันก็ไม่เชื่อ!
ทันทีที่เริ่มต่อสู้ มันก็มองลั่วสุ่ยเป็นศัตรูตัวฉกาจ มิได้ยับยั้งพลัง สู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!
ลั่วสุ่ยรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลเมื่อเริ่มประมือกับลู่อู๋ ไม่แปลกที่ลู่อู๋จะมั่นใจในตนเองปานนั้น
อีกด้าน นัยน์ตาลู่อู๋เปล่งประกายประหลาดบางอย่าง มันเดาได้แต่แรกว่าลั่วสุ่ยไม่ธรรมดา ทว่าหลังได้ต่อสู้กับลั่วสุ่ยจริง ๆ มันถึงพบว่ามันยังประเมินลั่วสุ่ยต่ำไปนัก!
มันคิดว่าลั่วสุ่ยมีไพ่ตายบางอย่างในมือ และที่สู้กับมันไหวเพราะไพ่ตายที่ว่านี้
แต่ความจริงคือมันคิดผิดถนัด!
ลั่วสุ่ยมิได้ใช้ไพ่ตายแต่อย่างใด ยังคงเป็นลั่วสุ่ยคนเดิม ไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่ตายก็ต่อกรกับมันไหว!
มันตะลึงเหลือแสน พลังในตัวลั่วสุ่ยและวิชามวยนี้น่าครั่นคร้ามถึงเพียงนี้เชียวหรือ หลังจากสำแดงฤทธิ์เดชทั้งหมดออกมาแล้วถึงกับต่อสู้กับมันได้!
สิ่งมีชีวิตทุกตนในที่นี้สีหน้าเปลี่ยนแปลงกันไปหมด ต่างทึ่งในตัวลั่วสุ่ย ให้ตายอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าลั่วสุ่ยจะสู้กับลู่อู๋ไหว!
การต่อสู้ดำเนินต่อไปจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นเรื่อย ๆ ลั่วสุ่ยสำแดงปรมัตถ์แห่งมวยไทเก๊กออกมาทั้งหมด ต่อสู้กับลู่อู๋จนยากจะตัดสินแพ้ชนะ!
อีกด้าน เณรน้อยต้าเต๋อมิได้สนใจศึกระหว่างลั่วสุ่ยกับลู่อู๋
เขานิ่งมองสถานที่หนึ่งอยู่อย่างนั้น สายตาเหม่อลอยเล็กน้อย
“จริง…จริงหรือนี่”
เขาเอ่ยออกมาอย่างอดมิได้ สีหน้าเต็มตื้น ด้านที่เขากำลังมองอยู่ มีคนผู้หนึ่งที่เขาทั้งคุ้นเคยอย่างมาก และไม่เคยรู้จักอยู่!
พระอมิตาภะพุทธเจ้า!
เป็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าหรือนี่!
แม้ว่าเขาเดาได้นานแล้วว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าจะทำสำเร็จ ทลายขีดจำกัดของมนุษย์ บรรลุเป็นเซียน ดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ ทว่าเมื่อเขาได้เห็นพระอมิตาภะพุทธเจ้าจริง ๆ ก็ยังอดตื้นตันมิได้
“พระอมิตาภะพุทธเจ้า ท่านเห็นข้าหรือไม่ ข้าคือสาวกในพุทธศาสนา!”
เขาตะโกนใส่ด้านพระอมิตาภะพุทธเจ้าเสียงดัง หมายจะให้พระอมิตาภะพุทธเจ้ามองเห็นเขา
เขาที่บำเพ็ญธรรมะมาตั้งแต่เด็ก เลื่อมใสในพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก
แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนอย่างไร พระอมิตาภะพุทธเจ้าก็มิเคยจะแยแส กลับทำเหมือนมองไม่เห็นเขาอย่างนั้น
“พระอมิตาภะพุทธเจ้า!”
ขณะเดียวกัน พระอมิตาภะพุทธเจ้าท่องพระนามในใจ
มิใช่ว่าเขามองไม่เห็นต้าเต๋อ ตรงกันข้าม ตั้งแต่เขามาถึงที่นี่ ก็จำต้าเต๋อได้ในทันที และแน่ใจว่าต้าเต๋อคือสาวกในพุทธศาสนาของเขา!
เขาคุ้นเคยกับชุดจีวรที่ต้าเต๋อสวมใส่อยู่เป็นที่สุด นี่คือชุดจีวรที่ใช้เฉพาะในพุทธศาสนา สิ่งมีชีวตตนอื่นไม่มีทางมีมันในครอบครอง
ทว่าเขากลับมิได้เข้าไปทำความรู้จักกับต้าเต๋อ ไม่แม้แต่จะเหลียวมองต้าเต๋อ
ช่วยมิได้ เขาไม่ต้องการพลอยทำให้ต้าเต๋อต้องลำบากไปด้วย
เขาในยามนี้ อยู่ในการควบคุมของตระกูลกู่ เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลกู่ อยู่คนละฝ่ายกับต้าเต๋ออย่างไม่ต้องสงสัย
หากว่าเขาเข้าไปทำความรู้จักกับต้าเต๋อตอนนี้ จนสิ่งมีชีวิตตนอื่นรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับต้าเต๋อ เป็นไปได้ว่าตระกูลกู่จะใช้เขาเพื่อข่มขู่ต้าเต๋อ บีบบังคับให้ต้าเต๋อยอมเจรจากับพวกเขา
เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
หากมิใช่อย่างนั้น เขาคงเข้าไปทำความรู้จักกับต้าเต๋อนานแล้ว เขาอยากรู้เหลือเกินว่าพุทธศาสนาที่เขาสร้างขึ้นมาเป็นอย่างไรบ้างในยามนี้…
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สร้างพุทธศาสนา ย่อมห่วงใยในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
“บัดซบ พวกเขาทำอันใดกับพระอมิตาภะพุทธเจ้ากัน พวกเขาลบความทรงจำของท่านใช่หรือไม่”
ต้าเต๋อร้องลั่น “ข้าคือสาวกในพุทธศาสนาที่ท่านสร้างขึ้น ท่านจำมิได้แม้แต่พุทธศาสนาหรือ”
จากนั้น เขาเริ่มบริกรรมบทสวด หมายจะเรียกสติพระอมิตาภะพุทธเจ้าด้วยการนี้