ตอนที่ 165 ปฏิบัติการช่วยชีวิต 2
เดิมทีวิกเตอร์รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับครอบครัวของสวี่หลิงอวิ๋น แต่หลังจากผลการทดสอบยีนกรรมพันธุ์ออกมา พวกเขากลับเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
นอกจากนี้กลุ่มของสวี่หลิงอวิ๋นยังตกเป็นเป้าสายตาของสาธารณชน!
ถึงกับถ่ายทำโฆษณาเพื่อขอเครื่องหมายการค้าสำหรับเค้กของเธอ จดทะเบียนบริษัท คิดบรรจุภัณฑ์สำหรับเค้ก จากนั้นทุกคนก็สามารถหาซื้อเค้กของเธอในร้านสะดวกซื้อได้
สำหรับโอคาซี อีกฝ่ายก็มีความเก่งกาจมากเช่นกัน สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจนกลายเป็นอัจฉริยภาพทางซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเพื่อนที่มีความคิดเหมือนกันมาร่วมมือกันช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ของเกม และนำมาสู่เกมรูปแบบเอเลี่ยนที่ร้อนแรง จนได้รับความนิยมไปทั่วทั้งพื้นทวีป
หากทุกวันนี้ใครไม่เล่นเกมออนไลน์เอเลี่ยนระหว่างห้วงดวงดาว คนเหล่านั้นคงจะต้องอับอายที่เรียกตนเองว่าเป็นชายหนุ่ม
ทั้งสองกลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่แพรวพราวที่สุดในทวีป มีรถยนต์คันหรูคอยไปรับและไปส่ง สำหรับชายชราที่เต้นรำบนลานกว้างทุกวัน ยังคงกระปรี้กระเปร่าเหมือนเช่นเคย
ตอนนี้ลูกสาวและลูกเขยของเขากำลังมีอนาคตที่สดใส ขณะที่ทีมเต้นรำบนลานกว้างได้เผยแพร่ออกเป็นวงกว้าง จนผู้คนจำนวนมากเข้ามาติดตามและกลายเป็นกระแสนิยม จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเต้นรำบนลานกว้างด้วยเช่นกัน ทั่วทั้งทวีปต่างรู้สึกปีติยินดีขณะขยับร่างกายตามจังหวะการเต้นรำบนลานกว้าง
วิกเตอร์เดินออกจากฐานทัพลับ
ขณะที่เขากำลังเดินไปที่ร้านเค้กสาวน้อยสวี่ เพื่อนของเขาที่ขับรถยนต์คันหรูเข้ามาจอดในร้านจอดรถ ก็ผิวปากเมื่อเห็นวิกเตอร์ “เฮ้ เพื่อนยาก นายหล่อขึ้นอีกแล้วนะ!”
“ไปให้พ้น!” วิกเตอร์กล่าวอย่างขุ่นเคือง “มีอะไรอีก? อย่าบอกนะว่าแค่ชวนมากินเค้ก”
“เฮ้ อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันก็บอกแล้วไงว่าชวนนายมากินเค้ก” จู้สืออวี่ตบไหล่ของเขา “มาเถอะ ฉันจะแนะนำให้รู้จับกับเพื่อนของฉัน”
“เพื่อนคนไหน?” วิกเตอร์เดินตามเขาไป “อย่าบอกนะว่านายจะแนะนำแฟนสาวให้ฉันรู้จัก ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องหรอก”
“เฮ้ ครั้งนี้ไม่เหมือนกันสักหน่อย ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักกับเจ้าของร้านเค้ก! สาวน้อยสวี่ในตำนาน!” จู้สืออวี่กล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้น “เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ด้อยกว่าด้วยนะ!”
“ฉันขอถามหน่อยถ้านายมีเวลาแค่ครึ่งปี นายจะสามารถเติบโตจากเจ้าของร้านเค้กเล็ก ๆ ที่ไม่คนรู้จักจนกลายมาเป็นเจ้าของร้านเค้กชื่อดังบนแผ่นดินใหญ่ได้ไหมล่ะ?! เป็นฉันคงทำไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก” จู้สืออวี่กล่าว “แต่ว่าดาราดังอย่างนายคงทำได้อยู่แล้วล่ะ”
วิกเตอร์ส่ายศีรษะและคิดในใจ เขาเคยพบกับสาวน้อยสวี่แล้ว ทำไมถึงยังพาเขามาที่นี่อีก?
ทว่าเขากลับไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเพื่อน
“ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังทำโฆษณาชิ้นใหม่อยู่ และกำลังมองหาดาราหนุ่มสุดหล่อมาช่วยงานนี้ ฉันเลยพานายมาที่นี่ไงล่ะ”
“นายคิดว่าตอนนี้ฉันขาดแคลนงานโฆษณาหรือไง?” วิกเตอร์จ้องมองเพื่อนของตนเองอย่างเหลืออด
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันได้ยินมาว่าใครก็ตามที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนร้านเค้กของสาวน้อยสวี่จะได้รับคูปองร้านเค้กสาวน้อยสวี่ฟรีถึงสิบปี สิบปีเชียวนะ!”
จู้สืออวี่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “นายก็รู้ว่าถึงราคาเค้กของร้านสาวน้อยสวี่จะดูไม่แพง แต่ก็ยังแพงอยู่ดี แล้วนายก็รู้ว่าบ้านน้องชายของฉันกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เพราะงั้นคูปองฟรีพวกนั้นขึ้นอยู่กับนายนะ!”
“สถานการณ์บ้านของนายไม่มีกำลังซื้อเค้กหรือไง?” วิกเตอร์ส่ายศีรษะ “เจ้าเพื่อนยาก นายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่อีก?”
จู้สืออวี่จ้องมอง และอดไม่ได้ที่จะแสดงปรารถนาอันแท้จริงของเขาออกมา “อืม ฉันได้ยินมาว่าแฟนของสาวน้อยสวี่เป็นคนสร้างเกมเอเลี่ยนระหว่างห้วงดวงดาวไม่ใช่เหรอ? ฉันอยากได้ไอเทมสุดยอดบ้างอ่ะ”
ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่จู้สืออวี่กล่าวออกไป
ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านเค้กภายใต้สายตาที่อิจฉาริษยาของคนอื่น ๆ พวกเขาเดินเข้าไปในร้านเค้กขนาดเล็กแห่งนี้ขณะที่ปลายแถวไปจนอยู่ที่ถนน
สวี่หลิงอวิ๋นรอคอยมาเป็นเวลานานมากแล้ว
เธอเต็มใจที่จะติดต่อกับจู้สืออวี่เพราะดูเหมือนว่าพ่อของจู้สืออวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ดูแลระดับกลางที่ทำหน้าที่ดูแลคุกร้างที่อยู่ชั้นใต้ดิน
ขณะที่โอคาซียังคงตรวจสอบคุกร้างใต้ดิน
ทางเข้าของคุกร้างใต้ดินถูกซ่อนเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่เนื่องจากสัญญาณที่ผันผวน พวกเขาจึงบุกเข้าไปข้างในนั้นได้อย่างรวดเร็ว
หากเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากที่จะบุกเข้าไปข้างในทั้งอย่างนั้น ทว่าความจริงแล้ว มันกลับไม่ง่ายเลย
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาก็พบว่าหากมันง่ายที่จะบุกเข้าไป แล้วจะออกไปอย่างง่ายดายได้หรือ? ดังนั้นจะต้องใช้ไหวพริบ
ประจวบเหมาะกับที่เธอเริ่มเปิดร้านเค้กและทำการโฆษณาเค้กของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงต้องการดาราดังมาเป็นตัวแทนให้กับผลิตภัณฑ์ของเธอ
แน่นอนว่าไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึงรางวัล เพราะพวกเขาจะได้รับคูปองฟรีถึงสิบปีและนั่นเป็นอะไรที่สวี่หลิงอวิ๋นจะต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ชายหนุ่มคนนี้เสนอชื่อเพื่อนของเขาโดยทันที เดิมทีสวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับวิกเตอร์คนนี้มากนัก เพราะอย่างไรเสีย เธอก็ยังมีแลนซ์อยู่ จะต้องการคนอื่นไปทำไม?
แลนซ์จะกล้าขอเงินจากเธออย่างนั้นเหรอ? หรือกล้าขอคูปองฟรีจากเธอหรือเปล่า?
เดิมทีเธอตั้งใจจะจับเสือมือเปล่า แต่ตอนนี้ ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดถึงจับเสือมือเปล่าเลย คาดว่าจะต้องใช้เบี้ยจำนวนมาก
หากไม่บังเอิญพบว่าชายหนุ่มผู้นี้คือลูกชายของผู้ดูแลระบบ ใครจะอยากติดต่อชายหนุ่มคนนี้กันเล่า!
วิกเตอร์และจู้สืออวี่เข้ามาในร้าน
สาวน้อยสวี่ยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย เธอไม่ได้แต่งตัวมากนัก ไม่แม้แต่จะแต่งหน้า ซึ่งมีความเป็นธรรมชาติอย่างมาก
ถึงผิวจะมีสีคล้ำ แต่ดวงตากลับดูมีเสน่ห์และสว่างสดใส
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเดินเข้ามา เธอก็ลุกขึ้นยืน “โย่ คนกันเองนี่ มานั่งก่อนสิคะ”
วิกเตอร์ยิ้มออกมาเช่นกัน
จู้สืออวี่ยังคงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองคนมีท่าทางที่เป็นกันเอง เขาก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยและนั่งลงพร้อมกับวิกเตอร์
“พวกคุณรู้จักกันเหรอครับ?” จู้สืออวี่จ้องมองการแสดงออกของทั้งสองคนหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้
“ใช่แล้วค่ะ ฉันจะไม่รู้จักดาราดังสุดหล่อแบบนี้ได้ยังไงล่ะคะ? ตอนที่ฉันยังอยู่ที่เมืองหวางเจีย สุดหล่อคนนี้เคยมาที่ร้านของฉันแล้วค่ะ” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “พอเห็นว่าคุณเสนอชื่อของคุณวิกเตอร์ ฉันก็ตอบรับคุณทันทีเลยล่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง! ไม่แปลกใจเลย!” จู้สืออวี่ตระหนักได้ในทันที
“ผมสงสัยว่าทำไมคุณถึงไม่เลือกแลนซ์ล่ะครับ?” หลังจากที่ทั้งสองสามคนคุยกันสักพักหนึ่ง วิกเตอร์ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
ทุกคนรู้ดีว่าที่ร้านเค้กของสาวน้อยสวี่ได้รับความนิยมมาอย่างล้นหลาม นั่นมีเหตุผลมาจากแลนซ์ที่แวะมาเยี่ยมชมที่นี่
หากแลนซ์ไม่ได้เดินทางมาเพื่อกินเค้กของสวี่หลิงอวิ๋นที่นี่ ปัจจุบันร้านเค้กของสาวน้อยสวี่ก็คงจะยังเป็นร้านเค้กธรรมดาในเมืองต่ำต้อยอยู่
“คุณหมายถึงแลนซ์น่ะเหรอคะ!” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายศีรษะ “เขาเหมาะสมค่ะ แต่แฟนของฉันรู้สึกกังวลมาก เพราะงั้นฉันถึงตัดเขาออกจากตัวเลือกค่ะ”
“แฟนกังวลเหรอครับ? หมายความว่ายังไง?” วิกเตอร์ไม่เข้าใจสิ่งที่สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวออกมา
“แฟนของฉันคิดว่าแลนซ์หล่อเกินไปค่ะ ก็เลยกลัวว่าเขาจะมาคุกคามฉันน่ะค่ะ!”
หล่อเกินไป? วิกเตอร์รู้สึกราวกับว่าตัวเขาได้กลายเป็นตัวซวยอย่างไร้เหตุผล
นี่หมายความว่าตัวเขาไม่ได้ดูคุกคามอย่างนั้นหรือ? เขาไม่ได้ดูดีไปกว่าแลนซ์เลยใช่ไหม? ถึงแม้ว่านี่จะเป็นความจริง แต่มันก็เจ็บปวดเกินไปที่จะกล่าวออกมาแบบนั้นหรือเปล่า?!