ตอนที่ 166 ปฏิบัติการช่วยชีวิต 3
วิกเตอร์ขมวดคิ้วและแสร้งทำเป็นโน้มตัวลงเพื่อก้มดื่มชา ขณะที่จู้สืออวี่ที่นั่งอยู่อีกฟากยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร เพียงแต่พยายามตีสนิทสวี่หลิงอวิ๋น “น้องสาวสวี่ แฟนของน้องยอดเยี่ยมมากเลยครับ! ความสัมพันธ์ของพวกคุณก็ยังดีอีกต่างหาก!”
“แหม ก็เรื่อย ๆ น่ะค่ะ!” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวอย่างถ่อมตัว แต่การกระทำของเธอกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเธอรู้สึกภูมิใจมาก!
“นี่จะว่าไปแฟนของฉันน่ะ เขาเป็นคนค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว แต่เขากลับจริงจังกับฉันเกินกว่าเหตุ หึหึ พวกคุณคงไม่เข้าใจหรอกค่ะว่าเขาจับตามองฉันทั้งวันทั้งคืน เพราะกลัวว่าฉันจะไปตอบตกลงแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น!”
“ที่ฉันกล้าเรียกพวกคุณมาครั้งนี้ เพราะว่าแฟนของฉันไม่อยู่ เพราะงั้นฉันถึงกล้าเรียกพวกคุณมายังไงล่ะคะ!”
นี่เป็นเหมือนประโยครุนแรงที่คอยทุบตีคนโสด!
วิกเตอร์รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะคลายเนกไทออก “แล้วคุณไม่กลัวว่าแฟนของคุณจะหึงเหรอครับ ถ้าเขากลับมาเจอแบบนี้?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกลัว!” สวี่หลิงอวิ๋นโบกมือ “พวกเราก็ใกล้จะคุยกันเสร็จแล้วนี่คะ แล้วฉันจะหาทนายความมืออาชีพมาเซ็นสัญญากับคุณ ไม่ต้องกลัวค่ะ”
“แต่ว่า…” ก่อนที่จู้สืออวี่จะกล่าวจบ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอยู่ด้านหน้าโต๊ะของพวกเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเลย นี่คือใบหน้าดำทะมึนของเสี่ยวเอ๋อเหอ
“นี่คือคุณโอคาซีใช่มั้ยครับ?” ปากของชายหนุ่มสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น และลุกขึ้นยืนขณะจ้องมองไอดอลของเขา
โอคาซีขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่านี่คือจู้สืออวี่ ลูกชายของเจ้าหน้าที่พนักงานฝ่ายดูแล
ทว่าคราวนี้เขากลับไม่ได้โฟกัสไปที่จู้สืออวี่ แต่กลับจ้องมองวิกเตอร์แทน
ไม่นานมานี้เขาอยู่บริเวณใกล้เคียงกับคุกร้างใต้ดินตลอดเวลา และสามารถเห็นการเข้าออกของวิกเตอร์ได้โดยธรรมชาติ
เพียงเพราะพลังจิตของเขาติดตามวิกเตอร์ไปยังประตูทางเข้า และพบว่ามีอุปกรณ์บางอย่างในคุกร้างใต้ดินที่สามารถป้องกันพลังจิตได้
มันอาจจะไม่ได้ปิดกั้นพลังจิตโดยเฉพาะ แต่น่าจะมีโลหะบางอย่างที่สามารถป้องกันพลังจิตได้ ดังนั้นโอคาซีจึงไม่สามารถติดตามเข้าไปข้างในได้
วิกเตอร์ผู้เป็นตำนานคนนี้เป็นบุตรนอกกฎหมายของคณบดีสถาบันฮั่วเลี่ย และตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้สูง
กล่าวได้ว่าวิกเตอร์น่าจะมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบางอย่าง และรู้สึกว่ามันเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะเริ่มต้นสืบสวนจากวิกเตอร์
ทันทีที่เห็นว่าวิกเตอร์มาถึงประตูหน้าร้านเค้กของตนเองแล้ว เขาจึงเดินตามจู้สืออวี่เข้าไปในร้านเค้กของตนเองเช่นกัน รอคอยอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปปรากฏตัวขึ้น
ราวกับแฟนหนุ่มที่ขี้หึง…
โอคาซีพยักหน้าให้กับจู้สืออวี่เล็กน้อย แล้วจึงเดินไปนั่งลงด้านข้างสวี่หลิงอวิ๋นพร้อมทั้งจับมือของเธอเอาไว้ สวี่หลิงอวิ๋นปล่อยให้เขาจับมือของเธอเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันไปพูดคุยกับพวกเขาต่อ
“เห็นหรือยังล่ะคะ? ไอ้คนขี้หวง!” สวี่หลิงอวิ๋นลูบศีรษะของแฟนหนุ่มและยิ้มออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “เอาล่ะ คุณวิกเตอร์ คุณอยากเป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์ของฉันไหมคะ? ฉันให้คำมั่นสัญญาว่าค่าตัวของคุณในการเป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์ของฉันจะไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลักแน่นอน”
อั่ก!
มันทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดแทบตาย!
วิกเตอร์พยักหน้า
ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพราะเพื่อเงิน จึงไม่ควรปฏิเสธไม่ใช่เหรอ?
นอกจากนี้ ถ้าตัวเขาไม่รับงานนี้ คนอื่นก็คงจะมารับงานนี้อยู่ดี มันคงดีเสียกว่าถ้าจะรับงานนี้ด้วยตนเอง
ถึงจะเป็นลูกชายของคณบดีที่ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก และไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ตามจริงแล้วเขายากจนมาก
บุตรนอกกฎหมายไม่สามารถสืบทอดธุรกิจของครอบครัวได้ บุตรที่เป็นทายาทตามกฎหมายเท่านั้นจึงจะสามารถสืบทอดธุรกิจของครอบครัวได้
บุตรนอกกฎหมายเหล่านี้มีชื่อเสียงและได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก บางอย่างที่คนธรรมดาไม่มี พวกเขาเพียงเกิดมาเป็นข้ารับใช้ให้กับบุตรที่เป็นทายาทตามกฎหมาย
ไม่มีเงินให้พวกเขาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ดังนั้นพวกเขาจะต้องหาเงินด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ ใกล้ชิดกับทายาททั้งหลายเพื่อให้ได้รับค่าจ้าง
วิกเตอร์โชคดีที่ตัวเองมีชีวิตที่ดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะเดบิวต์เป็นดารา เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีมันกลับไม่ได้เลวร้ายนัก อีกทั้งยังนับได้ว่าเขาร่ำรวยที่สุดท่ามกลางทายาททั้งหลาย
แต่เมื่อเขาร่ำรวยขึ้น ปัญหามากมายก็ย่อมตามมาจนต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องคอยหาเงินจำนวนมหาศาลมาเพื่อใช้จัดการกับปัญหาทั้งหลาย
หลังจากที่ทั้งสองตกลงกันเรื่องเงินและจับมือซึ่งกันและกัน จู้สืออวี่ก็จ้องมองโอคาซีอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามีคำพูดนับหมื่นคำที่ต้องการเอื้อนเอ่ย แต่กลับไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป
จนวิกเตอร์ต้องอธิบายให้เขาฟัง “ไอ้เจ้านี้มันแค่อยากได้ไอเทมตัวท็อปน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”
“ได้สิคะ!” สวี่หลิงอวิ๋นรีบตอบออกไปโดยทันที “ก็แค่หักห้าเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนของคุณเท่านั้นเองค่ะ”
หากกล่าวถึงเรื่องเงิน สวี่หลิงอวิ๋นนั้นหัวแหลมกว่าใคร ก่อนจะยกเรียวนิ้วขึ้นมาทำท่านับเลข “พวกคุณลองคิดดูนะคะ ไอเทมสุดยอดตัวนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น แล้วถ้าเป็นเรื่องเงินน่ะ คุณสามารถขายมันทิ้งหลังจากที่คุณใช้มันเสร็จแล้วก็ได้นี่คะ หึหึ ถ้าเป็นแบบนั้นน่าจะมีคนรวยทั้งหลายอยากจะซื้อมันเยอะเลยไม่ใช่เหรอคะ?”
จู้สืออวี่จ้องมองวิกเตอร์ด้วยสายตาเว้าวอน ชายหนุ่มคนนี้เป็นเพื่อนไม่กี่คนในวงการบันเทิงของวิกเตอร์ และเขาไม่อาจทนได้หากต้องปฏิเสธออกไป
เขาตอบตกลง ทว่ายังคงทำการต่อรองราคา หลังจากการต่อรองราคาสิ้นสุดลง วิกเตอร์ก็ตัดสินใจจะหักเงินเดือนของตนเองออกสามเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนที่เขาจะต้องได้รับ
สิ่งนี้ทำให้คนทั้งสองพอใจ
หลังจากเห็นว่าทั้งสองเดินออกไปแล้ว สวี่หลิงอวิ๋นจึงถามโอคาซีว่า “ทำไมคุณถึงแปะหุ่นยนต์นาโนไว้บนร่างกายของวิกเตอร์ล่ะคะ?”
หุ่นยนต์นาโนตัวนี้ไม่ธรรมดา และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกมันเป็นทหารซุ่มโจมตีของจักรวรรดิชิงเหย้า
เพียงแค่กดเปิดก็จะสามารถเห็นรายละเอียดยิบย่อยได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม
“เพราะว่าผมเห็นวิกเตอร์ออกมาจากคุกชั้นใต้ดินครับ” โอคาซีกล่าวถึงความสงสัยของตนเอง
สวี่หลิงอวิ๋นลูบคางของตนเอง นั่นเป็นผลพลอยได้ที่เธอคาดไม่ถึง
ไม่น่าเชื่อว่าดาราดังคนนี้จะเป็นลูกชายของคณบดีสถาบัน
มันน่าเหลือเชื่อใช่ไหม? คล้ายคลึงกับลูกชายของผู้นำประเทศในชาติก่อนของเธอที่จะเลือกจะเป็นดาราเช่นกัน เหลือเชื่อจริง ๆ
เมื่อมาลองคิดดูแล้ว ทวีปแห่งนี้ช่างน่าแปลกประหลาดนัก ไม่มีรัฐชาติ มีเพียงสถาบัน
โดยปกติแล้ว วิกเตอร์ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีหุ่นยนต์นาโนอยู่บนเส้นผมของตัวเอง เขาเพียงแต่ยุ่งมากตลอดทั้งวัน หลังจากออกมาจากสตูดิโอแล้วก็ไปยังโรงละครอีกที่หนึ่ง
สวี่หลิงอวิ๋นเฝ้าดูอยู่นานและเกือบจะผล็อยหลับไป ขณะที่โอคาซีเองก็ทำอะไรไม่ถูก
แม้แต่กับจู้สืออวี่ก็ยังหมดหวัง เพราะไม่เห็นพ่ออ้วนท้วมผู้ดูแลระบบของเขาที่บ้านมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว
จนตกอยู่ในสภาวะชะงักไปชั่วขณะ
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกกระสับกระส่ายจึงเดินทางไปยังคุกร้างที่อยู่ชั้นใต้ดิน และอยากจะมุ่งหน้าลงไปอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะนั้นก็เห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาอย่างเชื่องช้า
คนทั้งสองรีบก้มลงอย่างรวดเร็ว คนคนนั้นคือวิกเตอร์
“เชี่ย! ผู้ชายคนนี้ตั้งใจทำหรือยังไง? ทำไมต้องรอตั้งหลายวันถึงจะแวะมาที่นี่?”
สวี่หลิงอวิ๋นบ่นออกมาด้วยเสียงอุบอิบ ขณะที่โอคาซีคอยลูบศีรษะของเธอ
“ฉันจะลองดูว่าฉันจะผนึกเข้าไปในร่างของวิกเตอร์ได้ไหม” สวี่หลิงอวิ๋นกล่าว
เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นดั่งผีสาวที่มักจะคอยสิงร่างของคนอื่นอยู่บ่อย ๆ ถึงจะยังไม่เสียชีวิตลง แต่กลับกลายเป็นผีไปเสียแล้ว
“เดี๋ยวก่อนครับ” โอคาซีจับมือของเธอเอาไว้ “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นสิครับ”
ที่แห่งนี้มีบางอย่างที่สามารถปกป้องพลังจิตได้ ถ้าหากยังไม่มั่นใจ ก็ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน
สวี่หลิงอวิ๋นเห็นด้วย
โชคดีที่หุ่นยนต์นาโนติดตามวิกเตอร์เข้าไปจนถึงคุกร้างที่อยู่ชั้นใต้ดิน