ตอนที่ 192 การโจมตีของเอเลี่ยนเกอหลัวผู้น่ารัก 8
“นักเรียนกลุ่มนี้มาจากชั้นปีที่สี่ครับ พวกเขากำลังจับตั๊กแตนอยู่เช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่ากระบวนการของพวกเขาจะยังดูห่างไกลจากนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งอยู่นะครับ”
พิธีกรกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากความเห็นอกเห็นใจ “บางทีแค่การร่วมมือในระดับเดียวกันอาจจะไม่เพียงพอ”
“พวกเขาอยู่ในระดับ 6 ดาวทั้งหมดห้าคน และอีกสามคนอยู่ในระดับ 5 ดาว” พิธีกรกล่าวอย่างต่อเนื่อง “บางทีอาจจะเป็นความแข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าใครจะเป็นผู้นำและใครเป็นผู้ตาม ทุกคนดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”
ก็นั่นน่ะสิ ถึงจะมีระดับ 5 ดาวอยู่ถึงสามคน แต่ก็แค่เท่านั้น อย่างไรเสีย พวกเขาจะต้องอยู่ภายใต้การบัญชาการของระดับ 6 ดาวอยู่ดี และระดับ 6 ดาวก็ไม่มีใครยอมใคร พวกเขาล้วนอยากเป็นผู้บัญชาการ
มันยากมากที่บุคคลทั้งสามที่อยู่ในระดับ 5 ดาวจะต้องขับไล่ตามเอเลี่ยนตั๊กแตนกันเป็นก๊วน
ส่งผลให้ทั้งกลุ่มได้รับเอเลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ดังนั้นพลังสามัคคีจึงยิ่งใหญ่มากครับ ถ้าพวกเขายังเลือกไม่ได้ว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้ากลุ่ม เพราะฉะนั้นก็อย่าได้คิดถึงถังน้ำหวานเลยครับ”
พิธีกรกล่าวด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย “ทุกคนต่างคิดว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งจะต้องตามหลังกลุ่มอื่น แต่ตอนนี้พวกเราก็ได้เห็นกันแล้วว่าพวกเขาเปลี่ยนข้อเสียของตนเองให้กลายมาเป็นข้อได้เปรียบ การแบ่งหน้าที่ค่อนข้างชัดเจน และทุกคนอยู่ในระเบียบ”
สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า
คณะอาจารย์ต่างยิ้มอย่างมีความสุข
หลังจากไล่ล่ามาเป็นเวลาสามวัน แน่นอนว่าฝ่ายที่คว้าชัยชนะมาได้ย่อมเป็นเหล่าทหารทั้งหลาย กลุ่มที่สิบหกซึ่งเป็นหนึ่งในพวกเขาสามารถไล่ล่าปลาหมึกยักษ์ได้เกือบห้าร้อยตัว ต่างกับกลุ่มที่แย่ที่สุดซึ่งไล่ล่ามาได้เพียงหนึ่งร้อยตัวเท่านั้น
มาต่อกันที่นักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง พวกเขามีความเชี่ยวชาญในการไล่ล่าเอเลี่ยนตั๊กแตน เอเลี่ยนตั๊กแตนถูกกองเป็นพะเนินสูงเหมือนกับภูเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคว้าชัยชนะมาไม่ได้ แต่ทุกคนกลับยิ้มแย้มแจ่มใส
การร่วมมือกันระหว่างพวกเขาเป็นอันรู้กัน การทำงานร่วมกับแผนกสาขาอื่น ๆ เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น และพวกเขาเริ่มคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
และพวกเขาสามารถเอาชนะนักเรียนชั้นปีที่สี่ได้!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก!
แน่นอนว่านักเรียนชั้นปีที่สี่รับรู้ได้ถึงความหม่นหมอง และความตึงเครียด
ขายหน้าเหลือเกิน! ทุกคนรู้สึกหดหู่ใจจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
หลี่ซิวถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งกว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับพ่ายแพ้เด็กพวกนั้น และนั่นทำให้เขาคาดไม่ถึง
เพื่อนร่วมชั้นทั้งหลายแสดงความสามารถออกมาไม่ได้เต็มที่นัก และในฐานะหัวหน้า เขาควรรับผิดชอบเรื่องนี้
โรเบิร์ตไม่พอใจและตะโกนออกไปว่า “เพราะพวกเขาใช้น้ำหอมของนักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมมาเป็นกับดัก ถึงได้ไล่ล่ามาเยอะขนาดนั้น ถ้าเกิดไม่มีน้ำหอมขวดนั้น พวกเราก็คงชนะแน่นอน!”
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งหงุดหงิดเมื่อได้ยินดังนั้น!
“ถ้ามีความสามารถจริง ยังจะต้องกลัวน้ำหอมหรือไง? พวกพี่ไม่ควรมาดูถูกนักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมหรือเปล่า? ฮ่า ๆ!”
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งไม่หวาดกลัวนักเรียนชั้นปีที่สี่อีกต่อไป และเริ่มต่อเถียงกับนักเรียนชั้นปีที่สี่
หัวหน้าของพวกเขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวนักเรียนชั้นปีที่สี่หรอก!
การแข่งขันไล่ล่าเอเลี่ยนล้วนถูกถ่ายทอดสด รวมถึงท่าทางมั่นใจของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นเต็มตาต่อหน้าของชาวเน็ตเช่นกัน
บนหัวข้อข่าวออนไลน์ของสถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิ:
[หัวหน้าว่าหยิ่งผยองแล้ว ผู้ติดตามกลับหยิ่งผยองยิ่งกว่า!] นี่คือคำพูดที่ฉุนเฉียวของนักเรียนชั้นปีที่สาม
[นั่นน่ะสิ! คราวที่แล้วที่องค์หญิงสามไม่อยู่ ก็ไม่ใช่ว่าเด็กพวกนั้นไม่รู้นี่น่า เด็กปีหนึ่งพวกนั้นแทบอยากจะหลบไปซ่อนตัวหลังโรงเรียน ดูสิว่าคราวนี้ยังจะกล้าลองดีกับพวกรุ่นพี่อยู่อีกไหม!]
[ทำไม อิจฉาหรือไง? อิจฉานักก็ไปซ้ำชั้นไป!] นี่คือคอมเมนต์จากนักเรียนต่างสถาบันที่แฮกเข้ามาตามสายอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนและเยาะเย้ยพวกเขา!
[บัดซบ ไอ้สารเลวจากสถาบันไหนกล้ามาเยาะเย้ยพวกเรา? พี่น้องทั้งหลาย มาเลียนแบบเจ้าคนนี้กัน พวกเราไปแฮ็กอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนพวกมันกันเถอะ!]
[เอาเลยสิ! เอาเลย ถ้ามีความสามารถนักล่ะก็!] นักเรียนต่างสถาบันยังคงเย้ยหยัน
[เฮ้! ฉันหงุดหงิดแล้วนะ! ถึงเราจะทำอะไรองค์หญิงสามไม่ได้ แต่นายที่มาจากต่างสถาบันคิดว่าพวกเราทำอะไรไม่ได้หรือไง? รอก่อนเถอะ! ช่างเทคนิคจะเข้าไปหาเดี๋ยวนี้แหละ!]
[อย่าเพิ่งได้ใจไป!]
—
คณบดีพูลแมนก็พึงพอใจมากเช่นกัน
ชาวเน็ตผู้สูงอายุทั้งหลายเคยไปสนามรบมาบ้างแล้ว เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงครวญครางของนักเรียนชั้นปีที่สี่ ก็อดนึกถึงช่วงเวลาอันวัยเยาว์ของตนเองไม่ได้
[ดูคล้ายกับช่วงเวลาของพวกเราเลยไหม? ในตอนนั้นพวกเราใกล้จะเรียนจบแล้ว และก็ทำท่าทีโอ้อวดใส่นักเรียนชั้นปีหนึ่งกับปีสองเหมือนกันใช่ไหม? ชอบทำตัวอินดี้ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้ดูบ้าบอแบบนั้นนะ แค่ไม่รู้จักการต่อสู้ร่วมกันเท่านั้น]
[ใช่ ผมยังจำตอนนั้นได้ดี ในการต่อสู้ครั้งแรกผมสามารถเอาชนะเอเลี่ยนปลาหมึกยักษ์ได้เพียงลำพัง ผมรู้สึกภูมิใจในตนเองมากจนไม่อยากทำงานร่วมกันคนอื่น แต่ครั้งที่สองกลับเกิดปัญหามากมาย ถ้าไม่ใช่เพราะกลุ่มทหารที่ติดตามมาทีหลัง บางทีผมอาจเสียชีวิตไปแล้ว]
[การที่เด็กพวกนี้ต้องทุกข์ทนมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนักหรอก ดีกว่าที่พวกเขาต้องไปชดเชยความผิดพลาดในชีวิตที่สนามรบ]
เมื่อทั้งกองทัพกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เอเลี่ยนเกอหลัวก็มาเข้าร่วมด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามพวกมันปฏิเสธที่จะให้สวี่หลิงอวิ๋นนำเอาแขนกลกลับไป
พวกมันสามารถรับรู้ได้ว่าแขนกลเหล่านี้จะช่วยปรุงอาหารอันแสนอร่อยได้
หากแขนกลหายไป พวกมันจะกินดื่มอย่างไร? ไม่มีทาง! เอากลับไปไม่ได้!
สวี่หลิงอวิ๋นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทิ้งแขนกลเอาไว้ นอกจากนี้เธอยังเสียสูตรอาหารมากมายให้กับคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นเอเลี่ยนเกอหลัวทั้งหลายก็สามารถกินอะไรที่พวกมันต้องการก็ได้
เนื้อตั๊กแตนผ่านกระบวนการบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว และเตรียมจัดส่งไปที่เมืองหลวง
สำหรับของเหลวบริเวณข้อต่อต้นขาของตั๊กแตนจะถูกแปรรูปเป็นปุ๋ยเพื่อนำไปใส่ในไร่อ้อย
ภายใต้พื้นดินที่ไม่มีใครมองเห็น หลังจากที่ต้นอ้อยดูดซับของเหลวเหล่านั้นแล้ว น้ำอ้อยที่แต่เดิมเป็นสีเหลืองโปร่งใส บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง
นอกจากนี้รสชาติของมันยังหวานขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกรูปแบบหนึ่ง
น่าเศร้าที่สวี่หลิงอวิ๋นได้จากไปแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มเล็ก ๆ ที่ประจำการอยู่บนนี้
เอเลี่ยนเกอหลัววิ่งเล่นกันทั้งวัน และไม่เจอสิ่งผิดปกติอะไร
ณ สถาบันวิจัยแห่งจักรวรรดิ นักวิจัยทั้งหลายต่างปรบมือกันเสียงดังก้องอย่างล้นหลาม
“วิเศษไปเลย! ในที่สุดพวกเราก็ทำการวิจัยสำเร็จ!”
นักวิจัยทั้งหลายจ้องมองหินสีดำขนาดเล็กในมือของพวกเขา พวกเขาใช้เวลาศึกษาหินก้อนนี้มาเป็นเวลานานหลังจากได้รับมันมาจากองค์หญิงสาม และในที่สุดพวกเขาค้นคว้ามันได้สำเร็จ
“ตามจริงแล้วหินก้อนนี้เป็นอุปกรณ์ป้องกันทางธรรมชาติ ถ้าเกิดเอามันใส่เอาไปในเกาะป้องกันของเครื่องจักรกล เครื่องจักรกลจะสามารถป้องกันคลื่นตรวจจับจากภายนอกได้!”
“นอกจากนี้ยังสามารถเอาไปใส่ไว้ด้านนอกของฐานทัพได้ เพราะมันจะทำให้เอเลี่ยนระดับสูงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของฐานทัพ! อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ศัตรูตรวจพบพวกเรา หากเอามันไปใส่ไว้บนพื้นผิวของยานอวกาศ!”
“นั่นหมายความว่ามันคือสมบัติล้ำค่า!”
ปริมาณของหินดำมีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
นักวิจัยทั้งหลายปฏิบัติต่อมันราวกับสมบัติล้ำค่า! คลื่นสัญญาณและเกราะป้องกันจะมามีบทบาทสำคัญในการทำสงครามระหว่างห้วงดวงดาว
หากคลื่นสัญญาณถูกสกัดกั้น ทั้งหมดจะเป็นอันตรายร้ายแรง
ด้วยหินสีดำก้อนนี้ อย่างน้อยจักรวรรดิชิงเหย้าของพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการค้นคว้าและพัฒนาเกราะป้องกันเป็นเวลาร้อยปี!
สวี่เทียนอวี๋รู้สึกดีใจจนกระโดดโลดเต้น เมื่อได้ยินข่าวที่ส่งมาหาเขาอย่างลับ ๆ!
“เรารู้อยู่แล้วล่ะว่าลูกสาวของเขาทำทุกอย่างออกมาได้ดี! ดูสิ แม้แต่ก้อนหินที่เธอหยิบขึ้นมาก็ยังเป็นเกราะป้องกันทางธรรมชาติ! เธอคือดาวศุกร์แห่งชิงเหย้าของพวกเรา!”