ตอนที่ 198 ศึกใหญ่ในสถาบัน 6
“องค์หญิงสาม ถึงคนของเราจะลงมือหนักไปหน่อย แต่ตอนนี้นักเรียนชั้นปีหนึ่งก็ไม่เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ? ท่านจะปิดล้อมนักเรียนและทำเรื่องเอิกเกริกไปเพื่ออะไร?” เยลพยายามเสแสร้งเกลี้ยกล่อม
[โอ้ ดูเหมือนว่านักเรียนปีสองจะชกตีกับนักเรียนชั้นปีหนึ่งใช่ไหม? หรือรังแกคนที่อ่อนแอกว่า? ไม่น่ารังเกียจไปหน่อยเหรอ?]
[อันที่จริงถ้าระดับความแข็งแกร่งเท่ากันคงไม่เป็นไร แต่นี่ระดับพละกำลังต่างกันเกินไป รังแกคนที่อ่อนแอกว่าชัด ๆ! ไม่แปลกใจเลยที่องค์หญิงสามจะรู้สึกโกรธ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็โกรธแทบบ้าเหมือนกัน!]
[ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่การลงมือเบา ๆ นะ!]
ชาวเน็ตทั้งหลายคาดเดา และโพสต์ข้อความอย่างรวดเร็ว
“ลงมือหนักไปหน่อย? ลงมือหนักไปหน่อยงั้นเหรอ? ถ้านายไม่เข้าใจคำว่า ‘หน่อย’ ในที่นี้ล่ะก็ ฉันสามารถ ‘ตีความหมาย’ ที่ลึกซึ้งให้นายได้นะ!”
หลังจากที่สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวจบ เธอก็ยกเรียวนิ้วขึ้น พร้อมกับแส้พลังดวงดาวที่ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเธอ
รูม่านตาของเยลกระชับแน่นขึ้น ก่อนจะหลบหนีอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงแส้ของสวี่หลิงอวิ๋น
น่าสงสารที่เขาสามารถหลบแส้ได้เพียงครั้งแรกเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถหลบครั้งที่สองและครั้งที่สามได้!
“เธอทำอะไรน่ะ?!” เมื่ออันธพาลอันดับหนึ่งเห็นว่าหัวหน้าของเขาถูกทุบตีและกลิ้งอยู่บนพื้น โทนี่ก็ยืนขึ้น หยิบดาบพลังดวงดาวออกมาและเดินเข้าไปหาสวี่หลิงอวิ๋น!
สวี่หลิงอวิ๋นไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรมากกว่านี้ รุยที่ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้ ก็ออกไปต่อสู้กับโทนี่โดยตรง
เมื่อนักเรียนคนอื่นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า พวกเขาก็เริ่มจุดไฟให้ตนเองทีละคนและออกไปต่อสู้
“เป็นยังไงบ้างล่ะ? ฉันก็แค่ลงมือหนักไป ‘หน่อย’ เท่านั้นเอง! นายยังโอเคอยู่ไหม?” สวี่หลิงอวิ๋นเหยียบย่ำบนหลังของเยล และเปลี่ยนแส้เป็นกระบองอีกครั้ง ก่อนใช้กระบองฟาดเข้าที่ก้นของเขา
“เธอ! เธอกล้าดียังไง! ถึงกล้ามาดูถูกฉัน!” เยลรู้สึกอับอาย!
มีเพียงชาวเน็ตเท่านั้นที่รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข และตื่นเต้น
ขนมคบเคี้ยวในปากส่งเสียงดัง ‘กร๊อบ’ และหวังว่าองค์หญิงสามจะทำให้การต่อสู้เข้มข้นขึ้นอีกสักนิดนึง!
[เอาเลย! องค์หญิงสาม!]
[ถอดเสื้อผ้าเขาออก ดึงออกเลย!]
[เฮ้ คอมเมนต์บนนิสัยเสียเกินไปไหม? มีนิสัยชอบดูก้นของคนอื่นหรือไง?!]
[รุยที่เป็นนักเรียนปีหนึ่งโหดจัง! พวกคุณดูสิ เขาต่อสู้จนโทนี่ล้มลงไปเลยอ่ะ! สมแล้วที่เป็นคนขององค์หญิงสาม!]
[จริงด้วย! ส่วนเบนเน็ตก็สุดยอดไปเลย! เชี่ย! นักเรียนปีหนึ่งพวกนี้โหดมาก! ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมพวกปีสองจะต้องเข้าไปหาเรื่องคนอื่นด้วย!]
[หลังจากจบการต่อสู้ในครั้งนี้ ไม่รู้ว่านักเรียนปีสองพวกนี้จะอับอายมากแค่ไหนเมื่อต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน?!]
[พวกคุณคิดว่ายังไง? ใช่แล้ว จากผู้เชี่ยวชาญด้านระดับพละกำลัง นักเรียนปีหนึ่งอยู่เหนือกว่านักเรียนปีสอง แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม นักเรียนปีหนึ่งยังอ่อนแอกว่านักเรียนปีสอง]
ถูกต้อง ถึงแม้ว่านักเรียนชั้นปีที่สองจะต่ำต้อยกว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง แต่โดยภาพรวม ความแข็งแกร่งของพวกเขายังคงแข็งแกร่งกว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง อย่างน้อยประสบการณ์การต่อสู้ก็ยังดีกว่าของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง
ทันทีที่สวี่หลิงอวิ๋นเงยหน้าขึ้น เห็นผู้ติดตามของตนเองถูกตีจนไปลงกองกับพื้น และยังถูกเยาะเย้ยอีกด้วย
“เอาล่ะ หยุด!” สวี่หลิงอวิ๋นแปรสภาพพลังดวงดาวให้กลายเป็นแตรขนาดใหญ่และตะโกนบอกทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งและนักเรียนชั้นปีที่สองต่างตกตะลึงกับเสียงแตร และหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขาอัตโนมัติ
จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าไปรวมกลุ่มของตนเอง
“ดูสิว่าใครอยู่ใต้เท้าฉัน?” สวี่หลิงอวิ๋นเย้ยหยันขณะกระชากคอเสื้อของเยล ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนชั้นที่สูงกว่าสามเมตรแล้วเหยียบย่ำเยลอีกครั้ง ก่อนจะจ้องมองนักเรียนชั้นปีที่สองด้วยสายตาเย็นชา
“อยากจะเห็นบั้นท้ายของหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของพวกนายไหมล่ะ?” สวี่หลิงอวิ๋นฟาดไม้ไว้บนบ่า กล่าวออกมาขณะเหลือบมองพวกเขา
ร่างกายของเยลสั่นเทาด้วยความโกรธ พยายามดิ้นรนให้หลุดจากเธอ ทว่าเขาถูกกดไว้แน่นและไม่สามารถขยับตัวออกมาได้
“ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าซะเลยสิ อย่าทำให้คนอื่นอับอาย!”
“อับอาย? ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? หัวหน้าปีสองผู้สง่างามรู้จักคำว่า ‘อับอาย’ ด้วยแฮะ! ฉันคิดว่าฉันแค่หยอกล้อนายเล่นเท่านั้นเอง!” สวี่หลิงอวิ๋นนั่งยอง ๆ และกระชากผมของเขา “ลืมบอกนายไปเลย ฉันถ่ายทอดสดอยู่ล่ะ คนทั่วทั้งห้วงดวงดาวคงได้เห็นสภาพนายกันแล้ว!”
“เธอ! มันจะมากเกินไปแล้ว!” เยลรู้สึกช็อก วิตกกังวล และรู้สึกโกรธจัด!
ความโกรธของเขาพุ่งออกมา และพลังจิตก็กำลังพุ่งขึ้นสูงเช่นกัน ขณะที่พลังดวงดาวเริ่มก่อตัวอย่างว้าวุ่น
[ฉันคิดถูกหรือเปล่า? หัวหน้าปีสองโกรธองค์หญิงสามมากจนได้เลื่อนขั้นงั้นเหรอ?]
[องค์หญิงสามน่าทึ่งชะมัด! สามารถทำให้คนโกรธจนเลื่อนขั้นได้! หากความน่าอับอายนำมาสู่การเลื่อนขั้นจริง ๆ เพราะงั้นช่วยมาทำให้ฉันอับอายหน่อยเถอะ! จะได้ไม่ต้องหวาดกลัวพายุฝนอะไรอีก!]
[ทำไมนายถึงโกรธเคืองกับเรื่องนิดหน่อยล่ะ? ผู้ชายคนนี้ใจแคบชะมัด! ถ้าเป็นฉันนะ ฉันคงเริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองก่อน และให้คนอื่นสำรวจร่างกายฉันด้วยซ้ำ!]
[เชี่ย คอมเมนต์บนเป็นพวกโรคจิต! ชี้ตัวได้แล้ว!]
[เห็นด้วย!]
[เห็นด้วย!]
สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเยลที่กำลังเลื่อนขั้น ก่อนจะเย้ยหยันและยิ้มเหยียดที่มุมปาก “ฉันให้นายเลื่อนขั้นหรือไง?! อย่าเพิ่ง!”
เธอดึงพลังจิตของตนเองออก และทิ่มแทงเข้าไปในท้องของเยลโดยตรง
พลังจิตของเยลยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แม้แต่ในตอนที่ก่อการจลาจลก็ตาม สวี่หลิงอวิ๋นจึงสามารถบุกรุกเข้าไปในสมองของเขาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะใช้พลังจิตสร้างกรงขัง และกักขังพลังจิตของเขาเอาไว้กับตัวเธอ
“อ๊ากกก!” เยลเกือบจะเลื่อนขั้นไปถึงระดับเจ็ดดาวแล้ว และจู่ ๆ พลังจิตของเขาก็จางหายไป เหลือเพียงพลังดวงดาวเท่านั้น
“เธอทำบ้าอะไร?! นังสารเลว!” เยลบ้าคลั่งจนถึงขีดสุด และดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงไม่มีพลังดวงดาว? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อยู่ในกระบวนการเลื่อนขั้น? ทำไมถึงเสียพละกำลังไป?
สวี่หลิงอวิ๋นยกเท้าออกจากหลังของเขา และด่าทออย่างไม่ไยดีนัก “เยี่ยมไปเลยเยล กล้าเรียกองค์หญิงว่านังสารเลวเหรอ? ฮ่า ๆ! เดี๋ยวก่อนเถอะ! ตระกูลของนายรอรับหมายเรียกจากทางราชวงศ์ได้เลย!”
“มันเป็นเพราะกลอุบายของเธอ! ไม่ใช่หรือไง! ใช่ไหมล่ะ?!” เยลจ้องมองราวกับคนบ้า ลุกขึ้นยืนและตรงไปหาสวี่หลิงอวิ๋น ก่อนจะถูกเตะลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
“กลอุบายของฉันทำไม? นายพูดออกมาให้ชัดหน่อย!” สวี่หลิงอวิ๋นเย้ยหยัน ขณะจ้องมองเขานอนกองอยู่บนพื้นราวกับคนบ้า ขณะที่ปากของเขาร้องคำรามราวกับสัตว์ป่า
ชาวเน็ตสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเยล
[แปลกจัง องค์หญิงสามไม่ได้ใช้พลังอะไรตอนเตะเขาเลยนี่น่า ทำไมเขาถึงถูกเตะจนล้มไปกองกับพื้นอย่างกับใช้พลังดวงดาวแหนะ?! ]
[ฉันมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ]
[อือ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า]
[คงจะจริงไหม? ไม่อย่างนั้น เยล ออสมอนด์จะสาหัสขนาดนั้นเชียวเหรอ? อย่างกับคนที่ตายไปแล้วอย่างนั้น]