ตอนที่ 210 โบยบินกันเลย เจ้าหนู! 4
“อะไรนะ? เทคนิคการฝึกฝนพลังจิต?! มีเรื่องแบบนี้อยู่ในจักรวาลด้วยเหรอ?!”
ทันทีที่สวี่หลิงอวิ๋นเปล่งคำพูดออกมา ทั่วทั้งลานกว้างก็เกิดความโกลาหลในทันที ราวกับพวกเขาได้ยินผิดไป
ฟังไม่ผิดใช่ไหม? ผู้เชี่ยวชาญและผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนออกสำรวจเทคนิคการฝึกฝนพลังจิต แต่ไม่มีทางไหนสามารถทำมันได้สำเร็จเลย แล้วองค์หญิงมีวิธีการนี้ได้อย่างไร?
ทว่าสิ่งนี้สามารถเป็นไปได้สำหรับองค์หญิงสาม เพราะเธอเป็นดาววีนัสของจักรวรรดิ!
เมื่อก่อนมีคนพูดว่า ‘องค์หญิงสามเป็นดาววีนัส’ ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ แต่ตอนนี้ทุกคนต่างพากันชื่นชมเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
“ก็มีน่ะสิ!” สวี่หลิงอวิ๋นแผ่ขยายพลังจิตแปรสภาพเป็นลูกศร ทันทีที่ลูกศรถูกยิงออกไป แขนกลก็ร่วงหล่นลงพื้นกลายเป็นความว่างเปล่าทันที
ว้าว!
นักเรียนที่อยู่บริเวณนั้นรู้สึกตื่นตาตื่นใจ!
องค์หญิงสามบอกว่าจะสอนเทคนิคการฝึกฝนพลังจิตพวกนี้ให้กับพวกเขา!
ด้วยเทคนิคการฝึกฝนพลังจิตนี้ พลังดวงดาวของพวกเขาจะได้รับการเลื่อนขั้นอย่างแน่นอน!
ทุกคนรู้สึกแสบจมูกจนหายใจไม่ออก ขณะมองดูหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ด้วยสายตาอบอุ่น
สวี่หลิงอวิ๋นอมยิ้มเล็กน้อย
อันที่จริง หลังจากครอบครองรอยประทับแล้ว เทคนิคการฝึกฝนพลังจิตจะง่ายเพียงนิดเดียว แค่เปิดใช้รอยประทับเท่านั้น และ…
พลังจะเติบโตขึ้นมาเอง
ล้อเล่น… พลังจะหมุนเวียนไปทั่วร่างกายเป็นเวลานานอย่างน้อยสองถึงสามสัปดาห์
ช่วงแรกสุด พลังอาจจะยังไม่สามารถหมุนเวียนไปทั่วหัวสมองได้ แต่ทันทีที่พลังความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น พลังจะค่อย ๆ หมุนเวียนแทรกซึมเข้าไปในร่างกายถึงครึ่งหนึ่ง และทันทีที่ทุกคนเลื่อนขั้นไปถึงระดับ 7 ดาว พลังจะหมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย
สำหรับช่วงหลัง ยิ่งพลังหมุนเวียนมากเท่าไหร่ ระดับพลังจิตก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น
มันง่ายเพียงนิดเดียว…
ใครจะคิดว่ามันง่ายดายเช่นนี้? ทว่าหลายครั้งที่ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความง่ายดาย
แต่หากไม่มีมีใครฝึกฝนรอยประทับ การมีอยู่ของมันก็ไร้ประโยชน์
ทำไมสวี่หลิงอวิ๋นถึงไม่ต้องการรอยประทับน่ะหรือ? เพราะว่าพลังจิตของเธอแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว เธอจึงสามารถสร้างรอยประทับให้กับตนเองได้
บางครั้งแม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าพลังจิตของตัวเองอยู่ในระดับไหน แต่มันจะต้องไม่ใช่ระดับ 7 ดาวอย่างแน่นอน มันควรน่าจะมากกว่าระดับ 9 ดาว
นอกจากนี้เธอยังสัมผัสได้ถึงพลังจิตของโอคาซี และแน่นอนว่าพลังจิตของเธอแข็งแกร่งกว่าพลังจิตของเขา
นักเรียนทั้งหลายเริ่มเปิดใช้งานรอยประทับตามขั้นตอนที่หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ป่าวประกาศ
เดิมทีรอยประทับเป็นเพียงอักขระคำว่าเมฆในภาษาจีนของชาติที่แล้ว แต่หลังจากพวกเขาบุกรุกพลังจิต มันก็แปรเปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธุ์ขนาดเล็ก
ผู้คนที่มีพลังจิตอ่อนแอจะถูกเมล็ดพันธุ์กลืนกินพลังจิตจนเหลือเพียงความว่างเปล่า ทำให้ต้องนั่งลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด และไม่สามารถฟื้นตัวได้ภายในเวลาแค่ครึ่งวัน
กลืนกินแค่นั้นยังไม่เพียงพอต่อเมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ มันแผ่ขยายออกครึ่งหนึ่งและทุบตีหัวสมองของนักเรียนผู้อ่อนแอ ใบหน้าขาวนวลของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ
กำลังถูกเมล็ดพันธุ์กลั่นแกล้งอย่างนั้นหรือ?
สำหรับผู้แข็งแกร่งปานกลาง เมล็ดพันธุ์ถูกกระตุ้นจนแผ่ขยายใบไม้ขนาดเล็กออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก และพลังจิตของพวกเขาเกือบจะถูกมันกลืนกินเข้าไป
สำหรับผู้แข็งแกร่งอย่างลุค ฉินหยวน เบนเน็ตและรุย พวกเขาทั้งสี่คนก้าวผ่านระดับ 6 ดาวและอยู่ในขั้นตอนเลื่อนขั้นไปยังระดับ 7 ดาว
ใบอ่อนทั้งสองแตกก้านออกมาจากเมล็ดพันธุ์ พวกมันเขย่าร่างกายของพวกเขาเล็กน้อย ด้วยการเขย่าร่างกายผ่านด้านในสมองอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังออดอ้อน
“เชี่ย!” ทันทีที่ใบไม้เกิดความโกลาหล พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของพวกเขากำลังแช่อยู่ในน้ำร้อน สบายเหลือเกิน!
“นายกำลังทำอะไร? ตัวสั่นเหมือนกับกำลังจะฉี่งั้นเลย?” หลายคนจมอยู่กับความโกลาหลเป็นเวลานาน ก่อนจะรู้สึกตัว
ลุคเป็นคนแรกที่ปริปากพูดกับฉินหยวน
ฉินหยวนไม่ยอมแพ้และโต้กลับ “งั้นนายก็เหมือนหัวปืนขี้ผึ้ง!*[1]”
รุยและเบนเน็ตเหล่มองทั้งสองโดยไม่ได้กล่าวอะไร พวกเขาเพียงนั่งไขว้ห่างและวนเวียนพลังจิต
สวี่หลิงอวิ๋นนั่งบนเวที เฝ้ามองคนแข็งแกร่งเริ่มทำสมาธิ ขณะที่คนอ่อนแอเริ่มคลางแคลงอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
“เกิดอะไรขึ้น?” สวี่หลิงอวิ๋นเอ่ยถามลูกศิษย์จากแผนกเกษตรกรรมด้วยความสงสัย
ถูกต้อง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของนักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมเลยด้วยซ้ำ
“แง ๆๆ ท่านหัวหน้าคะ เมล็ดพันธุ์ของฉันงอกออกมาแค่ครึ่งต้นเองค่ะ มันเกลียดฉัน! ทุบตีสมองฉันใหญ่เลยค่ะ!” นักเรียนจากแผนกเกษตรกรรมน้ำตาไหลรินขณะกอดขาองค์หญิงสาม
เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะรังแกคนอ่อนแอและเกรงกลัวคนแข็งแกร่ง พวกมันรีบยับยั้ง ‘ความโหดร้าย’ ทันทีที่เห็นสวี่หลิงอวิ๋นเดินเข้ามา และปล่อยให้นักเรียนทั้งหลายร้องไห้ขณะกอดขาเธอ
สวี่หลิงอวิ๋นช่วยเธอด้วยการสัมผัสหน้าผาก เมล็ดพันธุ์พวกนี้มีบุคลิกเฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
อย่างไรก็ตาม ต้นอ่อนพวกนี้ไม่แม้แต่จะแตกกิ่งก้านออกมาเป็นใบ ไม่เอื้อต่อการพัฒนาจริง ๆ
เธอยังต้องคอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่!
หลังจากส่งพลังจิตของตนเองเข้าไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ทั้งหลายที่กล้าหาญในตอนแรกก็เริ่มกลืนกินน้อยลง หลังจากใช้เวลาตรวจสอบน้อยกว่าหนึ่งนาทีและค้นพบว่าพลังจิตของสวี่หลิงอวิ๋นไม่ได้มาคุกคามพวกมัน
หลังจากกลืนกินจนเต็มที่แล้ว เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ก็บานสะพรั่งไปด้วยรอยยิ้มและเริ่มผลิออก
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเธอฝึกฝนต่อได้แล้ว”
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองเหมือนแม่แก่ชราที่ต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเด็กพวกนี้ตลอดเวลา
ดีเหลือเกินที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้
เธอผิวปากอย่างอารมณ์ดี ขณะจ้องมองเหล้าขาวอย่างเหม่อลอย
คณะอาจารย์รายงานต่อคณบดีพูลแมนว่านักเรียนชั้นปีหนึ่งไม่เข้าเรียนอย่างพร้อมเพรียงกัน
อาจารย์เฮอร์ยังคงนอนอยู่ในห้องพยาบาล เขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและรู้สึกคลื่นไส้ทุกครั้งที่ลืมตา จึงทำได้เพียงหลับตาเท่านั้น
ไอ้เด็กสารเลวพวกนั้นทำเกินไปแล้ว!
“โดดเรียนยกชั้น? เกิดอะไรขึ้นกับเด็กปีหนึ่ง?” คณบดีพูลแมนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ว่ากันตามตรง เขาไม่เคยเห็นนักเรียนชั้นปีไหนขาดเรียนยกกลุ่มแบบนี้มาก่อน!
“องค์หญิงสามพาพวกเขาดื่มหนัก จนลุกขึ้นมาเรียนไม่ไหวครับ” คณะอาจารย์ไม่ได้ติเตียน ทว่าพวกเขาแค่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้
ตามความคิดเห็นของพวกเขา เดิมทีนักเรียนชั้นปีหนึ่งเป็นเพียงลูกแกะตัวน้อย ๆ เท่านั้น แต่ตั้งแต่องค์หญิงสามปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็เลื่อนขั้นจากลูกแกะเป็นกระทิงทันที หากนักเรียนพวกนี้ไม่เชื่อฟังอาจารย์ พวกเขาคงต้องติเตียน
องค์หญิงสามเองก็ดีอยู่ เพียงแต่กระตุ้นให้นักเรียนก่อเรื่องง่ายเหลือเกิน การเล่นซนในวันธรรมดาย่อมไม่เป็นอะไร ทว่าทำไมถึงทำให้นักเรียนพวกนั้นขาดเรียน?
“ผมเข้าใจแล้ว เอาไว้ผมจะไปคุยกับองค์หญิงสามทีหลัง”
คณบดีพูลแมนลูบศีรษะ ทุกวันนี้เขาถูกผู้คนมากมายรุมโจมตีและทิ้งระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องสงครามเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เพียงเพราะแรงกระตุ้นของเขากับจักรพรรดิที่แผ่กระจายออกไป ฮีโร่คลุกฝุ่นผู้นั้นจึงกลับมาผงาดในจักรวาลอีกครั้ง
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือกองทัพทหารทั้งหลายเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
เดิมทีคนธรรมดาก็คือทหาร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีพลังกำลังพอเหมาะที่จะออกไปรบได้ แต่กลับไม่มีใครเต็มใจที่จะยอมรับพวกเขา
ปัญหางบประมาณสำหรับกองทัพทหารคลี่คลายลงเล็กน้อย แต่หลังจากก่อตั้งโรงเรียน พวกเขาต้องกลับไปใช้งบประมาณเท่าเดิม
[1] หัวปืนขี้ผึ้งเป็นคำอุปมาสำหรับคนที่ดูแข็งแกร่ง แต่กลับไร้ประโยชน์