ตอนที่ 299 การล้างแค้นของมหาสงคราม 6
ตอนที่ 299 การล้างแค้นของมหาสงคราม 6
ไกอารีบวิ่งเข้ามารายงาน
“แลนเซล็อตมีอะไร?” สวี่หลิงอวิ๋นตอบรับสายเรียกเข้าทางวิดีโอ “โย่ว! องค์ชายสุดหล่อ ท่านยึดของดาวเคราะห์เอบีสี่ได้แล้วเหรอคะ?”
“ครับ” แลนเซล็อตตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ สีหน้าไม่ปรากฏความยินดีใด ๆ “องค์หญิงสาม เท่าที่ผมรู้มา กองกำลังเสริมจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์กำลังจะมาถึงภายในสิบห้านาที เราต้องตั้งรับการต่อสู้ทันที”
“ทำไมไอ้สารเลวพวกนั้นมาถึงไวจัง?” สวี่หลิงอวิ๋นเลียริมฝีปาก ดวงตาฉายแววความกระหายเลือด “โอเค ในเมื่ออยู่นี่กันแล้ว มาสนุกด้วยกันเถอะ”
“ปาร์ตี้ในคืนนี้กำลังขาดเครื่องดื่มสีแดงพอดี”
“องค์ชายแลนเซล็อต ฉันคิดว่าทำไมท่านไม่เริ่มต่อสู้ก่อนแทนที่จะตั้งรับล่ะคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มและพูดต่อ “ท่านเคยได้ยินไหมคะว่าการตั้งรับที่ดีที่สุดคือการโจมตี?”
“โจมตี?” แลนเซล็อตรู้สึกลังเล
“แต่มันจะเสี่ยงไปไหมครับ?” แลนเซล็อตพูด “ทหารเริ่มเหนื่อยกันแล้ว ถ้าเกิดพวกเขาหมดแรงขึ้นมา มันจะไม่เป็นอันตรายกับการต่อสู้เอาเหรอครับ?”
“ฉันรู้ว่าแรงกำลังที่เหนื่อยล้าไม่เอื้อต่อการต่อสู้ แต่ว่าเราไม่มีทางเลือกนี่คะ แทนที่จะรอสิบห้านาทีให้พวกมันมาโจมตีเรา สู้เราโจมตีก่อนไม่ดีกว่าเหรอคะ” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้ม “อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกนั้นรับมือไม่ทัน”
“แล้วเราอาจจะคว้าชัยชนะมาได้”
แลนเซล็อตยิ้มเบา ๆ “ท่านพูดถูกครับ เอาไว้ผมจะติดต่อหาองค์ชายไคกีอีกที”
“ฉันคิดดูแล้ว ท่านมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้มาเยอะและเหมาะสมที่จะประจำการอยู่ที่นี่ ลูกพี่ลูกน้องกับฉันจะออกไปต่อสู้ด้วยกัน” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “ถ้าเราแพ้ให้กับกองกำลังเสริมของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ ท่านจะเป็นความหวังสุดท้ายของเรา”
“ฉันขอฝากทุกอย่างไว้กับท่านด้วยนะคะ” สวี่หลิงอวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด”
ไคกีไม่มีความคิดเห็นอื่น ลูกพี่ลูกน้องว่าอย่างไรก็ตามนั้น
องค์ชายไคกีเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ในความคิดของเขา ลูกพี่ลูกน้องกับองค์ชายรัชทายาทแลนเซล็อตค่อนข้างเก่งกาจมากกว่าเขา แทนที่จะแสดงความคิดอะไรออกมา สู้รับฟังความคิดของพวกเขาน่าจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าตัวไคกีจะรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมถึงเสี่ยงเข้าไปเป็นฝ่ายริเริ่มโจมตีก่อน แต่เมื่อเห็นว่าองค์ชายรัชทายาทแลนเซล็อตเห็นด้วย นั่นก็หมายความว่าการตัดสินใจในการต่อสู้ของลูกพี่ลูกน้องยังเป็นที่น่าพอใจ
“พี่ไคกีพร้อมหรือยัง?” สวี่หลิงอวิ๋นก้าวขึ้นไปบนยานรบและพูดกับองค์ชายไคกี
“พร้อมแล้ว ขอแค่น้องส่งคำสั่งการมา” องค์ชายไคกีตอบรับ
สวี่หลิงอวิ๋นกระตุกมุมปาก “ไม่ต้องห่วง! พี่ไคกี น้องจะพาพี่ชนะแบบนอนมา*[1] เลยล่ะ”
‘ชนะแบบนอนมา’ ช่างเป็นคำที่ยอดไปเลย!
เหตุใดองค์ชายไคกีผู้เต็มใจจะเสี่ยงไปสนามรบที่อันตรายเช่นนี้ถึงไม่ขอเพิ่มยศถาบรรดาศักดิ์ของเขานะ? แน่นอนว่าองค์ชายส่วนใหญ่ต้องการไต่เต้าไปถึงระดับสูงสุด มีใครบ้างที่ไม่ต้องการผลประโยชน์ทางการทหาร? และถึงแม้ว่าจะไม่แสวงหาผลประโยชน์ทางการทหาร แต่ก็ยังมีข้อดีอื่น ๆ
ทว่าองค์ชายไคกีผู้นี้เป็นองค์ชายประเภทที่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
หากเขาประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในการสงครามครั้งนี้ บางทีเขาอาจจะเติมเต็มข้อโต้แย้งของชายชราบางคนได้
“ถ้างั้นพี่ขอขอบใจน้องล่วงหน้าแล้วกัน” ไคกีพูดออกมาอย่างดีอกดีใจ
ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงสิบสองนาทีกว่าหลี่จื้อผิงจะมาถึง
“ตอนนี้จุดอ่อนของเราคือเราไม่รู้ว่าจอมพลหลี่จื้อผิงจะพากำลังคนและลูกกระสุนมาเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเขามาที่นี่ในฐานะกองกำลังเสริม จำนวนเสบียงและอุปกรณ์ต้องไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แน่นอน” สวี่หลิงอวิ๋นกับไคกีพูดวิเคราะห์
“เพราะงั้นการปะทะทั่วไปเป็นวิธีที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือสงครามกองโจร” สวี่หลิงอวิ๋นพูด
“สงครามกองโจร สงครามกองโจรคืออะไร?” ไคกีพบว่ามันยากเกินกว่าจะเข้าใจคำศัพท์ใหม่ที่ออกมาจากปากของลูกพี่ลูกน้องแต่ละครั้ง
“สงครามกองโจรคือเวลาที่ศัตรูรุกเราถอย ศัตรูตั้งหลักเราก่อกวน ศัตรูเหนื่อยเราสู้ ศัตรูถอยเราล่า!” สวี่หลิงอวิ๋นมีความสุขที่ได้สอนไคกีเกี่ยวกับประสบการณ์ขั้นสูงในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ
“พี่ไคกีเข้าใจที่น้องบอกไหม?”
“เข้าใจแล้ว” องค์ชายไคกีไม่ใช่คนโง่ เมื่อสวี่หลิงอวิ๋นพูดถึงแก่นแท้ของสงครามกองโจร ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที
“น้องสุดยอดไปเลย คิดกลยุทธ์เก่งกาจแบบนี้ได้ด้วย” แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงแค่การก่อกวนเท่านั้น
เพื่อสร้างความรำคาญให้แก่คนอื่น
“โอเค ในเมื่อพี่ไคกีเข้าใจแล้ว เราไปทำสงครามกันเถอะ”
จอมพลหลี่จื้อผิงยังคงอยู่ระหว่างทางอย่างสบายใจเฉิบ
“กองทัพศัตรูกำลังมา” ทันใดนั้นยานรบก็กวัดแกว่ง และหลังจากนั้นคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ก็ส่งเสียงเตือนอย่างบ้าคลั่ง
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเรดาร์ไม่แสดงผล?” หลี่จื้อผิงก่นด่าผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้าง
“ท่านจอมพล ยานรบของจักรวรรดิชิงเหย้าลำนี้ถูกเคลือบด้วยสารที่ไม่สามารถตรวจจับได้และสามารถปิดกั้นสัญญาณได้ เพราะงั้นยานรบของเราจะไม่มีทางตรวจจับมันได้ครับ” ผู้ช่วยอธิบาย
“บ้าชิบ ไอ้พวกชิงเหย้าสารเลว” จอมพลหลี่จื้อผิงขมวดคิ้ว “หาทางค้นหาพวกมันให้เจอ แล้วโจมตีมันซะ”
ผู้ช่วยทั้งหลายครุ่นคิด จอมพลหลี่จื้อผิงไม่มีความสามารถในการบังคับบัญชาอย่างที่ข่าวลือว่าไว้จริง ๆ
ว่ากันว่าในตอนนั้นจอมพลพึ่งพาน้องสาวจนไต่เต้าไปถึงระดับสูง
ถึงแม้จะดูหมิ่นจอมพลคนนี้ในใจ แต่จอมพลผู้นี้กลับสามารถยืนสง่าต่อหน้าฝ่าบาทสเปนเซอร์มาได้หลายปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเส้นสายทางการเมืองของเขายังคงแข็งแกร่งมาก
แม้ผู้ช่วยจะทำอะไรไม่ได้ แต่เขากลับน้อมรับคำสั่งการและเดินออกไป
ค้นหา? จะค้นหาได้อย่างไร? นี่คือคำถามอันใหญ่หลวง
“ท่านรองจะทำยังไงกันดีครับ?” ช่างเทคนิคเอ่ยถามผู้ช่วยอย่างทำอะไรไม่ถูก
“จะทำอะไรได้ล่ะ? ไม่ว่าพวกนั้นจะโจมตีเราจากทิศทางไหน เราก็จะโจมตีพวกมันกลับทุกทิศทาง” ผู้ช่วยตอบ “นอกจากนี้…ไปเพิ่มความเร็วซะ”
“ต้องไปให้ถึงดาวเคราะห์เอบีสามก่อนกำหนด”
“แล้วจอมพลหลี่จื้อผิงล่ะครับ?”
ช่างเทคนิคเอ่ยถาม “ท่านจอมพลบอกว่าไม่ต้องรีบ”
“ไม่ต้องไปฟังเขา! ถ้าไม่มีศัตรูอยู่ก็พูดได้ แต่นี่ศัตรูกำลังรอโจมตีอยู่ เราต้องเร่งความเร็วขึ้น ไม่งั้นจะกลายเป็นเป้าถูกโจมตีได้ง่าย” ผู้ช่วยพูด
“นายคงไม่อยากแพ้หรือตกเป็นเชลยใช่ไหม? ถ้าไม่อยากก็แค่ไปทำตามที่ฉันสั่ง”
แล้วใครกันจะอยากพ่ายแพ้? ช่างเทคนิคพยักหน้า
“ทราบแล้วครับ”
หลังจากนั้นไม่นาน สวี่หลิงอวิ๋นก็ค้นพบว่ายานรบลำดังกล่าวเร่งความเร็วขึ้น! และในขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มโจมตีในทิศทางที่ตนเองคาดการณ์ไว้
ทำไมถึงหันทิศทางแปลกประหลาดแบบนั้น? สวี่หลิงอวิ๋นมองดู และยิ้มเยาะออกมา “โอ้ เจ้าพวกบ้า กองกำลังเสริมพวกนั้นตาบอดไปแล้ว! ระบบตรวจจับของพวกมันสแกนหายานรบของเราไม่ได้!”
“เพื่อนฝูง ถ้าเราเอาชนะยานรบที่ตาบอดนั้นไม่ได้ก็กลับบ้านไปปลูกผักกันเถอะ” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มเยาะและพูดกับผู้ช่วยทั้งหลายที่อยู่รอบเธอ “มาปรับพลังการยิงเต็มกำลังแล้วสู้สุดตัวกันเถอะ”
[1] ชนะแบบนอนมา หมายความว่า ชนะอย่างง่ายได้