ตอนที่ 303 อสุรกายลึกลับ 2
ตอนที่ 303 อสุรกายลึกลับ 2
สีหน้าของผู้คนจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามของอสุรกาย
หลี่จื้อผิงเร่งเร้าช่างเทคนิค “เร็วเข้ารีบให้พวกจักรวรรดิชิงเหย้ามารับเราสักที”
ช่างเทคนิคส่งข้อความออกด้วยมือที่สั่นเทา แต่กลับเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
“เกิดอะไรขึ้น?! สัญญาณไม่ดีเหรอ?” หลี่จื้อผิงขมวดคิ้วขณะรอคอยคำตอบที่ยาวนานกว่าศตวรรษ แต่คำตอบกลับถูกส่งกลับมาเพียงแค่ไม่กี่วินาที
“ท่านจอมพล พวกมันปฏิเสธครับ!” ใบหน้าของช่างเทคนิคตื่นตระหนก
“ปฏิเสธ? ปฏิเสธทำไม? ไอ้พวกสารเลว! มาจับฉันสิ!”
หลี่จื้อผิงรู้สึกโกรธจัดจนเกือบเป็นลมลงไป! ไอ้คนสารเลวพวกนั้นจัดการเสียจนยานรบของพวกเขาเคลื่อนที่ไปต่อไม่ได้ และนอกจากนี้พวกเขายังไม่มีพละกำลังต่อสู้
ตอนนี้พวกเขาถูกละทิ้งให้จัดการกับอสุรกายระดับ 10 ดาวอย่างนั้นเหรอ?!
อสุรกายดุร้ายในห้วงดวงดาวเป็นประเภทเดียวกับราชาเอเลี่ยน พวกมันล้วนเป็นสัตว์วิเศษที่สามารถเดินทางข้ามระหว่างดวงดาวได้
พวกมันไม่เกรงกลัวแรงโน้มถ่วงที่น่าสะพรึงกลัวพวกนี้ อีกทั้งยังไม่กลัวกลุ่มอุกกาบาตที่เปลี่ยนแปลงไปมาอันแสนอันตราย พวกมันทรงพลังจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว
โดยปกติแล้วจะพบเห็นเอเลี่ยนระดับ 10 ดาวได้โดยทั่วไป แต่อสุรกายห้วงดวงดาวนั้นยากจะพบเจอ
ทว่าพวกเขากลับเจอแจ็กพอตอย่างไม่คาดคิด และวันนี้ได้เห็นเทพที่ยังมีลมหายใจ
“สารเลว!” หลี่จื้อผิงสบถออกมาเพียงคำสาปแช่ง
ทุกคนกำลังสูญเสียการประคับประคองสีหน้า
ทันใดนั้นยานรบของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ริมฝีปากของช่างเทคนิคเริ่มสั่นไหว อสุรกายระดับ 10 ดาวจับพวกเขาได้แล้ว!
ท่ามกลางวิกฤตร้ายที่อันตราย ช่างเทคนิคคนหนึ่งเสียสติและบึ่งเข้าไปตบหลี่จื้อผิง!
“แกทำบ้าอะไร? รู้ตัวไหมว่ากำลังดูหมิ่นผู้บัญชาการอยู่!” หลี่จื้อผิงตกตะลึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาพยายามจะสู้กลับ แต่กลับถูกผู้ช่วยคนอื่นจับตัวเอาไว้ และดูเหมือนว่าทุกคนจะหาทางออกให้ความโกรธของตัวเองได้แล้ว
“ทั้งหมดก็เพราะแกไง! ถ้าแกไม่เอาแต่ทำตามใจตัวเองโดยการปล่อยให้มาการ์ได้หน้า พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรือไง?” ดวงตาของผู้ช่วยเป็นสีแดงก่ำ และทุบตีหลี่จื้อผิงที่ผอมแห้งแรงน้อยแม้จะกินดีอยู่ดีใส่เสื้อผ้างดงามอย่างบ้าคลั่ง
เฉกเช่นเดียวกับผู้ช่วยคนอื่น ๆ พวกเขาอดทนกับคนเลวทรามคนนี้มานานพอแล้ว!
ในเมื่อกำลังจะตาย ทำไมจะไม่อยากมีช่วงเวลาที่ดีก่อนตายล่ะ?!
อสุรกายขนาดมหึมาวนเวียนอยู่ด้านนอกยานรบที่ปรักพังหัก! รูปร่างของมันสูงใหญ่กำยำ! ขนปุยนุ่มปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาขนาดใหญ่ทั้งสองดูเหมือนเครื่องตรวจจับที่สามารถหั่นยานรบออกเป็นครึ่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
แต่มันกลับไม่ได้หั่นออก
มันกำลังสูดดมกลิ่น เฮ้…ดูเหมือนว่าจะมาจากยานรบลำนี้! มันเอายานรบเข้าไปในปากอย่างระมัดระวังและวิ่งออกไป
ยานรบของจักรวรรดิชิงเหย้าแล่นออกไปในจักรวาลอันไพศาลอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปเกือบสามสิบนาที พวกเขาก็รู้สึกโล่งอกที่อสุรกายร้ายไม่ตามพวกเขามา
สวี่หลิงอวิ๋นคอยเตือนตัวเองอีกครั้ง อย่าล่าช้าเกินไป ไม่อย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าอสุรกาย 10 ดาวจะตามมาจับเธอ และเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะต่อสู้!
ไกอาถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านหัวหน้า พวกเรารอดแล้วครับ!”
ไม่ปรากฏข้อมูลบนเครื่องตรวจจับ
หลังจากความประหม่าลดน้อยลง พวกเขาก็ล้มลงกับพื้น นั่งลงและมองดูความขี้ขลาดของสหายทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ดูนายสิ กลัวอะไรกัน! ไม่มีจิตวิญญาณความเป็นทหารเลย!”
“นายก็ไม่ต่างกันหรอกน่า! ฮึ่ม!”
“ไม่รู้ว่าสาเหตุของอสุรกายห้วงดวงดาวตัวนี้มาจากอะไร ทำไมจู่ ๆ มันถึงพุ่งมาหาเรา?”
“มันมีพลังที่แข็งแกร่ง ดาวเคราะห์ทั้งห้วงดวงดาวก็เหมือนกับสวนหลังบ้านของมัน แล้วนายจะพูดว่ามันมาทำไมได้ยังไง”
…
“ติดต่อลูกพี่ลูกน้อง แล้วดูสิว่าที่นั่นเป็นยังไงบ้าง” สวี่หลิงอวิ๋นสั่งไกอา
ไกอาพยักหน้าตอบรับ และรีบติดต่อกับองค์ชายไคกีในทันที
ทุกอย่างเป็นไปตามแบบแผน และการจับกุมเชลยก็เป็นไปได้ด้วยดีเช่นกัน
แลนเซล็อตถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อมองดูยานรบทั้งสองลำกลับมาอย่างปลอดภัย
“ขอบคุณพวกท่านที่ช่วยกันนะครับ!” แลนเซล็อตจ้องมองลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ตรงหน้าเขา และกล่าวแสดงความขอบคุณอย่างอ่อนโยน
ไคกีส่ายหัวและส่งยิ้มอย่างจริงใจ “ทั้งหมดเป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องน่ะครับ!”
“อะไรกัน เพราะความสามารถของพี่ไคกีด้วยนะเพคะ!” สวี่หลิงอวิ๋นพูดและยิ้ม ก่อนจะจ้องมองไปทางแลนเซล็อต “ว่าแต่ที่นี่โอเคไหมคะ?”
“โอเคครับ ตอนนี้พลเอกมาการ์ของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เป็นเชลยของเราแล้วครับ” แลนเซล็อตอมยิ้มเล็กน้อย “หลิงอวิ๋น อยากเห็นไหม?”
สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้า “เอาสิ! งั้นฉันไปดูก่อนนะ”
องค์ชายไคกีขมวดคิ้ว เด็กคนนั้นเปลี่ยนชื่อเรียกนำหน้าเร็วมาก! ก่อนหน้านี้เรียกว่าองค์หญิงสาม แต่ตอนนี้กลับเรียก ‘หลิงอวิ๋น’ อย่างนั้นเหรอ?
จะมีหวังสำหรับน้องสาวเขาบ้างไหม?!
เขารู้สึกไม่พอใจแลนเซล็อตขึ้นมาทันทีที่นึกถึงน้องสาวของตัวเองที่ยังคงจมปลักอยู่กับกองหนังสือเศรษฐศาสตร์ การเมือง และการทหารอย่างสิ้นหวังอยู่ที่พระราชวัง!
น้องสาวของเขาก็เก่งเหมือนกัน ทำไมถึงไม่หันมามองบ้าง!? ก็จริงที่ลูกพี่ลูกน้องเก่งกาจมาก แต่เห็นได้ชัดว่าลูกพี่ลูกน้องไม่ได้ชอบเขา ทำไมถึงยังไม่ยอมแพ้อีก?
สวี่หลิงอวิ๋นเข้าไปดูพลเอกมาการ์ผู้หัวแข็ง
“โย่ นั่นใครน่ะ!” สวี่หลิงอวิ๋นจงใจแกล้ง แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอมาการ์ก็ตาม แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่ามาการ์คนนี้เป็นคนเก่งที่พบเจอได้ยาก
แต่น่าเสียดายที่เป็นคนของปีกพิสุทธิ์!
“ฮึ่ม!” มาการ์เหลือบมองเธออย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งโดยไม่พูดจา
เหมือนจะดูปากแข็ง แต่ในใจกลับสั่นเทา
เขาได้รับชมวิดีโอก่อนหน้านี้แล้ว และสิ่งที่เกลียดที่สุดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้คือเธอสามารถทำให้คนอื่นอับอายได้! เนี่ยหานเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่กลับถูกบังคับให้ยอมจำนนได้!
นี่จะเป็นความอัปยศอดสูครั้งใหญ่!
ความอัปยศอดสูที่เกินกว่าผู้ชายจะรับไหว!
สวี่หลิงอวิ๋นยิ้ม สิ่งที่เธอชอบมากที่สุดคือพวกหัวแข็งแบบนี้!
“จะทำอะไร?” ไกอาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขารีบเปลี่ยนพลังดวงดาวให้กลายเป็นไม้กระบอง และกระแทกท่อนไม้เข้าที่ด้านหลังของเชลย มาการ์ที่ถูกตีแทบจะเป็นลมด้วยความเจ็บปวด!
“สารเลว! งั้นก็มาดวลกันสิวะ!” มาการ์พูดขึ้น เขาทำท่าจะลุกขึ้นและพยายามเค้นพลังอย่างหนัก แต่น่าเสียดายที่เขาถูกมัดไว้กับเก้าอี้ที่มีคุณสมบัติในการกักเก็บพลังงานดวงดาวและป้องกันไม่ให้ใช้พละกำลังของตัวเอง
“ถ้ามีความสามารถจริงงั้นก็มาดวลกันอย่างยุติธรรมสิโว้ย!” มาการ์ตะคอก
“พูดบ้าอะไร! พวกเราเป็นคนมีอารยธรรม! การดวลกันหรืออะไรแบบนั้นมันเกิดขึ้นตั้งแต่พันปีก่อนนู้น แกก็เป็นถึงพลเอกระดับสูง แต่พวกหัวโบราณแบบนี้ไม่ค่อยจะมีแฮะ!” สวี่หลิงอวิ๋นเอียงศีรษะเล็กน้อยขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะยิ้มออกมา “ก็ดูเป็นคนฉลาดนะ แต่ทำไมไม่มีไหวพริบเอาซะเลย!”
แต่เดิมมาการ์เป็นคนใจร้อนและอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย เขาใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาตลอด ทั้งได้เป็นหัวหน้าและกลายเป็นพลเอกตั้งแต่จบการศึกษาจากทางสถาบัน เขาเป็นที่เคารพของผู้อื่นและเป็นที่ปลาบปลื้มของหญิงสาวเสมอมา แต่กลับต้องมาถูกผู้หญิงคนนี้ทำให้ขายหน้า!
แล้วเขาจะอดทนต่อได้อย่างไร?! สิ่งนี้อาจฆ่าเขาตายทั้งเป็นได้ด้วยซ้ำ!
“อย่าชะล่าใจนักเลย!” มาการ์พูด “รอก่อนเถอะ จักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะต้องชนะแน่นอน! ถึงตอนนั้นเธอก็จะกลายเป็นเชลยของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์!”