ตอนที่ 312 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 7
ตอนที่ 312 ถั่วชมพูแสดงอิทธิฤทธิ์ในมหาสงคราม 7
“พอแล้ว อย่ามัวแต่เชียร์ รีบไปจัดการที่เหลือซะ” สวี่หลิงอวิ๋นบ่น “สิ่งที่พวกนายต้องให้ความสำคัญคือลูกกระสุนกับอาหาร”
ทหารพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ พวกเราทราบแล้ว”
หลังจากตอบรับ เหล่าทหารก็สวมชุดเกราะ ขึ้นไปบนเครื่องบินรบ และมุ่งหน้าออกไป
“ฮะ ยังมีคนเล็ดลอดเข้ามาโจมตีเราได้อีกเหรอ พี่น้องทั้งหลายจัดการพวกมันเลย” ทหารตาแหลมนายหนึ่งแทบจะหัวเราะออกมาเมื่อสังเกตเห็นเครื่องบินรบของฝ่ายศัตรูที่ปรากฏขึ้นบนเครื่องตรวจจับและกำลังโจมตีมาทางพวกเขา
“เฮ้ ฉันบอกให้ว่าคนจากอีกฝ่ายไม่ดูด้วยซ้ำว่าตัวเองเหลือกันอยู่เท่าไหร่ ยังจะมีหน้ามาโจมตีเราอีก ควรจะยกธงขาวและตะโกนออกมาว่ายอมแพ้ได้แล้วมั้ง?”
“ดูเหมือนว่าจะมีผู้บัญชาการอยู่นะ ถ้ามีผู้บัญชาการอยู่ ก็ถามพวกเขาด้วยว่าคลังกระสุนกับเสบียงอาหารอยู่ที่ไหน”
สวี่หลิงอวิ๋นสามารถได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของพวกทหารผ่านช่องทางการสื่อสาร
ทหารทั้งหลายจัดการได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
สวี่หลิงอวิ๋นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ใช่แล้ว…นี่คือวิธีการที่ถูกต้องที่จะทำให้เหล่าทหารเปิดใจรับ
ต้องมีชีวิตชีวาและแรงบันดาลใจในการค้นหาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของอีกฝ่าย และนี่คือทหารของจักรวรรดิชิงเหย้า!
ยานรบของจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ถูกตัดออกเป็นสองส่วน ขณะที่ทหารทั้งหลายมุ่งหน้าไปยังห้องผู้บัญชาการ
แม้ว่าทหารจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์จะมีชีวิตรอดมาได้ แต่ยานรบกลับถูกตัดเป็นสองส่วน บางห้องก็เปิดไม่ออกและยังมีอีกหลายห้องที่มีแหล่งจำหน่ายออกซิเจนอยู่
แต่คาดว่าออกซิเจนคงจะหมดลงในไม่ช้านี้แน่!
ดังนั้นทหารจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ที่ซุกหัวอยู่ในห้องและไม่กล้าออกมา ช่างเป็นชัยชนะที่ง่ายดายยิ่งนัก
“ผู้บัญชาการของพวกแกอยู่ไหน? เรามีเรื่องจะต้องจัดการด้วย” ทหารทั้งหลายดึงเชือก และในไม่ช้ากลุ่มเชลยจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ก็ถูกมัดเป็นวงกลม
และหลังจากนั้นไม่นาน ยานอวกาศพิเศษก็มารับตัวเชลย
สวี่หลิงอวิ๋นก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ทันทีที่เชลยปรากฏตัวขึ้น สวี่หลิงอวิ๋นจึงได้ใช้พลังจิตของเธอกักขังพลังจิตของเชลยเหล่านั้นเอาไว้
เพราะเกรงว่าคนเหล่านี้จะทำสิ่งเลวร้ายทันทีที่ถึงที่ปลอดภัย
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูนักโทษที่เพิ่มมา และเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการสูงสุดของพวกแกอยู่ไหน?”
เชลยปีกพิสุทธิ์ทั้งหลายก้มหน้าเงียบ ๆ และหันศีรษะออกไปด้านข้าง ราวกับไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
การกระทำดังกล่าวทำให้เหล่าทหารจากจักรวรรดิชิงเหย้ารู้สึกโกรธมาก องค์หญิงสามกำลังถามอยู่แท้ ๆ แต่เจ้าพวกบ้านั่นกลับไม่ยอมขานรับ คงอยากจะตายจริง ๆ สินะ
“เฮ้ย…จะไม่พูดใช่ไหม? งั้นก็อย่าหาว่าเราหยาบคายแล้วกัน”
เมื่อพูดเช่นนั้น ทหารก็ชกเข้าที่ใบหน้าของเชลยอย่างรุนแรง
“เอาล่ะ พวกมันจะพูดหรือไม่พูดก็แล้วแต่ แต่ต่อให้ไม่พูด เราก็จะค้นหากันเองอยู่ดี และเราจะหามันจนเจอ อะไรที่ไม่สำคัญก็ค่อยตัดมันออกไป”
สวี่หลิงอวิ๋นเคยชินกับปัญหาเหล่านี้ดี และสั่งทหารให้เริ่มค้นหา
ไม่จำเป็นต้องให้สวี่หลิงอวิ๋นสั่ง ทหารทั้งหลายก็เริ่มค้นหาอยู่ดี
“ฝ่าบาท ไม่เจอเลยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าทหารขมวดคิ้ว ไอ้สารเลวพวกนี้ซ่อนเสบียงอาหารไว้ที่ไหน?
สวี่หลิงอวิ๋นขมวดคิ้ว ดี! ไอ้สารเลวพวกนี้คิดว่าเธอไม่โกรธและจะปฏิบัติต่อพวกมันราวกับฮัลโหลคิตตี้อย่างนั้นเหรอ คงคิดว่าพวกเธอจะทำร้ายร่างกายอย่างนั้นสินะ?
“พูดออกมา ถ้าไม่ยอมพูดออกมาก็อย่าหาว่าฉันไร้ความปรานีแล้วกัน” สวี่หลิงอวิ๋นชี้นิ้วไปที่ชายผู้อยู่ตรงกลาง และเอ่ยถาม
“ฮึ่ม อย่าได้คิดว่าแกจะรู้อะไรจากฉันทั้งนั้น” ชายคนนั้นส่ายหัว และเมินสวี่หลิงอวิ๋น
“เฮอะ คงจะอึดอัดน่าดูสินะ?” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว เพียงแค่ดีดนิ้วเบา ๆ ชายคนดังกล่าวก็ล้มลงไปกองกับพื้น
เพียงเท่านี้ก็คุ้มค่าพอแล้วที่ให้ทหารคนอื่นจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์ได้เห็น นี่มันเวทมนตร์ประเภทไหนกัน? หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจใช่ไหม?
เชลยบางคนสักยันต์บูชาเทพเจ้าไว้บนร่างกายของพวกเขา อธิษฐานขอให้ปีศาจปล่อยเขาไป
“เฮ้ ๆ นั่นมัน! แกกำลังพูดบ้าอะไรอยู่น่ะ?” สวี่หลิงอวิ๋นขมวดคิ้วขณะชี้นิ้วไปที่ชายคนที่นั่งอยู่หางแถว
เจ้าเด็กนั้นมาจากองค์กรลัทธิชั่วร้ายเหรอ มือที่ตบเข้าหากันคือท่าอะไรกันแน่?
ไกอารู้สึกอายเล็กน้อย องค์หญิงสามอาจจะมองเห็นไม่ชัด แต่นั่นคือพิธีการเซ่นไหว้
“ฝ่าบาท ผู้คนในจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เคร่งครัดเรื่องการบูชาเทพเจ้า และนั่นคือท่าทางเซ่นไหว้ขอพรสำหรับพวกเขาครับ”
“คือยังไงนะ? พวกมันบูชาเทพเจ้าจริงเหรอ? งั้นคงไม่ถือโกรธพระเจ้าที่ส่งพวกมันไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสินะ” สวี่หลิงอวิ๋นถึงกับหมดคำจะพูด “พวกมันโจมตีนู่นนี่นั่นตลอดทั้งวัน พระเจ้าคงไม่ปล่อยให้พวกมันฝันหวานโดยการไม่ลงโทษหรอกมั้ง?”
“ฮ่า ๆๆ บางทีพระเจ้าอาจจะยุ่งอยู่มั้งครับ” ไกอาปากเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก อันที่จริงพวกเขาก็บูชาเทพเจ้าเช่นกัน แต่ว่าองค์หญิงสาม ตอนนี้ที่ท่านพูดถึงพระเจ้า ท่านควรจะใส่ใจมากกว่านี้ไหมครับ?
สวี่หลิงอวิ๋นไม่เชื่อในพระเจ้าหรือพวกผีสางเทวดา หากพระเจ้ามีอยู่จริง เธอจะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์วันสิ้นโลกในชาติที่แล้วเหรอ?
ทั้งที่วิกฤตการณ์วันสิ้นโลกมาถึง แต่ทำไมพระเจ้าถึงไม่ออกมาอวยพรให้พวกเธอเลย?
“เอาล่ะ มาคุยกันเถอะ บอกฉันมาว่าใครคือผู้บัญชาการของพวกแก หรือว่าแกพอจะรู้ไหมว่าคลังเก็บกระสุนซ่อนอยู่ที่ไหน? ถ้าแกพูดออกมา ฉันจะไว้ชีวิตแก”
“ผมไม่รู้” ชายคนหนึ่งหลบสายตาสวี่หลิงอวิ๋นที่จ้องมา และโพล่งออกไป
“เฮ้ แค่มองตาแกฉันก็รู้ว่าแกรู้” สวี่หลิงอวิ๋นรู้ดีว่าชายคนที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นคนขี้ขลาด ดังนั้นเธอจึงแผ่ขยายพลังจิตเข้าไปในสมองของอีกฝ่าย แปรพลังเป็นแส้และตวัดเข้าที่สมองของอีกฝ่าย
“อ๊ากกก” ชายหนุ่มกลิ้งลงไปนอนกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าซีดเซียว ทั่วทั้งร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
เขารู้สึกราวกับมีใครบางคนพุ่งเข้ามาในหัวสมอง และใช้แส้หนังเฆี่ยนตีสมองของเขา
มันเจ็บปวดมากจนแทรกซึมเข้าไปในกระดูก เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ จึงทำได้เพียงร้องคร่ำครวญเพื่อระบายความเจ็บปวด
การแสดงออกของเชลยจากจักรวรรดิปีกพิสุทธิ์เปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อมองดูชายคนดังกล่าวนอนกลิ้งไปมากับพื้น
“เอาล่ะ ไกอารับผิดชอบหน้าที่สอบสวนคนพวกนี้ด้วย” สวี่หลิงอวิ๋นลุกขึ้นยืน รองเท้าบู๊ตหนังของเธอส่งเสียงกึกก้องไปทั่วพื้น
“ฉันจะไปสกัดกั้นการโจมตีระลอกใหม่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ทหารทั้งหลายรีบลุกขึ้นยืน ต้องการจะตามสวี่หลิงอวิ๋นไปด้วย
“พวกนายจะตามฉันมาทำไม? ถ้าฉันไปคนเดียวฉันก็ยังวิ่งหนีได้ตลอด แต่ถ้าฉันพาพวกนายไปด้วยแล้วมีอะไรเกิดขึ้น ฉันคงไม่สามารถดูแลพวกนายได้” สวี่หลิงอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกนายรออยู่ที่นี่แล้วคอยซักถามแทนฉันที เราต้องรู้ให้ได้ว่าลูกกระสุนอยู่ที่ไหน ใครที่ไม่ยอมพูดก็ฆ่าทิ้งได้เลย เราไม่มีนโยบายเมตตาต่อเชลย”