ตอนที่ 322 อสุรกายยักษ์ 2
ตอนที่ 322 อสุรกายยักษ์ 2
“ผมเห็นนะว่าท่านเกือบจะเป็นอาหารให้อสุรกายนั่นแล้วใช่ไหม?!”
หลี่จื้อผิงวางอาหารในมือลงเงียบ ๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจยอมรับมัน ทว่าคนเหล่านี้กลับพูดถูก!
ในตอนนี้เขารู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่ก่อนหน้าเขาตัดสินใจถูกต้อง หากเหล่าทหารยังอยู่ที่นี่ เขาคงไม่รอดมาจนถึงขนาดนี้!
เพราะเสบียงอาหารเหลืออยู่ไม่เยอะ!
“เราจะทำยังไงกันดี? จะหนีกันรอดไหม?” หลี่จื้อผิงอดไม่ได้ที่จะหันไปถามผู้ช่วยที่อยู่รอบตัวเขา
เมื่อมองดูสภาพแวดล้อมที่รกร้างภายนอก และมองดูซากปรักหักพังของยานรบที่ยังคงมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่ด้านใน เขาก็รู้สึกหวาดกลัวที่จะต้องออกไปข้างนอก แต่เมื่อมองดูปฏิกิริยาของเหล่าผู้ช่วยทั้งหลาย ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะวางแผนหลบหนีเอาไว้แล้ว
“พวกเราวางแผนจะออกไปข้างนอกกัน แล้วท่านล่ะ? ท่านอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย!” ผู้ช่วยทั้งหลายเย้ยหยันและพูดต่อ “ท่านเป็นถึงพี่ชายของจักรพรรดินี จะเอาตัวมาเกลือกกลั้วกับเราได้ยังไง ท่านควรรอให้จักรพรรดินีส่งกองกำลังมาช่วยจะดีกว่า!”
หลี่จื้อผิงรู้ดีว่าทหารใต้บังคับบัญชาทั้งหลายกำลังเยาะเย้ยเขา ทว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างเช่นนี้ มีอสุรกายขนาดมหึมาที่กำลังหลับใหลอยู่ฝั่งตรงข้ามและมันสามารถกลืนกินเขาได้ตลอดเวลา เขารู้สึกแย่มาก อีกทั้งพลังดวงดาวของเขายังอยู่ในระดับ 5 ดาวเท่านั้น แล้วเขาจะเอาชนะมันได้อย่างไร?
แค่สะกิดเข้ากับนิ้วเท้าของมัน ตัวของหลี่จื้อผิงก็อาจจะถูกมันจับกินแล้วก็ได้
ถึงแม้ว่าผู้ช่วยเหล่านี้จะเกลียดชังเขา แต่พวกเขาก็ยังพูดคุยกับเขาอยู่ดี และบางทีเขาอาจจะสามารถทำเรื่องหน้าอับอายต่อหน้าคนพวกนี้ได้
“เดี๋ยวก่อน ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันทำผิดมหันต์ แต่พวกเราก็ยังทำงานเป็นทีมกันได้ใช่ไหม?” หัวใจของหลี่จื้อผิงเต้นระรัว เขาหวาดกลัวว่าคนเหล่านี้จะทิ้งเขาและจากไปอย่างง่ายดาย เขาจะต้องตามคนพวกนี้ให้ทัน!
ผู้ช่วยทั้งหลายไม่พูดอะไร เพียงแต่มองดูข้างทาง แก้เชือกที่พันเป็นเกลียวอยู่รอบตัวพวกเขาอย่างงุ่มง่าม และเดินล้มลุกคลุกคลานตามหลังกันออกไป
อสุรกายยักษ์ผล็อยหลับไปแล้ว และดูเหมือนว่ามันจะหลับลึกมาก พวกเขาจะต้องค่อย ๆ ย่องเพื่อไม่ปลุกให้อสุรกายยักษ์ตัวนี้ตื่นขึ้นมา
ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่แล้วใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวอีกครั้ง ลมพายุที่อยู่ด้านนอกรุนแรงเกินไป และความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่มีทางที่จะต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่โหมกระหน่ำเช่นนี้ได้
“จะทำยังไงได้บ้าง?” ใบหน้าของผู้ช่วยทั้งหลายเคร่งขรึมขึ้น หรือว่าพวกเขาควรรอคอยการช่วยเหลือดี?
“ตอนนี้เราคงต้องซ่อมอุปกรณ์ส่งสัญญาณก่อน ไม่อย่างงั้นพวกเราคงต้องตายอยู่ที่นี่” ผู้ช่วยคนหนึ่งพึมพำ
เขาหันไปถามช่างเทคนิคที่อยู่ข้างหลังว่า “นายพอจะซ่อมมันได้ไหม?”
“เอ่อ…” ช่างเทคนิคลังเลเล็กน้อย “ดูจากตอนนี้แล้วน่าจะยังพอซ่อมได้อยู่ครับ”
“แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ? ไปซ่อมมันสิ!” เมื่อหลี่จื้อผิงได้ยินว่าสามารถซ่อมอุปกรณ์ส่งสัญญาณได้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและพูดเร่งช่างเทคนิคทันที
“แต่ถ้าเราซ่อมมันได้แล้ว คลื่นสัญญาณจะไปรบกวนอสุรกายตัวนี้หรือเปล่าครับ?”
อสุรกายระดับ 10 ดาวล้วนมีพลังจิตที่อ่อนไหวง่าย เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาส่งคลื่นสัญญาณออกไป อสุรกายยักษ์จะต้องถูกปลุกจนตื่นขึ้นมาแน่นอน
“อย่าเพิ่งกังวลไป ซ่อมมันก่อนเถอะ ยังไงซะอสุรกายยักษ์ก็จะตื่นขึ้นมาทุก ๆ สามชั่วโมงอยู่แล้ว” เมื่อคิดว่าอสุรกายยักษ์จะตื่นขึ้นมาเล่นของเล่นอีกครั้ง พวกเขาก็บีบมือที่กำลังสั่นเทา ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีซีดเผือดราวกับกำลังพะอืดพะอม อดไม่ได้ที่โน้มตัวลงไปนอนกับพื้นและอาเจียนออกมาชั่วครู่หนึ่ง
กล่าวได้ว่าตอนนี้ยังไม่มีทางออก
ทุกคนทำได้เพียงกลับไปที่ยานรบอีกครั้ง และรอให้ช่างเทคนิคซ่อมอุปกรณ์ส่งสัญญาณ
หลังจากที่พวกเขากลับเข้าไปในยานรบแล้ว ดวงตาของอสุรกายยักษ์ก็ลืมขึ้นเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นกลับไม่มีใครสังเกตเห็นมัน
โอคาซีมาถึงดาวเคราะห์เอ็กซ์เอสองและเห็นว่าทุกคนกำลังกินอาหารอันโอชะ
ผู้ช่วยมอร์ริสเป็นคนแรกที่ได้รับคลื่นสัญญาณของโอคาซี เขารีบวิ่งไปที่จุดลงจอดยานอวกาศเพื่อรอต้อนรับการมาเยือนของโอคาซี เดิมทีเขาตั้งใจจะแจ้งให้สวี่หลิงอวิ๋นรับรู้ แต่กลับถูกโอคาซีห้ามเอาไว้ เนื่องจากชายหนุ่มตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์สวี่หลิงอวิ๋น
“สวัสดีครับ ท่านพลเอกโอคาซี ยินดีที่ได้พบท่านนะครับ!” ผู้ช่วยมอร์ริสโค้งคำนับและพูดทักทายโอคาซี
เมื่อได้มองดูพลเอกโอคาซีผู้โด่งดังไปทั่วทั้งห้วงดวงดาวในระยะใกล้แล้ว รูปลักษณ์และออร่าของเขาเหมือนกับข่าวลือไม่มีผิด ทำให้ผู้คนชื่นชอบได้ง่าย
มอร์ริสเป็นชายหนุ่มตามมาตรฐานทั่วไปที่ทำได้เพียงอิจฉารูปลักษณ์ของพลเอกโอคาซี และเขาก็รู้สึกชื่นชมอะไร
“สวัสดีครับ ผู้ช่วยมอร์ริส” โอคาซีพยักหน้าให้มอร์ริส “องค์หญิงสามอยู่ไหนเหรอครับ?”
“ฝ่าบาทกำลังกินอาหารร่วมกันกับพวกทหารอยู่ครับ ท่านกินอะไรมาแล้วหรือยังครับ?” มอร์ริสพูด
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรสระหว่างทาง อันที่จริงมอร์ริสเป็นฝ่ายพูดมากกว่า ส่วนโอคาซีทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่เกิดกับสวี่หลิงอวิ๋น
“…พอฝ่าบาทเสด็จมาถึงก็จัดอาหารอร่อย ๆ มื้อใหญ่ให้พวกทหารเลยล่ะครับ พวกทหารก็มีความสุขกันน่าดู!” มอร์ริสพูดออกมาจากความรู้สึก “พอได้อยู่กับองค์หญิงสาม อะไรที่เคยยากก็ไม่ยากเลยครับ พวกทหารผ่อนคลายกันมาก เป็นอะไรที่หาได้ยากจริง ๆ”
ถูกต้อง! สวี่หลิงอวิ๋นเป็นบุคคลที่สามารถทำให้คนรอบตัวเธอรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายได้!
เหตุผลที่เธอสามารถทำให้คนอื่นรู้สึกปลอดภัยได้นั่นคือเธอเข้มแข็งพอ
“องค์หญิงสามอยู่ข้างหน้านั่นครับ” มอร์ริสไม่จำเป็นต้องชี้ โอคาซีก็สามารถสังเกตเห็นเธอได้ หญิงสาวคนนี้ดูโดดเด่นมากแม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วเขาจะไม่เห็นเธอได้อย่างไร?
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกอิ่มเอมใจมากจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ก่อนจะตัดเค้กให้ทุกคนด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นจากสงครามกำลังจะจางหายไปด้วยรอยยิ้มของหญิงสาวคนนี้
โอคาซีเฝ้ามองดูรอยยิ้มของเธอ แต่ไม่เต็มใจจะก้าวไปข้างหน้า
เอ๊ะ? ใครกำลังมองดูเธออยู่? พลังจิตของเธออ่อนไหวมาก และรับรู้สึกได้ในทันทีว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองดูเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
สุดหล่อของเธอนี่เอง!
ชุดเครื่องแบบทหารสีเงินแสดงให้เห็นถึงรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของผู้ใส่ ใบหน้าที่เย็นชา คิ้วเส้นคมยาวได้รูป ผมสีเงินถูกปล่อยสยายไปทางด้านหลังยาวลงมาถึงเอวที่พลิ้วไสวไปตามสายลม ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาวระยิบระยับที่จับจ้องมาทางเธอ
“อ๊ะ! โอคาซีนี่ ที่รักมาแล้วเหรอคะ?!” สวี่หลิงอวิ๋นรีบวิ่งเข้าไปกอดโอคาซีแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาโอบกอดกันหลังจากที่ความเข้าใจผิดคลี่คลายลง
“มาที่นี่ทำไมคะ? ออกมาจากฐานทัพตรงนั้นได้ด้วยเหรอ?” สวี่หลิงอวิ๋นกอดโอคาซีแน่น และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ชาร์ลอยู่ที่นั่นครับ เขาจะคอยดูแลให้” โอคาซีโอบกอดสวี่หลิงอวิ๋นแน่นเช่นกัน “ผมคิดถึงท่าน”
“โกหก…คิดถึงฉันเหรอคะ? แต่ตลอดทั้งวันไม่เห็นท่านจะส่งข้อความหาฉันเลย”
ถึงแม้ปากจะบ่นอุบอิบ แต่ในใจกลับรู้ดีว่าทั้งคู่ต่างเป็นผู้บัญชาการ แล้วทั้งสองจะมีเวลาว่างส่งข้อความหากันตลอดทั้งวันได้อย่างไร?
สวี่หลิงอวิ๋นพูดออกไปอย่างไม่จริงจังนัก ทว่าโอคาซีกลับจริงจังและพูดขอโทษ “ขอโทษครับ ผมผิดเอง”
“ไม่หรอก ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้นค่ะ เอาเป็นว่าท่านจะต้องชดใช้ ยังไงคืนนี้ก็แวะมาหาฉันที่ห้องทีนะคะ” สวี่หลิงอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม