ตอนที่ 373 ระหว่างหางปลากับขา ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
ตอนที่ 373 ระหว่างหางปลากับขา ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
“ที่รัก!! ใจเย็นก่อน แขกผู้มีเกียรติยังอยู่ที่นี่” จักรพรรดินีเงือกพูดขึ้นขณะดึงจักรพรรดิเงือกให้นั่งลง
จักรพรรดิเงือกตระหนักได้ถึงพวกมนุษย์ที่ยังคงอยู่ในห้องโถง เขาจะปล่อยให้คนพวกนี้เห็นกิริยาอันน่าขายหน้าไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงกระแอมและนั่งลง
เสี่ยวอ้ายมองดูจักรพรรดิเงือกด้วยความสงสัยและพูดขึ้นว่า “โฮ่ง! วิวัฒนาการของหลานชายท่านเสร็จแล้วเหรอ? เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ช่วงเวลาที่ยากลำบากผ่านไปแล้ว อีกสองสามวันพวกเจ้าจะได้เห็นกิบสันตัวใหม่แน่นอน” จักรพรรดิเงือกพูดอวด “เขาจะมีหางปลาที่สวยที่สุด”
โชคดีที่ถั่วชมพูไม่ได้มาที่นี่ หากถั่วชมพูมาด้วย มันคงเผลอเลียปาก เมื่อเห็นหางปลาจำนวนมหาศาลเช่นนี้ และคงจะถูกจักรพรรดิเงือกเตะเข้าให้?
หลังได้ฟังเช่นนั้น เสี่ยวอ้ายก็พูดต่อ “หางปลามีดีตรงไหน? สองขาไม่ดีกว่าเหรอ?”
แน่นอนว่าในสายตาของเสี่ยวอ้าย สี่ขาเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ในเมื่อนายท่านมีสองขา นายท่านก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน…
สวี่หลิงอวิ๋นเห็นด้วยกับมัน แต่เธอกลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เนื่องจากเธอไม่สามารถเอาชนะจักรพรรดิเงือกได้
จักรพรรดิเงือกจ้องเขม็งมาที่เสี่ยวอ้ายทันทีที่มันพูดเช่นนั้น “หางปลาสวยที่สุด สองขานั้นใช้ได้ที่ไหน เจ้าดูพวกมนุษย์ที่ยืนด้วยสองขานั้นสิ ต่อกรกับชาวเงือกเราได้ที่ไหนกัน?”
“โฮ่ง! ถ้ามีความสามารถนักก็กลับไปสู้กันที่ถ้ำซะสิ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าอะไรแข็งแกร่งกว่ากัน” เสี่ยวอ้ายพูด
หากแบ่งตามกายภาพแล้ว มนุษย์ไม่ใช่พวกที่แข็งแกร่งที่สุด ยังมีหลายเผ่าพันธุ์ที่มีสี่ขา สามขา หรือหลายขา ซึ่งเมื่อรวมตัวกันแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะทรงพลังมากที่สุด แต่ในกลุ่มความแข็งแกร่งเหล่านั้นกลับไม่มีหางปลา
หางปลาจะต้องอยู่ภายในสภาพแวดล้อมที่เป็นน้ำเพื่อคงความแข็งแกร่งเอาไว้ แต่จักรวรรดิบนห้วงดวงดาวแห่งนี้จะมีสักกี่จักรวรรดิที่อยู่ในน้ำกัน? และสงครามไหนบ้างที่ต่อสู้กันในน้ำ?
ดังนั้นในแง่ของความแข็งแกร่ง การมีขาจึงเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุด
จักรพรรดิเงือกโกรธจัดและชี้นิ้วไปทางเสี่ยวอ้าย “ถ้ากล้าจริงก็มาสู้กันอีกสักตั้ง! มาดูว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”
เสี่ยวอ้ายไม่ได้หวาดกลัวสักนิด มันเลียอุ้งเท้าของตัวเอง “โฮ่ง! ก็แค่สู้กัน ใครจะไปกลัวล่ะ?!”
จักรพรรดินีเงือกคว้าตัวจักรพรรดิเงือกเอาไว้!
ใบหน้าของเธอบูดบึ้ง ทำไมสามีของเธอถึงไม่หัดเรียนรู้จากครั้งที่แล้วบ้าง?
ครั้งที่เขาโดนเสี่ยวอ้ายทุบตีจนต้องพักรักษาบาดแผลเป็นเวลานาน แล้วตอนนี้ก็จะหาเรื่องสู้กับเสี่ยวอ้ายอีกครั้ง ไม่วอนหาที่ตายไปหน่อยเหรอ?
สวี่หลิงอวิ๋นจับเสี่ยวอ้ายไว้ “เสี่ยวอ้ายพูดถูกแล้ว แต่ไม่ว่าขาของพวกเราจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน เราก็ไม่ควรพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ถูกต้องไหม? แบบนี้มันเหมือนกับการพูดแทงใจดำไม่ใช่เหรอ?!”
จักรพรรดิเงือกหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด เขาจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวอ้ายกับสวี่หลิงอวิ๋นด้วยนิ้วมือที่สั่นเทา
ไม่แปลกใจที่เสี่ยวอ้ายทำตัวน่ารำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะมันมีนายท่านผู้น่ารำคาญชักจูงอยู่ข้างหลังนี่เอง
สวี่หลิงอวิ๋นอมยิ้มเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการสร้างปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลัวปัญหา
นากาจ้องมองสลับด้านซ้ายทีขวาที มองดูเหนือน้ำและพื้นดิน
มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ คำตอบยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ก็ต้องเป็นขาอยู่แล้วสิ!
จักรพรรดิเงือกรู้สึกขุ่นเคืองอยู่นาน ก่อนจะระงับความโกรธได้ในที่สุด
ในเมื่อเอาชนะกันไม่ได้ ก็หาข้อแก้ตัวอื่นเอาแล้วกัน
“กินกันอิ่มหรือยังล่ะ? ถ้าอิ่มแล้ว เราจะได้ให้สาวใช้พาพวกเจ้าไปพักผ่อน”
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน จักรพรรดิเงือกก็เค้นประโยคที่ไม่แยแสออกมา ก่อนจะหันหัวออกไปด้านข้างเพื่อจะได้ไม่เห็นพวกเขา
สวี่หลิงอวิ๋นยืดตัวตรง ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “เรายังไม่ง่วง คิดว่าจะออกไปเดินเล่นรอบเมืองของท่านสักหน่อย พอจะช่วยส่งไกด์มาให้เราสักคนได้ไหม?”
จักรพรรดิเงือกยังไม่ทันได้ตอบโต้กลับ จักรพรรดินีเงือกกลับพูดขึ้นว่า “ได้สิ เราจะให้สาวใช้พาพวกท่านไปเดินเล่นที่ใต้ท้องทะเล”
จักรพรรดินีเงือกปรบมือ หลังจากนั้นสาวรับใช้แสนสวยก็พากันแหวกว่ายมาที่ด้านหลังของเธอ
ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของเธอจะดูงดงาม แต่ท่าทางการแสดงออกกลับดูเย็นชานัก ราวกับถูกแกะสลักออกมาจากก้อนหิน เธอเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อยและทำท่าทางเชิญชวน
สวี่หลิงอวิ๋นลุกขึ้น และเดินออกไปจากพระราชวังอย่างมีความสุข
ทันทีที่พวกเขาจากไป จักรพรรดิเงือกก็จ้องมองไปทางจักรพรรดินีเงือก ก่อนจะพูดว่า “ทำไมเจ้ายังเอาแต่ดึงพี่อยู่อีก? ถ้าเจ้าไม่เอาแต่ดึงไว้ ป่านนี้เจ้าพวกนั้นได้เห็นดีแน่”
“ท่านจะเอาชนะเสี่ยวอ้ายได้หรือเพคะ? อย่าทำตัวเป็นเด็กไปหน่อยเลย!” ความสง่างามของจักรพรรดินีเงือกเลือนหายไป เธอกลอกตาและนั่งลงบนบัลลังก์
“ถึงพี่จะเอาชนะเสี่ยวอ้ายไม่ได้ แต่พี่เอาชนะองค์หญิงมนุษย์ผู้นั้นได้แน่!” จักรพรรดิเงือกไม่คิดว่ามันจะผิดอะไรหากคนแข็งแกร่งจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
ในจักรวรรดิเงือกก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ชอบใครก็แค่โจมตี ต่อให้ต้องรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าก็ตาม
ในเมื่อไม่ชอบใจ ก็แค่โจมตี!
“เงียบ! หุบปากเดี๋ยวนี้!” จักรพรรดินีเงือกโพล่งออกมาอย่างไม่พอใจ “ท่านไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังผันผวนในตัวมนุษย์คนนั้นเลยหรือไง?”
“พอเจ้าพูดแบบนี้พี่ก็รู้สึกได้เหมือนกัน พลังจิตของเธอผันผวนแตกต่างจากมนุษย์คนอื่น แต่ความผันผวนกลับเป็นเหมือนพลังที่บรรพบุรุษเหลือทิ้งเอาไว้”
จักรพรรดิเงือกนึกขึ้นได้ทันทีที่ภรรยาพูดเตือน
“น้องคิดว่าเราควรจะปฏิบัติตัวสุภาพกับผู้หญิงคนนั้น ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีชะตากรรมเดียวกันกับบรรพบุรุษของเราล่ะ?” จักรพรรดินีเงือกพูดวิเคราะห์ต่อ “ดูสิ หลานกิบสันก็วิวัฒนาการหลังจากกินอาหารของเธอเข้าไป!”
ชาวเงือกทั้งหลายต่างเชื่อในโชคชะตา เขาพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนักเมื่อได้ยินจักรรพรรดินีพูดเช่นนั้น
“ก็ถ้าเธอเชื่อในคำพูดของเธอ พี่ก็จะยกโทษให้!” จักรพรรดิเงือกครวญคราง “เธอบอกว่าขาของเธอดีกว่างั้นเหรอ? หางปลาของเราแข็งแกร่งกว่าไม่ใช่หรือไง?”
จักรพรรดิเงือกยังคงหมกมุ่นอยู่กับหางปลาและขาว่าอะไรแข็งแกร่งกว่ากัน!
“สวัสดี พี่สาวรับใช้คนสวย เธอชื่อว่าอะไรล่ะ?” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มและเริ่มพูดคุยกับสาวรับใช้
สาวรับใช้มีหางปลาสีเงินที่เปล่งประกายเป็นพิเศษ และจะเปล่งแสงระยิบระยับยามแหวกว่ายอยู่ใต้แสงไฟ
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าหางปลาของเธอดูสวยกว่าของจักรพรรดินีเล็กน้อย
สาวรับใช้แสนสวยเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมาสองคำ “ดอลลี่”
“เธอชื่อดอลลี่นั่นเอง ชื่อฟังดูเพราะดีจัง!” สวี่หลิงอวิ๋นพูดชื่นชม
เป็นชื่อที่ดีทีเดียว เรียบง่ายและฟังดูใจกว้าง
แต่ใครจะคิดว่าเสี่ยวอ้ายจะกุมขมับ มันรีบกระซิบบอกนายท่านว่า “ดอลลี่ในภาษาเงือกแปลว่าน่าเกลียด!”
“อะไรนะ?! น่าเกลียด ฉันไม่ได้หูฝาดใช่ไหม?” สวี่หลิงอวิ๋นรีบเอ่ยถามเสี่ยวอ้าย “แล้วทำไมถึงเอาคำว่าน่าเกลียดมาตั้งเป็นชื่อล่ะ?”
“เพราะหางของเธอไม่สวยพอ และสีก็จืดชืด!” เสี่ยวอ้ายอธิบาย