ตอนที่ 416 พะโล้
ตอนที่ 416 พะโล้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมไห่เว่ยที่เต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติมากมาย ถึงแม้ว่าเอลฟ์ผู้มั่งคั่งจะคิดว่าเขาสามารถจองอาหารอื่น ๆ ในโรงแรมไห่เว่ยได้ แต่ถ้าร้านอาหารของสวี่หลิงอวิ๋นเปิดขึ้น เขาก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ!
ประสบการณ์ชีวิตหลายปีที่ผ่านมานั้นบอกเขาว่า เขาอาจจะไร้ความสามารถ!
สวี่หลิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะเอาข้อมูลการติดต่อของชิงเย่ให้คุณแล้วกันนะคะ ถ้าคุณต้องการจะมาทานอาหาร คุณสามารถนัดจองโต๊ะล่วงหน้าได้ก่อนหนึ่งวัน แล้วฉันจะจองที่ไว้ให้คุณค่ะ!”
ร้านอาหารยังไม่ทันเปิด แต่สวี่หลิงอวิ๋นกลับคุยโวราวกับร้านอาหารของเธอจะขายดิบขายดี และที่นั่งจะเต็มทั้งหมด
ห้าวันผ่านไปในชั่วพริบตา!
ร้านอาหารขนาดใหญ่ได้เปิดขึ้นที่โรงแรมไห่เว่ยแล้ว!
ชนชั้นสูงที่ยึดติดกับสิ่งเดิมไม่คิดสนใจร้านอาหารที่เปิดใหม่แห่งนี้ พวกเขามีร้านโปรดและรสชาติที่ชื่นชอบอยู่แล้ว ร้านอาหารที่เปิดใหม่นี้อาจไม่สามารถเข้ามาจับจองพื้นที่ในใจของพวกเขาได้!
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มนั่งลงบนเก้าอี้โดยพร้อมเพรียงกัน จ้องมองโต๊ะบริการที่อยู่ตรงหน้าด้วยความกระตือรือร้น สายตาจ้องมองดูหุ่นยนต์ที่ยกหม้อน้ำออกมา
กลิ่นหอมเข้มข้นลอยออกมาจากด้านใน…
เมื่อพูดถึงของอร่อยแล้ว จะไม่พูดถึงพะโล้ได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือไข่ชนิดใด พวกมันจะส่งกลิ่นหอมอันน่าหลงใหลโชยออกมาทันทีที่ต้มน้ำจนเดือด และนั่นจะทำคุณรู้สึกสงสัยว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเป็นอย่างไร
จดจำได้เพียงรสสัมผัสที่ปลายลิ้น
กลิ่นนี้ดึงดูดชนชั้นสูงที่เดินผ่านไป จมูกของพวกเขาเป็นดั่งเครื่องตรวจจับเพื่อคอยนำพาพวกเขาให้เข้ามายังร้านอาหารแห่งนี้
ทำไมโต๊ะมีขนาดเล็กจัง?! ไม่เห็นจะสวยงามเลย! ไม่คู่ควรกับความงดงามของพวกเขาด้วยซ้ำ!
และมัน…ยังไม่กว้างขวางพอ!
และทำไมคนถึงเยอะจัง?!
ถ้าสังเกตดูให้ดี อ๊ะ ทำไมโต๊ะกับเก้าอี้พวกนี้ถึงดูคุ้นตาจังเลย? ลองสัมผัสวัสดุของมันอีกสักครั้ง ดูเหมือนว่าจะทำมาจากไม้เนื้อทอง!
เอาโต๊ะที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาตั้งในร้านอาหารอย่างนั้นเหรอ?! ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านจะไม่ธรรมดาใช่ไหม?!
พอลลี่กับเอเดนจากเผ่าพันธุ์ตานหยางก็มาที่นี่เช่นกัน
หม้อไฟที่พอลลี่นำกลับมาที่บ้านเมื่อสองสามวันก่อนทำให้พ่อและลูกถึงกับติดงอมแงม แต่สวี่หลิงอวิ๋นจะต้องปรับปรุงร้านอาหาร ดังนั้นเธอจะต้องหยุดทำอาหารใช่ไหม?
จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง? จะต้องส่งคนมาช่วยเหลือ!
ไม่เพียงแต่ครอบครัวของพอลลี่เท่านั้นที่รู้สึกกังวลใจ แต่เอลฟ์ที่เป็นแขกในโรงแรมต่างก็พากันหยิบยกทรัพย์สมบัติออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะโบราณเอย เก้าอี้โบราณเอย กล่องอาหารที่ถูกแกะสลักขึ้น… พวกนี้ถูกยกมาวางไว้ในร้านอาหารทั้งหมด!
ชิงเย่ถึงกับมองดูจนตาลาย ทั้งหมดนี้มีมูลค่าเท่าไหร่กัน?!
ลองตรวจสอบโต๊ะโบราณเป็นอย่างแรก!
โต๊ะพวกนี้ทำมาจากไม้เนื้อทองอันล้ำค่า สภาพการเจริญเติบโตของไม้เนื้อทองนี้รุนแรงมาก เพราะไม่เพียงแต่มันจะปล่อยกลิ่นหอมออกมาเท่านั้น แต่มันยังมีความแข็งแกร่งมากจนยากที่จะทำลาย
มาดูแจกันนี่อีก! อา! มันทำมาจากช่างฝีมือเอกเมื่อพันกว่าปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ? ในตอนเริ่มแรกเขาใช้เหรียญทองอินทนิลสามเหรียญในการซื้อมันมา แต่ตอนนี้มันกลับถูกส่งต่อไปให้คนอื่น
ไหนมาดูกล่องอาหารนี่ซิ!
งานฝีมือแบบนี้! จะต้องเป็นผลงานของสุดยอดนักศิลปะสมัยใหม่อย่างแน่นอน! ดูสิว่าลายเส้นอ่อนช้อยขนาดไหน เป็นลวดลายที่ซับซ้อนและสวยงามอะไรเช่นนี้!
สวี่หลิงอวิ๋นไม่อาจสังเกตเห็นมัน! ในขณะที่ชิงเย่นอนคว่ำทำอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น?!
“เอาล่ะ เลิกครวญครางสักที! รีบปูผ้ารองบนโต๊ะซะ และอย่าให้ของโบราณพวกนี้สกปรก!”
วันก่อนที่จะเปิดร้าน สวี่หลิงอวิ๋นยังคงครุ่นคิดว่าเมนูอาหารจานไหนควรจะทำเป็นเมนูพิเศษประจำร้านของพวกเธอดี แต่หลังจากงีบหลับในช่วงบ่ายและได้ฝันเห็นตีนเป็ดกับคอเป็ด เธอก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับกำหมัดแน่น!
พะโล้! ต้องพะโล้เท่านั้น!
ผ่านมานานขนาดนี้ เธอลืมพะโล้ในกลุ่มอาหารแปดตระกูลไปได้อย่างไร?! เหลือเชื่อมาก!
ใครหน้าไหนมาขโมยรสชาติของเธอ มันสมองของเธอ และความทรงจำของเธอไป?!
จะต้องลงมือทำ!
เธอเตรียมวัตถุดิบทั้งหมดเพียงชั่วข้ามคืน จากนั้นจึงเริ่มต้มน้ำซุป เมื่อน้ำซุปเดือดได้ที่แล้วจึงจัดเตรียมเนื้อสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นส่วนตีน หรือกรงเล็บ และชิ้นส่วนเนื้อที่มีขนาดทั้งเล็กและใหญ่…
ใส่เข้าไปจนเต็ม และเริ่มเคี่ยวช้า ๆ
โอคาซีช่วยเธอเขียนโปรแกรม หน้าที่การทำอาหารในอนาคตทั้งหมดจะถูกแทนที่ด้วยแขนกล เพื่อที่เธอจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป…
กลิ่นหอมนี้กวนใจทุกคนเป็นอย่างมาก มีกี่คนที่ไม่อาจผล็อยหลับไปเพราะกลิ่นหอมนี้?
ในช่วงเวลาเช้าตรู่ สวี่หลิงอวิ๋นสั่งให้หุ่นยนต์เอาหม้อน้ำออกไปตั้งที่ร้านอาหาร เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดร้านอาหารในวันแรก!
ตลอดช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอได้ค้นหาผักและเนื้อสัตว์ท้องถิ่นจำนวนมาก รวมทั้งอาหารแสนอร่อยอีกมากมาย
แต่ถึงอย่างนั้น ร้านอาหารของสวี่หลิงอวิ๋นก็ถูกรายล้อมไปด้วยชนชั้นสูงจำนวนมาก!
ชนชั้นสูงจะสงวนท่าทีเอาไว้ได้อย่างไร? ในเมื่อตอนนี้พวกเขาถูกพะโล้ดึงดูดจนไม่สามารถก้าวไปไหนได้
“อันนี้คืออะไรครับ? ทำไมกลิ่นหอมจัง?”
ชนชั้นสูงจากเผ่าพันธุ์บิลลี่ที่มีหัวโตและตัวแคระแกร็นพูดออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม ดวงตากลมโตของเขาจับจ้องมาที่หม้อขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่ามีของอะไรอยู่ในนั้น ทำไมถึงได้ดึงดูดเช่นนี้?
นอกจากนี้ ยังมีเผ่าพันธุ์ตานหยางอีกด้วย พวกเขาตรงดิ่งเข้ามานั่งบนเก้าอี้ที่ว่างเปล่า สำหรับคนที่อยากเข้ามาแต่พยายามให้คนเดินนำเข้ามาก่อน พวกคุณก็ยืนรออยู่ข้างนอกไปเถอะ!
พวกเขามองดูทั่วทั้งร้านพลางคิดว่าไม่มีพนักงานบริการเลยเหรอ?!
ทันใดนั้น ข้อความประโยคหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนจอแสดงผลของโรงแรม
“เมนูอาหารประจำวันได้แก่ พะโล้! หมั่นโถวสอดไส้เนื้อ!”
นี่มันคืออะไร?!
ทุกคนดูตกใจมาก ที่นี่ไม่ได้ให้เมนูมาและให้พวกเขาเลือกอาหารเอาเองเหรอ? ทำไมถึงมีแค่อาหารจานเดียว?
ตอนแรกนั้นสวี่หลิงอวิ๋นคิดว่าเธอควรจะเตรียมอาหารจานอื่นอีกหรือไม่? แต่เธอพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเธอควรจะยึดมั่นในความคิดของตัวเอง!
นั่นคือการทำตามอำเภอใจ!
“มันจะมากเกินไปแล้ว! มีแค่อาหารจานเดียวงั้นเหรอ? ดูถูกชาวตานหยางเกินไป! ฮึ่ม!”
“เยี่ยมไปเลย! ฉันจะจดชื่อร้านอาหารนี้ไว้! ฮึ่ม! ถ้าเกิดมันไม่อร่อยละก็ ฉันจะรื้อถอนร้านอาหารนี้ซะ!”
พ่อลูกแสนสุขที่กำลังกินอาหารอยู่ด้านหลังครัวจ้องมองมาที่สวี่หลิงอวิ๋น
เอเดนมองไปที่สวี่หลิงอวิ๋นพร้อมทั้งยกนิ้วให้เธอ “ไม่เลว! ไม่เลว! ใจกล้ามาก!”
ก็ใจกล้าพอตัวใช่ไหมล่ะ? ต่อให้สวี่หลิงอวิ๋นจะทำอะไรหยิ่งทะนง แต่ถ้าอาหารไม่เข้ากับรสนิยมของเหล่าชนชั้นสูงพวกนี้ ต่อให้พวกเขาต้องการจะปกป้องเธอมากแค่ไหน มันก็คงจะเป็นเรื่องยากอยู่ดี
เพราะที่นี่ยังมีบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุด และอำนาจนั้นต้องมาก่อน!
สวี่หลิงอวิ๋นมีความมั่นใจในตัวเองหรือไม่? แน่นอนว่ามี!
พ่อและลูกชายคู่นี้ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติอันแสนอร่อยของพะโล้มาก่อน ถ้าพวกเขาได้ลิ้มลองมัน พวกเขาจะได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่อร่อยที่สุดบนโลกใบนี้!
ในที่สุดฝาบนหม้อขนาดใหญ่ก็ถูกเปิดออก!
กลิ่นเข้มข้นของเนื้อกระจัดกระจายทั่วทั้งห้องโถงอย่างรวดเร็ว และที่นี่ไม่มีเครื่องดูดควันหรืออุปกรณ์ในการช่วยดูดกลิ่น
กลิ่นเหล่านี้เปรียบเสมือนกับสิ่งมีชีวิต มันล่องลอยไปทั่ว หลอกล่อผู้คนที่ยังยืนลังเลอยู่ด้านนอกให้ตัดสินใจก้าวเข้าไปในร้านอาหารทีละคน
ทว่าสิ่งที่น่าอับอายกว่านั้นกลับปรากฏขึ้น…
ที่นั่งมีไม่พอ!
ชนชั้นสูงคนไหนที่เป็นเจ้าของทำเลเงินแห่งนี้? และจะมีที่ไหนมีปัญหาเยอะวุ่นวายเท่าที่นี่อีก?
ไม่มีที่นั่ง? เผ่าพันธุ์ตานหยางเป็นผู้แรกที่ได้รับความพ่ายแพ้นี้ เขาลุกขึ้นยืนและร้องตะโกนว่า
“ไม่มีที่นั่ง! เถ้าแก่ร้านหายไปไหน?!”