ตอนที่ 441 ห่าวหลาน
ตอนที่ 441 ห่าวหลาน
“อสุรกายร้ายตัวนั้นชื่อว่าบอนาร์ มันเป็นอสุรกายร้ายตัวแรกของชาวเอลฟ์ที่ห่อหุ้มต้นไม้แห่งชีวิตเอาไว้ และเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเอลฟ์” ผู้อาวุโสลี่หย่าให้คำตอบ
สวี่หลิงอวิ๋นถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ “บอนาร์?” ดวงตาของเธอหันไปมองอสุรกายร้ายที่กำลังเกลี้ยกล่อมเด็กน้อย
หรือว่าจะเป็นตัวนี้?!
บอนาร์รับรู้ได้ถึงการจ้องมองของสวี่หลิงอวิ๋น จึงพยักหน้า “โฮก ข้าเอง!”
ลี่หย่ายิ้ม “ใช่ บอนาร์ที่อยู่ด้านข้างท่าน”
สวี่หลิงอวิ๋นมองไปที่บอนาร์ เฝ้าดูมันเกลี้ยกล่อมเด็กทารกอย่างเชี่ยวชาญ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าตัวนี้จะเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนอนุบาล!
เสี่ยวอ้ายเองก็ประหลาดใจเช่นกัน!
แต่สำหรับชิงเย่นั้น ปากของเขาอ้ากว้างราวกับกินไข่เข้าไป!
ในฐานะเอลฟ์ เขารู้ดีว่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์มีอสุรกายร้ายคอยพิทักษ์ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเห็นมัน นอกจากนี้อสุรกายร้ายได้จากเหล่าเอลฟ์ไปนานหลายพันปีแล้ว เอลฟ์ที่เป็นรุ่นหลานจึงไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอสุรกายร้ายตัวนี้จะเป็นบอนาร์ พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานแท้ ๆ!
ชิงเย่มองดูอสุรกายร้ายของบรรพบุรุษด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน จากนั้นจึงมองดูเด็กทารกบนหลังของมัน
น่าอิจฉาชะมัด!
บอนาร์หันไปพูดกับลี่หย่าว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร? ทำไมไม่พูดออกมาเลยล่ะ? ไม่ต้องทำเป็นไม่รู้หรอก!”
ลี่หย่าจึงพูดออกมาอย่างหมดหนทาง “นายท่าน นาน ๆ ทีท่านถึงจะแวะมา ให้เราพูดคุยกันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือคะ?”
“คุยอะไร? ข้ามีอะไรจะต้องคุยกับพวกเจ้า?” บอนาร์พูด “ตอนนี้พวกเจ้าทำดีมากแล้ว ในเมื่อมีต้นไม้แห่งชีวิตอยู่ พวกเจ้าก็ทำตามที่บอกได้!”
ดูเหมือนว่าต้นไม้แห่งชีวิตจะได้ยินคำพูดของบอนาร์ จึงโพล่งออกมาว่า “ลี่หย่าอย่าไปสนใจเขาเลย เขาก็แค่ขี้เกียจ คงกลัวว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก พวกเจ้าจะไปตามหาเขา”
บอนาร์ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่กลับพยักหน้าและพูดว่า “ต้นไม้แห่งชีวิตพูดถูก พอพวกเจ้าทำอะไรไม่ได้ก็มาหาข้า ข้าก็มีธุระของตัวเองที่จะต้องทำเหมือนกัน!”
ลี่หย่าไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไปอีก ก่อนจะเดินต่อไป นำพาผู้คนทั้งหลายเดินเข้าไปในรูกว้างขนาดใหญ่
ลำต้นของมันมีขนาดหนาอย่างที่พวกเธอเคยจิตนาการเอาไว้ และมันยังกว้างใหญ่มาก! สวี่หลิงอวิ๋นจึงเห็นเพียงผนังเปลือกสีน้ำตาลเท่านั้น
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะต้นไม้แห่งชีวิตประจำห้วงดวงดาวของเธอมีขนาดใหญ่กว่านี้มาก!
“สวัสดี ผู้เพาะปลูกต้นไม้แห่งชีวิต” สวี่หลิงอวิ๋นมองไปบริเวณโดยรอบ ทันใดนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏกายต่อหน้าเธอ
หญิงสาวคนนี้มีอายุราว ๆ สามสิบปี แววตาของเธอแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนและสติปัญญาที่เฉียบแหลม
สวี่หลิงอวิ๋นมองดูเธอ “ท่านคือต้นไม้แห่งชีวิตเหรอคะ?”
“ใช่!” หญิงสาวพยักหน้า เธอหันไปมองสวี่หลิงอวิ๋นอย่างอ่อนโยน “น่าทึ่งมากที่ได้เห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ครอบครองต้นไม้แห่งชีวิตเป็นครั้งที่สอง”
สวี่หลิงอวิ๋นจึงถามกลับไปว่า “ผู้ครอบครองต้นไม้แห่งชีวิตที่ท่านพูดถึงคือมนุษย์ที่นำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปสู่ความสันโดษใช่ไหมคะ?”
“ใช่!” ต้นไม้แห่งชีวิตพูด “เรียกข้าว่าห่าวหลานนะ!”
“ห่าวหลาน?” สวี่หลิงอวิ๋นอุทาน “ชื่อเพราะจัง”
“ขอบใจ” ห่าวหลานมองดูสวี่หลิงอวิ๋น “ข้ารู้สึกถึงลมหายใจของต้นไม้แห่งชีวิตทั้งสามในตัวเจ้า”
“เจ้าน่าจะออกมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีต้นไม้แห่งชีวิตคุ้มครองอยู่ใช่ไหม? ข้ารู้สึกถึงลมหายใจของมัน” ห่าวหลานพูด “ข้ารู้สึกได้ถึงต้นไม้แห่งชีวิตของเจ้า และลมหายใจจากต้นไม้แห่งชีวิตอีกต้น”
สวี่หลิงอวิ๋นรู้ว่าห่าวหลานกำลังพูดถึงต้นไม้แห่งชีวิตของโอคาซี แต่ว่าครั้งนี้โอคาซีไม่ได้สนใจที่จะมาด้วย เพราะเขากำลังจับตามองเบื้องบนของจักรวรรดิเคทเลอร์อยู่ สวี่หลิงอวิ๋นจึงพาต้นไม้แห่งชีวิตของตัวเองมาที่นี่
“ต้นไม้แห่งชีวิตของเจ้าดูแข็งแรงมาก ในอนาคตเจ้ามีแผนการยังไงล่ะ?” ต้นไม้แห่งชีวิตถามขึ้น “ช่วยแสดงต้นไม้แห่งชีวิตของเจ้าให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?”
สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกได้ถึงต้นไม้แห่งชีวิตในหัวของเธอ นึกสงสัยว่ามันอาจจะอยากจะพบหน้าเชื้อสายของมัน
ต้นไม้แห่งชีวิตตอบตกลงตามคำขอของห่าวหลาน ก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของสวี่หลิงอวิ๋นพร้อมกับต้นไม้แห่งชีวิตของโอคาซี
“น่าทึ่งมาก ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีเชื้อสายเดียวกันเกิดขึ้นถึงสองต้น” ดวงตาของห่าวหลานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอลูบไล้ต้นไม้แห่งชีวิตทั้งสองต้น “แข็งแรงกันมาก เติบโตมาอย่างดีเชียวล่ะ”
ดวงตาของเธอจับจ้องที่สวี่หลิงอวิ๋นแล้วถามต่ออีกว่า “เจ้าวางแผนจะให้พวกมันเติบโตขึ้นมายังไง? สร้างบาเรียขึ้นมาใหม่ หรือปลูกไว้บนดาวเคราะห์แล้วให้มันให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ขึ้นมาแบบข้า?”
แผนการเดิมของสวี่หลิงอวิ๋นคือการซ่อมแซมบาเรียของห้วงดวงดาว แต่เมื่อมองดูห่าวหลาน เธอเองก็เป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และยังกลายมาเป็นพระแม่ของเผ่าพันธุ์
เธอมองดูต้นไม้แห่งชีวิตในมือของตัวเองแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หากเธอปล่อยให้ต้นไม้แห่งชีวิตทั้งสองต้นสร้างบาเรียขึ้นมาใหม่ มันจะไม่โหดร้ายเกินไปสำหรับพวกมันงั้นเหรอ?
ห่าวหลานมองเห็นความลังเลของเธอ ก่อนจะยิ้มออกมาเบา ๆ “เจ้ากำลังลังเลอยู่สินะ? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนจิตใจดี”
เธอพูดต่อ “เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อปลูกฝังทักษะการเอาตัวรอดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเพื่อนร่วมเชื้อสายทั้งสองต้นนี้ และบางทีมันอาจจะพอช่วยเจ้าได้บ้างในภายหลัง”
สวี่หลิงอวิ๋นยังคงมึนงง ไม่รู้ว่าห่าวหลานคิดจะทำอะไร?
แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงแรงต้านมหาศาลที่ผลักเธอออกมาจากรูต้นไม้ และต้นไม้แห่งชีวิตทั้งสองต้นก็จมดิ่งสู่ร่างกายของห่าวหลานไปต่อหน้าเธอ
ผู้อาวุโสดึงสวี่หลิงอวิ๋นที่มีท่าทีวิตกกังวลเอาไว้ และพูดว่า “ไม่ต้องห่วง พระแม่พฤกษาจะถ่ายทอดความรู้ให้กับเพื่อนร่วมเชื้อสาย และเจ้าจะได้เห็นพวกมันในไม่ช้า!”
บอนาร์ยังคงนอนหาวอยู่ด้านข้าง ขณะที่เสี่ยวอ้ายเฝ้าดูเด็กทารกอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
ชิงเย่รับหน้าที่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็กน้อย เห็นได้ชัดว่าบอนาร์ยังคงพ่ายแพ้ต่อกลิ่นเหม็นของเด็กทารก
บอนาร์เห็นว่าสวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกกังวล จึงรีบพูดออกไปว่า “โฮก! อย่ากลัวเลย ถึงปกติห่าวหลานจะหน้าเนื้อใจเสือ แต่มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร! ไหน ๆ มันก็ได้พบเพื่อนร่วมเชื้อสายทั้งสองแล้ว ปล่อยให้พวกมันได้พูดคุยกันไปเถอะ!”
“อย่าลืมสิว่าต้นไม้แห่งชีวิตเป็นเผ่าพันธุ์ที่หายากที่สุดในจักรวาล!” บอนาร์พูด
สวี่หลิงอวิ๋นทำได้เพียงระงับความวิตกกังวลไว้
ขณะเดียวกันผู้อาวุโสลี่หย่าก็ให้เหล่าเอลฟ์นำชาผลไม้และเค้กสูตรพิเศษของเอลฟ์ออกมาเสิร์ฟ “นี่ก็นานมากแล้ว ท่านไม่หิวเหรอ?”
“มาลองชิมนี่ดูสิคะ!”
ชิงเย่ได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบจานออกมา “ผู้อาวุโส ข้าขอด้วย!”
ลี่หย่ามองดูชิงเย่ราวกับมองดูอากาศ! นี่คือสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์เอลฟ์งั้นเหรอ? ทำไมตัวอ้วนแบบนี้?!
แตกต่างไปจากอสุรกายร้ายตรงไหนกัน? ทำไมไม่เห็นสวยงามสักนิด?!
“ชิงเย่ หลังจากที่เจ้าออกไปข้างนอกนั่นแล้ว ทำไมเอาแต่อ้วนขึ้น? ถ้าเจ้าออกไปข้างนอก ใครจะจำเจ้าได้บ้าง?”
ลี่หย่าพูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “เจ้า อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย ลดน้ำหนักได้เมื่อไหร่ค่อยออกไป!”
“อา?!” ชิงเย่ถึงกับตกตะลึง และจ้องมองไปทางสวี่หลิงอวิ๋น “เจ้านาย!”