ตอนที่ 458 วิกฤต
ตอนที่ 458 วิกฤต
ชิงเย่รู้สึกน้อยใจเมื่อได้ยินคำถามของสวี่หลิงอวิ๋น เขาพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องธุรกิจไป ตอนนี้ผมเปิดโรงงานในจักรวรรดิเอลฟ์แล้ว!”
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ ไม่ไปดูแลธุรกิจหรือไง?” สวี่หลิงอวิ๋นพูด “คิดว่าการเป็นทาสมันดีแล้วเหรอ? อยากให้ฉันออกคำสั่งอีกหรือไง?”
ชิงเย่เกาหัวและพูดอย่างเขินอายว่า “ท่านอย่าพูดแบบนั้นสิ ผมยอมเป็นทาสของท่านก็ได้ ขอแค่อาหารวันละสามมื้อเท่านั้น!”
ขนมที่กินได้ไม่อั้น มื้ออาหารที่ไม่ได้กินมานาน เขาอยากจะกินอะไรอุ่น ๆ อีกสักครั้ง!
ชิงเย่มองดูอสุรกายยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปพูดกับสวี่หลิงอวิ๋นอย่างน่าสงสาร “เจ้านาย ขอผมกินด้วยได้ไหมฮะ? ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว!”
ถึงแม้ว่าคนทั้งหลายในแถวจะมองเห็นชิงเย่ ทว่าชิงเย่ผู้นี้กลับมีรูปลักษณ์ต่างไปจากมนุษย์ โดยเฉพาะหูของเขาที่แหลมและยาว ถึงอย่างนั้นก็ยังดูหล่อเหลาเอาการ
รูปลักษณ์ของเขาสามารถเทียบเท่าดาราดังได้ แต่อย่างไรก็ยังคงเทียบโอคาซีไม่ติดอยู่ดี!
ผู้คนทั้งหลายเริ่มกระซิบกระซาบและเบนกล้องถ่ายทอดสดไปที่ชิงเย่ พวกเขาคาดเดาว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นเอลฟ์ที่สวี่หลิงอวิ๋นกล่าวถึงหรือไม่?
[ว้าว ทำไมสุดหล่อสูงจังเลยล่ะคะ? หูของเขาแหลมด้วยเหรอ? เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสัดส่วนพิเศษหรือเปล่า?]
[รู้สึกเหมือนจะมาจากเขตดาวต่างแดนนะ พวกคุณเคยได้ยินกันไหม? สำเนียงที่เขาพูดไม่เหมือนของพวกเราเลย เหมือนกับกาน่า!]
[หืม! ใช่! ฉันก็คิดว่ามันฟังดูคุ้น ๆ ยังไงอยู่ สำเนียงเหมือนกาน่านี่เอง!]
[ว่าแต่กาน่าก็เป็นอสุรกายร้ายจากเขตดาวต่างแดนเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เจ้าของกาน่าเหรอ?]
[ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่นะ น่าจะเป็นเอลฟ์ที่องค์หญิงสามพูดถึงมากกว่า!]
[ไม่รู้ว่าพี่สุดหล่อคนนี้มีคู่หมั้นหรือยัง? จะบอกว่าฉันอายุครบสิบแปดปีแล้วนะคะ หุ่นสวยเชพบ๊ะ คู่ควรกับพี่สุดหล่ออย่างกับกิ่งทองใบหยก มันคงจะเพอร์เฟกต์น่าดูถ้าเรามามีลูกด้วยกัน!]
[คอมเมนต์ฝันเฟื่องอยู่หรือไง?! เขาจะมองมาที่เธอไหมล่ะ? เธอมองว่าเขาเป็นสามี แต่เขาอาจจะมองว่าเธอเป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้!]
[ยี้!! หยุดพูดคำว่าสัตว์เลี้ยงสักทีได้ไหม? ฉันขนลุกทุกทีที่ได้ยินคำนี้!]
ผู้คนยังคงกระซิบกระซาบและถ่ายทอดสด ขณะที่สวี่หลิงอวิ๋นพาชิงเย่กลับไปที่พระราชวัง เตรียมพร้อมที่จะพาเขากลับไปเจอพ่อแม่ของเธอ
ก่อนหน้านี้เธอได้ส่งข้อความไปหาโอคาซี โดยบอกว่าเธอจะถึงพระราชวังในไม่ช้า ประจวบเหมาะกับที่ชิงเย่มาถึงพอดี และงานที่เกี่ยวข้องกับแหล่งอารยธรรมนี้ต้องให้ชิงเย่มาช่วยเหลือให้สำเร็จ
ตามข้อมูลที่หลุดออกมาจากปากของเหล่าโจรสลัด พวกเธอได้รับเส้นทางและรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ดาวโจรสลัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่ายังมีธุรกิจอีกมากมายในเคทเลอร์ที่ต้องการให้ใครสักคนมารับช่วงต่อ ทั้งนี้สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้เผ่ามนุษย์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นนั้นได้
เผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าให้ร่วงหนึ่งก็คงร่วงทั้งหมด แต่ถ้ารุ่งโรจน์หนึ่งก็ต้องรุ่งโรจน์ทั้งหมด
จากมุมมองปัจจุบันในเคทเลอร์ ชนชั้นสูงทั้งหลายดูสงบเป็นอย่างมาก แต่ความจริงแล้วกำลังทำตัวเป็นคลื่นลมที่ถาโถม การปฏิรูปครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป หากพวกเขาก้าวเท้าผิดแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะนำไปสู่การทำรัฐประหารครั้งใหม่ได้
หากใครไม่ระวังตัว และเปิดเผยตัวตนออกมาก็อาจจะตกอยู่ในสภาวะวิกฤตได้
ตามสัญชาตญาณของผู้หญิง เธอรู้สึกว่าจะต้องมีบุคคลที่ลึกลับกว่าสายลับเฉียนเฉียนอยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์บนจักรวรรดิดวงดาว!
เนื่องจากสวี่หลิงอวิ๋นรับรู้มาว่าเฉียนเฉียนเป็นชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิดวงดาว เธอไม่ได้ออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ แล้วเธอจะคิดทรยศได้อย่างไร?
จะต้องมีใครสักคนล้างสมองเธอให้ก่อกบฏ นอกจากนี้ถ้าจะก่อกบฏก็ต้องค้นหาองค์กรที่ติดต่อกับโลกภายนอก จริงไหม?
และเมื่อมองดูรายชื่อสายลับของเฉียนเฉียน รายชื่อพวกนี้ครอบคลุมกลุ่มคนทุกประเภท แสดงให้เห็นถึงความเข้มงวดขององค์กร สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีสถานะสูงส่ง ไม่อย่างนั้นหญิงสาวที่มาจากครอบครัวเล็ก ๆ อย่างเฉียนเฉียนคงจะทำแบบนี้ไม่ได้!
พายุฝนกำลังจะมา!
อวี้ซินรู้สึกว่าเขาเผลอละเลยบางสิ่งบางอย่างไป ดังนั้นเขาจึงเดินทางเข้ามาที่พระราชวังเคทเลอร์ ขณะที่ซินหยากำลังยุ่งอยู่กับนโยบายกล้าได้กล้าเสีย มีผู้คนมากมายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รับเลือกให้มาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ คนส่วนใหญ่ยังคงปลอมตัวเป็นเอลฟ์ ดังนั้นชนชั้นสูงเคทเลอร์และระบบราชการจึงเริ่มสะท้อนกลับ
เดิมทีผู้บัญชาการระดับสูงของเคทเลอร์ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ตานหยางและบิลลี่ แล้วในตอนนี้ล่ะ? บีบคั้นให้ผู้คนออกไป แม้แต่ชาวโกต้าเองก็เช่นกัน!
แต่แล้วพวกเขาจะทำอะไรกับกลุ่มเอลฟ์พวกนี้ได้?!
สิ่งนี้ทำให้เมืองหลวงของเคทเลอร์กลายเป็นข้าบริวารของจักรวรรดิเอลฟ์ไม่ใช่หรือ?!
ดังนั้นชนชั้นสูงและพวกข้าราชการทั้งหลายจึงเริ่มยอมแพ้ต่อหน้าที่ของตัวเอง และเรื่องวุ่นวายทั้งหลายนี้ก็ทำให้ซินหยายุ่งจนหัวหมุน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เป็นไปอย่างที่พวกเขาคาดหวังไว้ หากมันไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขาก็คงจะไม่อยู่ในท่าทีสงบนิ่งขนาดนี้
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวี้ซินเป็นกังวล สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เปลือกตาของเขากระตุกไม่หยุดเมื่อไม่นานมานี้ เขารู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรบางอย่างอยู่นอกกำมือของเขา
มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก!
ในฐานะคนที่ทำงานราวกับต้องอยู่บนปลายมีดตลอดทั้งปี สัญชาตญาณแบบนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตของเขาอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย เขาจะต้องคิดให้ออกมาว่ามีอะไรผิดแปลกไป
ซินหยาเข้ามาพบอวี้ซินหลังจากเรื่องดังกล่าวสิ้นสุดลง
ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมานาน และต้องถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเจอหน้ากัน ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองคงจะอายุเหลือไม่ถึงยี่สิบปี!
“เกิดอะไรขึ้น?” ซินหยาถาม “ท่านกังวลอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้ซินพูด “อีกไม่นานคนของเราก็คงจะปรับตัวได้ใช่ไหม? เราต้องให้พวกเขาจำเอาไว้ว่าห้ามเปิดเผยตัวเด็ดขาด!”
“ท่านไม่ต้องกังวลไปครับ!” ซินหยาพูด “แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเรากำลังมีปัญหา!”
“ฮะ? คือยังไงครับ?”
“ปัญหาของช่วงอายุน่ะครับ!” ซินหยาพูด “ผมคิดว่าเราจะต้องส่งผู้หญิงมาที่นี่ด้วย เพราะว่าพวกเอลฟ์ได้ยินมาว่าเอลฟ์จำนวนมากเข้ามารับราชการในเคทเลอร์ พวกเขาเลยเข้ามาถามถึงสถานการณ์ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะต้องถูกเปิดเผยแน่ครับ”
พวกมนุษย์ล้วนขาดประสบการณ์ เคยพบเจอเอลฟ์กันสักที่ไหน? ต่อให้แต่งกายเป็นเอลฟ์และท่องจำขนบธรรมเนียมเอลฟ์ได้อย่างน้ำไหลไม่ขาดสาย แต่ถ้าต้องติดต่อกับเอลฟ์บ่อย ๆ อีกไม่นานความลับของพวกเขาจะต้องถูกเปิดเผยแน่
อีกทั้งเอลฟ์สาวมากหน้าหลายตายังคงแสดงความรักต่อเอลฟ์ตัวปลอมที่มาจากเผ่ามนุษย์ แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะกล้ำกลืนฝืนทนได้ไหมล่ะ? นี่คนนะไม่ใช่วัชพืชที่จะได้ไร้ความรู้สึก ความงดงามของเอลฟ์สาวย่อมดีเลิศกว่าเผ่ามนุษย์เป็นไหน ๆ แล้วชายใดเล่าจะไม่หวั่นไหว?
ซินหยารับประกันได้ว่าตัวเขาสามารถนั่งนิ่งเฉยไปตลอด แต่จะรับประกันผู้ติดตามเหล่านั้นได้อย่างไร? ต่อให้ตอนนี้สามารถรับประกันได้ แต่ก็ใช่ว่าจะรับประกันได้ไปตลอดชีวิต!
ทั้งสองจึงมองหน้ากันและยิ้มอย่างขมขื่น
พวกเขามาถูกทางแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่คนของพวกเขาเอง แล้วแบบนี้มันน่าอายไหมล่ะ?!